Skip to main content

 

เรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว, ปลายฝนต้นหนาว อากาศร้อนระอุไปทั่วแผ่นฟ้า ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสมานั่งพักผ่อนอยู่นิ่งๆ คนเดียวมานานแล้ว เพราะหน้าที่การงานที่มากมาย ทำให้ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาของผมเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างไร้ค่า เพียงเพราะผมมุ่งแต่จะทำงาน แต่ไม่ได้มีโอกาสได้ดูแลคนที่ผมรักเลยแม้แต่น้อย ผมทำงานที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง เราทำงานเพื่อสังคม มีอุดมการณ์ที่อยากเห็นคนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี งานที่เราทำเป็นงานเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องมีเวลาให้กับงาน ให้กับคนอื่นมากกว่าการดูแลตัวเองและการดูแลคนที่ผมรัก


สำหรับ คนที่ผมรัก “ฟ้า” เธอเป็นผู้หญิงที่ผมรักที่สุดในโลก เราเจอกันเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เราไปทำกิจกรรม ซึ่ง ณ เวลานั้นเราไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากไปกว่าการได้นั่งคุยกัน โดยฟ้านั่งทานข้าวกับผม สิ่งที่แปลกใจมากคือ เธอกินมังสวิรัติ ซึ่งมันทำให้ผมสงสัยว่าทำไมกันนะ หญิงสาวหน้าตาดี สุภาพเรียบร้อยคนนี้จึงได้ปฏิบัติตัวได้น่าศรัทธาเพียงนี้ และมันทำให้เราได้คุยกัน จนทำให้ผมว่าตั้งแต่เด็กจนโตเธอมีโอกาสได้เข้าวัดฟังธรรมอยู่บ่อยๆ จนฝังมาเป็นนิสัยประจำตัวจนถึงทุกวันนี้

เราคุยกันและแลกเปลี่ยนเบอร์กัน แรกๆ ผมปลื้มและแอบชอบเธอมาก แม้ว่าผมจะเคยมีแฟนมาแล้ว แต่สำหรับฟ้าแล้ว ผมรู้สึกศรัทธาและปลื้มมากๆ แม้ว่าเราสองคนจะมีอายุห่างกันมาก แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเราสองคน เพราะธรรมะที่เราพูดคุยกันนั้น เป็นเรื่องชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่ได้เอาอายุมาเป็นข้อจำกัด เราจึงคุยกันด้วยความเข้าใจ และเอื้ออาทรต่อกันและกันเสมอมา

ความใกล้ชิดค่อยๆ เพิ่มพูนความสัมพันธ์ของเราให้ลึกซึ้งมากขึ้น ดั่งต้นไม้ต้นน้อยๆ ที่ค่อยปลูกลงไปในผืนดินที่เติบโตอย่างช้าๆ มีรากที่เข้มแข็ง ยึดแน่นไม่ไหวหวั่นต่อลมฟ้าฝนหนาวร้อน เราอยู่เคียงข้างกันเสมอแม้ว่าใครจะสุขจะทุกข์จะเสียใจดีใจ เราเป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง เป็นคนรู้จัก เป็นกัลยาณมิตร ที่ดีต่อกัน ซึ่งมันทำให้ผมมั่นใจว่าความรู้สึกของผมนั้นมันเริ่มตกผลึกก่อเกิดกลายเป็นความรัก ความผูกพัน จนทำให้เรามีความเข้าใจกันมาโดยตลอด แม้ว่าเราจะอยู่ด้วยกันด้วยความจริงที่เราสื่อสารกันด้วยความจริงใจ ให้เกียรติ ให้โอกาส รับฟังกันอย่างตั้งใจ และคุยกันด้วยไมตรีรักมาเสมอ เป็นปุ๋ยอย่างดีที่เพาะต้นรักของเราอย่างนุ่มนวม ซึ่งบางครั้งเราจะเจ็บปวดกับสิ่งที่พบ เจอกับความผิดหวังอย่างไม่ได้ตั้งใจ เจอกับความสุขที่เบิกบาน แต่เราก็เชื่อว่ามันคือความจริงที่งดงามของชีวิต ที่เราร่วมเดินไปพบเจอด้วยกัน 

