Skip to main content

การเจริญสติในช่วงที่อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ภายหลังจากผ่านบททดสอบแรกเรื่องการเดินจงกรมที่ผมมัวแต่ไปตั้งท่าว่าอยากรู้อยากดูสภาวะแล้ว ก็ได้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นว่าตัวเองนั้นเผลอไปจ้องมองเสียนาน


เมื่อเดินต่อไปภายหลังจากช่วงขาดสตินี้แล้ว ใจก็เริ่มเบา สบาย และมีความรู้สึกตัว อยู่เป็นขณะๆ คือ ในขณะเดินแต่ละก้าวนั้น ใจรับรู้ถึงการเดินของร่างกาย และเมื่อเกิดความคิดขึ้นก็ดูความคิดที่เกิดขึ้น และในบางครั้งที่ผมเผลอลืมตัวหลงเพลินไปกับความคิด ผมก็จะนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ว่า “ให้ดูมันคิด แต่อย่าไปในความคิด” หรือ หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ ท่านสอนว่า “เห็นมันคิด อย่าไปเป็นผู้คิด”


ผมเดินอยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกายและสังเกตแล้วใจตัวเอง ที่เคลื่อนไหว ไหลไปไหลมา เดี๋ยวก็รู้ที่กาย เดี๋ยวก็รู้ที่ความรู้สึก นึกคิด สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้น ตามความเป็นจริง


ผ่านไปชั่วขณะที่ผมกำลังเดินจงกรมอยู่ ระหว่างทางเดินที่ดงไผ่ ได้มีกิ้งกือตัวหนึ่ง เดินผ่านมา ใกล้ๆ ทำให้ผมสามารถมองเห็นตัวกิ้งกือได้ชัดเจนมาก ผมหยุดเดินชั่วครู่และมองไปยังกิ้งกือตัวนั้น และก็แอบคิดในใจว่ากิ้งกือคงจะมาเป็นเพื่อนเดินจงกรมด้วยแน่ๆ เพราะบริเวณที่ผมเดินอยู่นี้ มีผมเดินเพียงลำพัง


ผมมองกิ้งกือเดินลัดเลาะไปตามผืนดิน สังเกตขานับหลายร้อยหลายพัน ที่ค่อยเดินไปแต่ละขณะ แล้วก็เห็นว่าเวลาก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า ขาของกิ้งกือจะเป็นเหมือนคลื่น ที่พัดมาเป็นระลอกๆ จากด้านหลังไปทางด้านหน้าและคลื่นนั้นก็หายไป มีคลื่นใหม่ๆ เกิดขึ้น สลับกัน ยิ่งมองก็ยิ่งเป็นจังหวะ


คำถามหนึ่ง เกิดขึ้นในใจของผมว่า “คลื่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร” และ “เริ่มต้นตรงไหนไปจบลงตรงไหน” และในอีกใจหนึ่งก็แวบขึ้นมาว่า “คลื่นนี้จะเกิดมายังไง ก็อย่าไปถามเลย มัวสงสัยก็ปวดหัวคิดมาก” ไปเดินต่อดีกว่า ไม่ต้องมัวเสียเวลาหาคำตอบ


ในชั่วครู่ที่จะหันหลังกลับไปเดินจงกรมต่อนั้น ก็มีอีกความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาว่า “ไม่ว่าคลื่นขาของกิ่งกือจะเป็นอย่างไร แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นมาได้ ก็คือมีเหตุเกิดขึ้นมา และเมื่อมันหายไป แสดงว่ามันหมดเหตุของมันแล้ว” ความรู้สึกที่สงสัยจนจะกลายเป็นความคิดมากได้ผ่อนเบาลง และกลับมาใคร่ครวญพิจารณาในธรรมที่ได้จากการมาเยือนของกิ่งกือนี้ พบว่า การเดินจงกรมแม้จะเกิดสติหรือไม่เกิดสติ ก็เหมือนคลื่นขาของกิ้งกือที่มีเหตุก็มี และเมื่อหมดเลยก็ไม่มี แต่เราก็รู้ว่าความเป็นจริงคือทุกสิ่งมีที่มาและมีที่ไป โดยเราเพียงเห็นมันตามที่มันเป็น ด้วยความเป็นจริง ไม่ว่าเราจะคิด จะเพ่ง จะตั้งใจ หรืออย่างไรก็ตาม เพียงแค่เราเห็นแล้วก็จะเกิดปัญญาเกิดขึ้น


นึกย้อนถึงชีวิตประจำวันของใครหลายคน แม้บางครั้งที่เกิดความทุกข์ใจจากความคิดมาก เกิดความเสียใจจากความคาดหวังมากเกินไป เกิดความโกรธจากการถูกต่อว่าดุด่า หรือเป็นความรู้สึกสุขใจที่ได้พบกับสิ่งที่ชอบ มีความสบายใจที่ได้อยู่กับคนที่รัก สิ่งต่างๆ เหล่านี้ย่อมมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น และเมื่อหมดซึ่งเหตุปัจจัยแล้วความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้ก็หายไป แปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น