ผมยังจำได้ดี ว่าในช่วงวันเข้าพรรษาที่ผ่านมา ผมกับฟ้าพาไปวัด แถวๆ เกาะสีชัง และเราใช้ชีวิต “ดูจิต” สนทนาธรรมและดื่มด่ำบรรยากาศอบอุ่นจากไอทะเล ทำกับข้าวกินกันริมชายฝั่ง นั่งนับดาวยามราตรี มีเวลาก็ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะ หาซื้อเงาะ ซื้อทุเรียนมานั่งกิน รินน้ำเปล่าชนกัน คุยเรื่องความฝันร่วมกันมากมาย ที่จริง ผมก็ไม่ได้คิดว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ผมมีความสุขล้นเปี่ยมในปัจจุบัน และรู้สึกอิ่มตัว อิ่มใจ และไม่อยากจะหาใครมาในชีวิตอีกแล้ว เพราะฟ้าเป็นคนเดียวที่อยู่ในใจของผมตอนนี้ คือเข้าทำนองว่าพอมาเจอเธอผมก็อยากจะหยุดไว้ตรงนี้ 

เราสองคนมีความเหมือนกันคือ เราเป็นคนที่สนใจในธรรม และปฏิบัติธรรมเหมือนกัน แถมยังช่วยเกื้อกูลกันดูจิต แลกเปลี่ยนธรรมะ ทุกๆ วัน นี่จึงเป็นความดีนิดน้อยที่เรามีเสมอกัน ผมจำได้ว่าแต่ละวันที่เราได้คุยกัน เราจะถามกันเสมอว่า “วันนี้ทุกข์กัดบ้างไหม” และแลกเปลี่ยนกันว่า “ดูจิต” เป็นอย่างไรบ้าง อารมณ์เป็นอย่างไร ความคิดเป็นอย่างไร และช่วยแนะนำกัน แต่นอกจากนี้เราก็คุยกันตามประสาคนหนุ่มสาวทั่วไปที่มีทั้งเรื่องที่บางครั้งไม่เข้าใจกันบ้าง ทะเลาะกัน หึง หวง น้อยใจ รำคาญ หงุดหงิด ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตาม ผมดีใจที่เราสองคนพูดคุยกันดูความกรุณา และเวลาที่เธอ “ร้อน” ผมก็จะใช้ “เย็น” คอยโอบอุ้มการสนทนา ทำให้เธอเย็นลงและได้สติคุยกันมากขึ้น

มีครั้งหนึ่งตอนที่ต่างฝ่ายต่าง “ร้อน” ใส่กัน จนงอนกันไปทั้งคู่ แล้วเราก็ตัดสินใจว่าจะไม่คุยกันสักสองสามวัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่ถึงค่อนวัน ผมก็โทรศัพท์ไปหา และเธอก็รับ เมื่อทั้งผมและเธอใจเย็นลง เราก็เริ่มคุยกัน สรุปสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ก็แนะนำกันว่ามีอะไรที่ทำแล้วสบายใจ หรือทำแล้วไม่สบายใจ อะไรที่ไม่ชอบให้ทำ อะไรที่ชอบให้ทำ

และช่วงหลังๆ ที่เรารักกันมากขึ้น เราก็ทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง แต่สุดท้ายธรรมะ ความเมตตา กรุณา ก็โอบอุ้มให้ใจของเราดีขึ้น และปรับความเข้าใจกันในทุกสุด มันทำให้ผมพบว่าการได้คุยกันอย่างตรงไปตรงมาอย่างมีเมตตากรุณาต่อกันทำให้เราผูกพันและเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น

ตอนนี้ผมมีความสุขกับความรักมากมาย แต่อนาคตผมไม่มั่นใจเท่าไหร่นักเพราะ “เหตุ” “ปัจจัย” มันอาจจะเปลี่ยนแปลงเราสองคนไปได้ พอพูดถึงเหตุปัจจัยนี้ ก็คิดมาได้ว่า เราสองคนตั้งใจว่า “จะรักกันให้ดีที่สุด”และจะไม่สร้าง “เงื่อนไข” ให้เกิด “ปัจจัย” อันนำไปสู่ “เหตุ” ให้ได้เลิกร้างลากันไป บางครั้งเมื่อมีผู้หญิงเข้ามาคุยกับผมเพื่อขอคบด้วย ผมก็ไม่สร้างเงื่อนไขในการเข้าไปคุย สนทนา ให้เขาหรือเราได้สานสัมพันธ์กันต่อ แต่จะคงไว้เพียงความเป็นเพื่อน เป็นคนรู้จักเท่านั้น และเหมือนกัน เมื่อมีชายคนอื่นมาคุยกับฟ้า ฟ้าก็จะปฏิเสธ ไม่ให้เบอร์โทรศัพท์กับใคร และบอกอีกว่า “มีแฟนแล้ว” และหากใครที่ทำท่าจะมาจีบ เธอก็บอกว่าขอคุยแบบเพื่อน

แม้ว่าผมกับเธอ ไม่ได้แก่อะไรมากมาย ผมเป็นเพียงชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าๆ กับหญิงสาววัยย่างเข้ายี่สิบ เรายังมีอนาคตอีกไกลในสายตาของคนอื่นๆ ทว่าวันนี้เราสองคนมองว่า เราไม่รู้เลยว่าวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายของการมีชีวิตที่เหลืออยู่ ซึ่งพอเราตระหนักถึงมรณานุสติข้อนี้มันจึงทำให้เราสองคนรีบทำอะไรโดยเร็ว เพื่อให้เป็นต้นทุนชีวิตต่อไปในภายภาคหน้า ถ้าเรายังไม่ได้สิ้นลมหายใจไปจริงๆ เราก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันแบบนี้ไปเรื่อย 

แต่เมื่อปลายฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา ผมรู้สึกผิดมากที่ผมมีเวลาทำแต่งาน ไม่ได้สนใจหรือให้ความสำคัญในการไปพักผ่อนสุดสัปดาห์ด้วยกันกับฟ้าเลย แม้ว่าปีนี้เราจะคบกันได้แปดปีแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังเป็นคนที่ไม่ค่อยเอาใจใส่ฟ้าเลย ทั้งๆ ที่ฟ้าก็เสียสละเวลาส่วนตัวเพื่อให้ผมทำงานกับสังคม ทำงานเพื่อส่วนรวม ผมจึงรู้สึกขอบคุณที่ฟ้าเข้าใจ และให้โอกาสผมทำงานที่ผมรัก ผมจึงมีความสุขทั้งกับงานและกับคนที่รัก

วันหนึ่งก่อนจะย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิปีนี้ ผมตั้งใจที่จะหาของขวัญทำมือให้กับฟ้า เพราะผมจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ฟ้ากลับจากการปฏิบัติธรรมที่ต่างจังหวัด ฟ้าเริ่มรักผมมากขึ้น และทำของขวัญทำมือให้กับผมมากมายหลายอย่างและทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึก “รัก” ที่ฟ้ามีให้แก่ผม ผมดีใจมาก แม้ว่าตอนนั้นผมจะกลัวว่าฟ้าจะไม่รักผม ถ้าผมทำอะไรไม่ดี แต่นั้นก็เป็นเพียงการคิดมากของผมฝ่ายเดียว แต่สุดท้ายเมื่อเราได้ทำความเข้าใจกันเรื่องจึงผ่านพ้นมาได้ด้วยดี มันจึงเป็นช่วงเวลาที่ทำให้รักของเราสองคนเติบโต และเข้มแข็งไม่สั่นคลอน ทว่าย่างเวลาผ่านมา ผมอยากจะบอกกับฟ้ามากว่าผมรักฟ้ามากเพียงใด เพราะชีวิตทั้งชีวิตของผม ไม่มีใครที่จะมีความหมายและคุณค่ามากกว่า “ฟ้า” คนนี้อีกแล้ว

เมื่อใกล้ถึงวัดหยุดสุดสัปดาห์ผมเดินทางไปตลาด ผมซื้ออาหารสำหรับทำกินกัน และซื้ออุปกรณ์เพื่อทำของขวัญทำมือให้ฟ้า ฟ้าคงจะดีใจไม่น้อยที่ผมทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ แบบเด็กๆ ป๊อปปี้เลิฟ ให้กันและกัน ผมมีความสุขมากเลย แต่ก็ต้องแอบทำ และอ้างกับฟ้าว่าผมทำงานอยู่ ไม่มีเวลา เพียงเพราะอยากจะเซอไพร์สให้ฟ้าประหลาดใจและปลื้มกับการกระทำของผม