ฉะนั้นแล้วแทนที่เราจะมัวตั้งคำถามว่าทำไมเราต้องทุกข์ใจ ทำไมเราต้องเสียใจ ทำไมเราต้องโกรธ เราอาจจะกลับมาโอบอุ้มกับความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้น รู้ถึงความทุกข์ใจ รู้ถึงความเสียใจ รู้ถึงความโกรธ และเห็นสิ่งเหล่านี้ แต่ไม่ไปเป็นมัน หรือกล่าวอีกอย่างคือ เห็นความทุกข์ใจ แต่ไม่ไปเป็นผู้ทุกข์ใจ เห็นความเสียใจ แต่ไม่ไปเป็นผู้เสียใจ เห็นความโกรธ แต่ไม่ไปเป็นผู้โกรธ ขณะเดียวกันที่เห็นความสุขใจ ก็ไม่ไปเป็นผู้สุขใจ เห็นความสบายใจแต่ไม่ไปเป็นผู้สบายใจ หรือแม้แต่เกิดสติรู้สึกตัว ก็เพียงแค่เห็นความมีสติ แต่ไม่ไปเป็นผู้มีสติ


การเห็นความจริง เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันขณะ จะทำให้เราเรียนรู้ความจริงต่างๆ ที่เข้ามาว่า เมื่อมีเหตุความจริงนี้ก็เกิด เมื่อหมดเหตุความจริงนี้ก็ดับ เรามีหน้าที่เพียงเห็นและรับรู้อยู่ซื่อๆ ก็พอ และสำหรับผมแล้วรู้สึกดีใจกับการมาเยือนของกิ้งกือ และทำให้ได้เรียนรู้ธรรมเพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง ผมจึงกลับไปเดินจงกรมต่อด้วยการเห็นร่างกายเคลื่อนไหวและเห็นจิตใจทำงานต่อไป

 