บอยอยู่ไหน นี่หม่าม้าเองนะ” โทรศัพท์ของหม่าม้าของฟ้า ดังขึ้น และมีเสียงปลายสายเอ่ยขึ้น
ครับ” ผมตอบด้วยเสียสั่น และตกใจ “มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามด้วยความมึนงง
ตอนนี้น้องฟ้าอยู่โรงพยาบาล บอยมาหาฟ้าด้วยด่วนเลยนะ” แม่ของฟ้าบอกผม และได้อธิบายว่าควรไปโรงพยาบาลอย่างไร

ผมตกใจมาก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้มาก่อนว่าฟ้าไม่สบาย ความสับสนทำให้ผมร้องไห้ ไม่รู้จะคุยกับใคร ใจของผมสั่นไหว ไม่อยู่กับตัวเองเลย ผมรีบนั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ไปยังโรงพยาบาลเป้าหมาย....

.............. 

ที่ห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน หม่าม้าและญาติของฟ้ายืนร้องไห้อยู่ด้านหน้าห้องผู้ป่วย ผมรีบวิ่งเข้าไปถามเหตุการณ์จากหม่าม้า แล้วจึงได้รู้ว่า ฟ้าเป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่เด็กแล้ว และพอรักษาตอนช่วงเจ็ดขวบก็หายแต่ไม่รู้ว่ามันจะมากำเริบอีกในปัจจุบันนี้ ซึ่งหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ทางที่จะช่วยให้ได้คุณหมอบอกว่าต้องเปลี่ยนหัวใจ

ผมร้องไห้ น้ำตาไหล รู้สึกเสียใจมากที่ไม่ได้มีโอกาสบอกความรู้สึกต่อฟ้า หรือแม้แต่จะขอโทษกับเรื่องราวที่ผมเคยทำให้ฟ้าเสียใจ และที่สำคัญคือผมไม่อยากให้ฟ้าเป็นอะไรไป ชีวิตทั้งชีวิต ใจทั้งหมดใจของผม เป็นของฟ้าหมดแล้ว ผมอยากให้ฟ้ามีชีวิตอยู่ต่อ เพราะฟ้ามีความฝัน อยากเป็นไกด์ อยากเป็นนักเล่นไอซ์สเก็ต อยากเปิดร้านกาแฟ และอยากอยู่อย่างสมถะ เรียบง่าย ช่วยเหลือคนที่ลำบาก คนที่มีความทุกข์ ฟ้าอยากรักษาทุกข์ให้คนอื่นๆ อยากช่วยเยียวยาใจให้คนที่ไร้ทางออกแห่งทุกข์

ผมไม่รู้จะทำยังไงดี จึงได้โทรหาแม่ แม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น และผมก็ได้เล่าให้แม่ฟัง ซึ่งแม่เข้าใจในความรู้สึกของผม และรู้ว่าผมรักฟ้าเพียงใด วันนี้ผมได้ทำทุกอย่างเพื่อแม่และครอบครัวหมดแล้ว แต่ผมไม่ได้ทำอะไรกับฟ้าเลยแม้แต่น้อย ผมมัวทำแต่งาน ไม่มีเวลาให้ฟ้าเลย และยังพาแต่เรื่องกวนใจให้ฟ้าอารมณ์เสียอยู่ตลอด ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี

แม่บอกผมว่าตัดสินใจในสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข แม่ยินดีกับทุกทางเลือกที่ผมเลือก
ส่วนหม้าม่าบอกกับผมว่าหม้าม่าก็ยินดีกับทางที่ผมจะเลือก ขอให้บอกมา ท่านจะไม่ห้าม
ผมจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อให้ฟ้าได้อ่าน

หลังจากที่เปลี่ยนหัวใจแล้ว ผมคงนอนหลับสงบอยู่ข้างๆ หญิงสาวที่ผมรัก ไม่มีเสียงที่จะพูด ไม่ได้มองใบหน้าแสนน่ารักของฟ้า ไม่ได้สัมผัสกอดฟ้า

ผมคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง และผมขอให้รู้ไว้เลยว่าผมมีความสุขมากกับทางที่ผมเลือก และในสิ่งที่ผมทำนี้ ผมทำมันด้วยความรักและความหวังดีต่อฟ้า อยากให้ฟ้ามีชีวิตที่ทำตามความฝันในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ

ฟ้าจ๋า.....อย่าโกรธพี่นะครับ ที่พี่เลือกที่จะให้หัวใจของพี่กับฟ้า พี่บอยยังไม่โกรธฟ้าเลยที่ฟ้าไม่เคยบอกพี่ว่าฟ้าเป็นโรคหัวใจ ไม่อย่างนั้นพี่คงจะทำเรกิช่วยฟ้าแล้ว แต่พี่ก็เสียใจที่ไม่ได้ช่วยดูแลสุขภาพใจฟ้าเลย พี่เอาแต่ทำงาน มีเวลาให้คนอื่น แต่ไม่เคยมีเวลาให้กับฟ้าเลย พี่รู้ว่าการได้อยู่ด้วยกัน

เราสองคนมีความสุขมาก แม้จะทะเลาะกันบ้าง งอนกันบ้าง แต่เราก็รักและเข้าใจกันเสมอมา วันนี้พี่ซื้อของทำมือมาทำของให้น้องฟ้า แต่พี่ไม่ได้ทำ พี่ขอโทษนะครับ แต่พี่ตั้งใจจะทำหลายอย่างให้ฟ้า พี่อยากจะบอกรักฟ้า อยากจะขอโทษฟ้า อยากให้ฟ้ารู้ว่าฟ้าสำคัญกับชีวิตพี่เพียงใด จากวันแรกที่เราพบกัน จนถึงวันนี้ที่จากกัน พี่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงหัวใจของพี่ พี่มั่นคงในความรักที่มีแก่ฟ้า และรู้สึกถึงรักที่ฟ้ามีต่อพี่ตลอดมา ตอนนี้กายพี่ไม่ได้มีอยู่แล้ว ฟ้ากุมหัวใจให้ดีนะครับ ใจพี่อยู่กับฟ้าแล้ว ใจพี่เป็นของฟ้าแล้ว

นับจากวันที่เราพบกัน จนถึงวันที่เราจากกัน และวันที่พี่หลับไป ฟ้าตื่นขึ้นมาแล้ว พบกับชีวิตแห่งความเป็นจริง ใจของพี่เป็นของฟ้าแล้ว มันเหมือนนิยายน้ำเน่า แต่พี่ก็ทำมันจริงๆ อย่าร้องไห้นะจ๊ะคนดี พี่อยู่ข้างฟ้าเสมอ ไม่ว่าวันนี้เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ฟ้าจะสัมผัสถึงไอรักจากพี่ได้

ฟ้าจ๋า....สานฝันของตัวเองให้สำเร็จ ถ้าหากฟ้าอยากจะรักใคร ขอให้เขาเป็นคนที่รักฟ้า และเขาต้องดูแลฟ้าได้ดีกว่าพี่นะครับ ที่สำคัญเขาต้องมีธรรมะในใจ เป็นคนดีอย่างสม่ำเสมอ และอย่าเป็นคนที่เอาแต่ทำงานๆ จนไม่มีเวลาให้ฟ้าอย่างพี่นะครับ

ขอบคุณธรรมะที่พาให้เราได้มาใช้ชีวิตรักด้วยกัน
ขอบคุณน้องฟ้า ที่เป็นแฟน เป็นเพื่อน เป็นญาติธรรม เป็นทุกๆ สิ่งในชีวิตของพี่
ขอบคุณที่ให้โอกาสพี่ได้รักฟ้า....