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบอยู่กับตัวเอง เพราะมีความรู้สึกไม่มั่นคง อีกทั้งยังคิดว่าเราควรที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ บ้าง ในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การเรียน หรือกิจกรรมต่างๆ ที่มีในความสัมพันธ์  แต่เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ จำนวนหนึ่งที่ทำงานขับเคลื่อนทางสังคมในเรื่องชีวิตทางเพศได้เข้าร่วมภาวนา หรือ Retreat ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการภาวนาเพื่อติดตามเพื่อนๆ ที่ได้ภาวนาในรุ่นต่างๆ ก่อนหน้านี้ให้ได้พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยน ซึ่งกันและกันว่าใครเป็นอย่างไร มีสุข มีทุกข์อย่างไรบ้าง
พันธกุมภา
เมื่อมีเวลาตรวจดูสภาวะจิตใจของตัวเองในช่วงนี้แล้ว ก็เหมือนกับว่าผมได้พบกันสภาวธรรมต่างๆ ที่แปรเปลี่ยนไปหลายๆ ประการ มีเกิด มีดับ สลับกันไปในจิตแต่ละช่วงขณะ คือค่อยๆ รู้สึกตัวบ้างในบางครั้ง รู้ว่าเผลอ รู้ว่าหลง รู้ว่าประคอง ในอารมณ์ต่างๆ เช่น ความคิด ความโกรธ หรือแม้กระทั่งความอยาก
พันธกุมภา
ผมถามพี่ที่รู้จักกันท่านหนึ่งว่า "ที่คนทั่วไปไม่ค่อยปฏิบัติธรรมเพราะอะไร"และพี่ท่านนี้ก็ได้ตอบจากประสบการณ์ของตัวเอง ว่า เมื่อก่อนเค้าไม่สนใจ  เพราะเป็นเด็กจะไม่ค่อยมีความทุกข์ แต่พอโตขึ้นแล้วไม่สามารถหาคำตอบได้ในบางคำถาม แต่ธรรมะกลับตอบได้
พันธกุมภา
ถามสวัสดีค่ะเหนื่อยจัง  นอนน้อยเลยเบลอมีคำถามมาถามน้องอีกแล้วค่ะ  คือเมื่อคืนและเมื่อหลายคืนก่อน ดูละครสาปภูษา กับสุสานภูเตศวรสองเรื่องนี้มีความเหมือนกันอยู่อย่างคือ  ย้อนยุค  ทะลุมิติ  โดยมีเรื่องวิญญาณมาเกี่ยวข้องจู่ๆ ก็มีคนถามขึ้นมาว่า  เชื่อเรื่อง ชาตินี้ ชาติหน้า ไหมทำให้พี่คิดขึ้นมาว่า เออ แล้วมันจริงเหรอ เรื่องนี้น่ะไม่รู้สิคะ  ตามความคิดส่วนตัวคือ เชี่อค่ะเชื่อ เลยไม่อยากทำอะไรไม่ดีเลย  อยากสั่งสมความดี สร้างบุญเพราะเราเห็นว่ามันสุขตั้งแต่นาทีที่ทำวันก่อนอ่านหนังสือคุณ ดังตฤณ พี่คิดว่าตามแนวคิดคุณดังตฤณ  มันก็มีจริงสิคะ ชาตินี้…
พันธกุมภา
ต่อจากการตอบจดหมายเรื่องทุกข์ใจกับคนที่ไม่ชอบเรา1 ขอบคุณอย่างยิ่งค่ะอ่านแล้วรู้สึกน้ำตาจะไหล
พันธกุมภา
ช่วงที่ผ่านมา มีจดหมายจาก คุณ พรพรรณ เขียนจดหมายมาสอบถามผม 4 เรื่องดังนี้  1. การที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนที่เขาไม่ชอบเรา หรือมีทัศนคติที่ขัดแย้งกัน  เราควรทำอย่างไร2. การแผ่เมตตา  ช่วยให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นคลายลง ได้หรือไม่  และการแผ่เมตตามีคุณอย่างไร3. การไปปฏิบัติ  จะช่วยให้เกิดผลบุญถึงเจ้ากรรมนายเวรได้จริงหรือเปล่าคะ4. คุณน้องเต้าเชื่อเรื่องกรรม หรือไม่คะ ผมได้รับและตอบกลับดังนี้.................... สวัสดีครับ ขอบคุณที่ไว้วางใจให้ผมได้แบ่งปันนะครับแต่...สภาวะของผมอาจเป็นคนอื่น…
พันธกุมภา
 คืนนี้ ดึกแล้วครับช่วงเวลาตีสามกว่าๆ ควรเป็นเวลาที่ผมจะได้นอนหลับอย่างสงบแต่ไม่รู้ทำไม? คืนนี้จึงเกิดความรู้สึกว่าอยากจะรวมเล่มบันทึก "ธรรมใจ ไดอารี่" นี้ให้เสร็จ
พันธกุมภา
ผมเขียนเรื่องนี้ตอนเพิ่งตื่น ตอนนี้ยังไม่ได้ล้างหน้า แปรงฟัน ตาก็ดูเบลอ ทำอะไรก็เบลอๆ อยู่นิดหนึ่ง ยังไม่ค่อยมีใจอยากจะทำอะไร ความขี้เกียจเป็นเพื่อนที่ไม่หนีไปไหน ยังคงยืนอยู่ข้างๆ กายผม ไม่อยากทำอะไรเลย แม้ว่าจะมีงานมากน้อยเพียงใด ผมอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงที่การอยู่เฉยๆ เพราะเวลาไม่ได้ทำอะไรก็ดีไปอีกอย่าง...บอกไม่ถูกครับ
พันธกุมภา
  ตอนนี้ผมพบว่าความอ่อนล้าทำให้เหนื่อยกับสิ่งกำลังทำอยู่ ไม่ว่างานจะสนุกเพียงใด แต่ถ้าอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาในชีวิตจนไม่สามารถจัดการได้ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง วิธีการเรียงลำดับความสำคัญของงานเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับการมีชีวิตที่สมดุลกัน
พันธกุมภา
แม่เพิ่งโทรมาถามผมว่าวันเกิดปีนี้จะทำอะไร? และเตือนว่าอย่าลืมไปทำบุญถวายพระ แถมยังบอกอีกว่าปีนี้ อยากให้ทำทานโดยการซื้อผ้าเช็ดตัวให้กับผู้เฒ่าผู้แก่และเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ในหมู่บ้าน ผมรู้สึกดีใจที่คุณแม่โทรมา เพราะอย่างน้อยแสดงว่าท่านจำวันเกิดของผมได้ แม้ว่าผมจะไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรกับวันเกิดเพราะมันก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งสำหรับผม แต่ที่ไหนได้วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณแม่ เพราะท่านได้ให้การเกิดผมมาลืมตาดูโลก
พันธกุมภา
ช่วงอาทิตย์กว่าที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่คนรอบข้างผมต้องเสียชีวิตไปมากกว่า 3 คน คนหนึ่งเสียชีวิตด้วยการยิงตัวตาย อีกคนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และคนสุดท้ายเสียชีวิตดูความชรา การจากไปของคนรู้จักเหล่านี้ แน่นอนว่านำมาซึ่งความเสียใจ ความเศร้าโศก และมันก็ทำให้ผมคิดถึง “ความตาย” อยู่ทุกๆ ขณะ เพราะความตายนี้เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราจริงๆ ซึ่งมันเป็นการบอกย้ำธรรมชาติของชีวิตว่าชีวิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง
พันธกุมภา
หลังจากวันที่เริ่มบันทึกมาจนถึงวันนี้ ก็ผ่านเลยมาหลายวันแล้ว มีเรื่องราวหลายๆ อย่างเกิดขึ้นในชีวิตแต่เท่าที่สำคัญและจำได้ดีคือ ช่วงวันที่ 5 - 15 มกราคม ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ ที่ทำงานสุขภาวะทางเพศประมาณ 20 คนได้เข้าอบรมภาวนาภายในและการเรียนรู้โครงสร้างทางสังคม ที่บ้านสวนธารทิพย์ ซึ่งมีพี่อวยพร เขื่อนแก้ว เป็นกระบวนกรหลัก