เมื่อเวลาพาให้เรามาพบกัน แต่เวลาไม่ได้พรากเราไปจากกัน พี่อยู่กับฟ้าเสมอ ฟ้าเป็นกาย พี่เป็นใจ กาลครึ่งหนึ่งซึ่งเราพบกัน มันจึงทำให้เราไม่เคยจากกันไปไหน

มองไปบนฟ้า แล้วเราจะเจอหน้ากันทุกๆ ลมหายใจนะจ๊ะ

รักฟ้า,
พี่บอย
24 กันยายน 2548

 

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบอยู่กับตัวเอง เพราะมีความรู้สึกไม่มั่นคง อีกทั้งยังคิดว่าเราควรที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ บ้าง ในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การเรียน หรือกิจกรรมต่างๆ ที่มีในความสัมพันธ์  แต่เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ จำนวนหนึ่งที่ทำงานขับเคลื่อนทางสังคมในเรื่องชีวิตทางเพศได้เข้าร่วมภาวนา หรือ Retreat ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการภาวนาเพื่อติดตามเพื่อนๆ ที่ได้ภาวนาในรุ่นต่างๆ ก่อนหน้านี้ให้ได้พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยน ซึ่งกันและกันว่าใครเป็นอย่างไร มีสุข มีทุกข์อย่างไรบ้าง
พันธกุมภา
เมื่อมีเวลาตรวจดูสภาวะจิตใจของตัวเองในช่วงนี้แล้ว ก็เหมือนกับว่าผมได้พบกันสภาวธรรมต่างๆ ที่แปรเปลี่ยนไปหลายๆ ประการ มีเกิด มีดับ สลับกันไปในจิตแต่ละช่วงขณะ คือค่อยๆ รู้สึกตัวบ้างในบางครั้ง รู้ว่าเผลอ รู้ว่าหลง รู้ว่าประคอง ในอารมณ์ต่างๆ เช่น ความคิด ความโกรธ หรือแม้กระทั่งความอยาก
พันธกุมภา
ผมถามพี่ที่รู้จักกันท่านหนึ่งว่า "ที่คนทั่วไปไม่ค่อยปฏิบัติธรรมเพราะอะไร"และพี่ท่านนี้ก็ได้ตอบจากประสบการณ์ของตัวเอง ว่า เมื่อก่อนเค้าไม่สนใจ  เพราะเป็นเด็กจะไม่ค่อยมีความทุกข์ แต่พอโตขึ้นแล้วไม่สามารถหาคำตอบได้ในบางคำถาม แต่ธรรมะกลับตอบได้
พันธกุมภา
ถามสวัสดีค่ะเหนื่อยจัง  นอนน้อยเลยเบลอมีคำถามมาถามน้องอีกแล้วค่ะ  คือเมื่อคืนและเมื่อหลายคืนก่อน ดูละครสาปภูษา กับสุสานภูเตศวรสองเรื่องนี้มีความเหมือนกันอยู่อย่างคือ  ย้อนยุค  ทะลุมิติ  โดยมีเรื่องวิญญาณมาเกี่ยวข้องจู่ๆ ก็มีคนถามขึ้นมาว่า  เชื่อเรื่อง ชาตินี้ ชาติหน้า ไหมทำให้พี่คิดขึ้นมาว่า เออ แล้วมันจริงเหรอ เรื่องนี้น่ะไม่รู้สิคะ  ตามความคิดส่วนตัวคือ เชี่อค่ะเชื่อ เลยไม่อยากทำอะไรไม่ดีเลย  อยากสั่งสมความดี สร้างบุญเพราะเราเห็นว่ามันสุขตั้งแต่นาทีที่ทำวันก่อนอ่านหนังสือคุณ ดังตฤณ พี่คิดว่าตามแนวคิดคุณดังตฤณ  มันก็มีจริงสิคะ ชาตินี้…
พันธกุมภา
ต่อจากการตอบจดหมายเรื่องทุกข์ใจกับคนที่ไม่ชอบเรา1 ขอบคุณอย่างยิ่งค่ะอ่านแล้วรู้สึกน้ำตาจะไหล
พันธกุมภา
ช่วงที่ผ่านมา มีจดหมายจาก คุณ พรพรรณ เขียนจดหมายมาสอบถามผม 4 เรื่องดังนี้  1. การที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนที่เขาไม่ชอบเรา หรือมีทัศนคติที่ขัดแย้งกัน  เราควรทำอย่างไร2. การแผ่เมตตา  ช่วยให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นคลายลง ได้หรือไม่  และการแผ่เมตตามีคุณอย่างไร3. การไปปฏิบัติ  จะช่วยให้เกิดผลบุญถึงเจ้ากรรมนายเวรได้จริงหรือเปล่าคะ4. คุณน้องเต้าเชื่อเรื่องกรรม หรือไม่คะ ผมได้รับและตอบกลับดังนี้.................... สวัสดีครับ ขอบคุณที่ไว้วางใจให้ผมได้แบ่งปันนะครับแต่...สภาวะของผมอาจเป็นคนอื่น…
พันธกุมภา
 คืนนี้ ดึกแล้วครับช่วงเวลาตีสามกว่าๆ ควรเป็นเวลาที่ผมจะได้นอนหลับอย่างสงบแต่ไม่รู้ทำไม? คืนนี้จึงเกิดความรู้สึกว่าอยากจะรวมเล่มบันทึก "ธรรมใจ ไดอารี่" นี้ให้เสร็จ
พันธกุมภา
ผมเขียนเรื่องนี้ตอนเพิ่งตื่น ตอนนี้ยังไม่ได้ล้างหน้า แปรงฟัน ตาก็ดูเบลอ ทำอะไรก็เบลอๆ อยู่นิดหนึ่ง ยังไม่ค่อยมีใจอยากจะทำอะไร ความขี้เกียจเป็นเพื่อนที่ไม่หนีไปไหน ยังคงยืนอยู่ข้างๆ กายผม ไม่อยากทำอะไรเลย แม้ว่าจะมีงานมากน้อยเพียงใด ผมอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงที่การอยู่เฉยๆ เพราะเวลาไม่ได้ทำอะไรก็ดีไปอีกอย่าง...บอกไม่ถูกครับ
พันธกุมภา
  ตอนนี้ผมพบว่าความอ่อนล้าทำให้เหนื่อยกับสิ่งกำลังทำอยู่ ไม่ว่างานจะสนุกเพียงใด แต่ถ้าอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาในชีวิตจนไม่สามารถจัดการได้ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง วิธีการเรียงลำดับความสำคัญของงานเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับการมีชีวิตที่สมดุลกัน
พันธกุมภา
แม่เพิ่งโทรมาถามผมว่าวันเกิดปีนี้จะทำอะไร? และเตือนว่าอย่าลืมไปทำบุญถวายพระ แถมยังบอกอีกว่าปีนี้ อยากให้ทำทานโดยการซื้อผ้าเช็ดตัวให้กับผู้เฒ่าผู้แก่และเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ในหมู่บ้าน ผมรู้สึกดีใจที่คุณแม่โทรมา เพราะอย่างน้อยแสดงว่าท่านจำวันเกิดของผมได้ แม้ว่าผมจะไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรกับวันเกิดเพราะมันก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งสำหรับผม แต่ที่ไหนได้วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณแม่ เพราะท่านได้ให้การเกิดผมมาลืมตาดูโลก
พันธกุมภา
ช่วงอาทิตย์กว่าที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่คนรอบข้างผมต้องเสียชีวิตไปมากกว่า 3 คน คนหนึ่งเสียชีวิตด้วยการยิงตัวตาย อีกคนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และคนสุดท้ายเสียชีวิตดูความชรา การจากไปของคนรู้จักเหล่านี้ แน่นอนว่านำมาซึ่งความเสียใจ ความเศร้าโศก และมันก็ทำให้ผมคิดถึง “ความตาย” อยู่ทุกๆ ขณะ เพราะความตายนี้เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราจริงๆ ซึ่งมันเป็นการบอกย้ำธรรมชาติของชีวิตว่าชีวิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง
พันธกุมภา
หลังจากวันที่เริ่มบันทึกมาจนถึงวันนี้ ก็ผ่านเลยมาหลายวันแล้ว มีเรื่องราวหลายๆ อย่างเกิดขึ้นในชีวิตแต่เท่าที่สำคัญและจำได้ดีคือ ช่วงวันที่ 5 - 15 มกราคม ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ ที่ทำงานสุขภาวะทางเพศประมาณ 20 คนได้เข้าอบรมภาวนาภายในและการเรียนรู้โครงสร้างทางสังคม ที่บ้านสวนธารทิพย์ ซึ่งมีพี่อวยพร เขื่อนแก้ว เป็นกระบวนกรหลัก