ชีวิตในการอยู่ท่ามกลางขุนเขา ป่าไม้ ร่มไพร ลำธาร เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ได้มีอากาสเฝ้ามองใจของตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง เป็นบรรยากาศที่เห็นอาการต่างๆ เกิดขึ้น แปรเปลี่ยนไป ตามการปรุงแต่งของอารมณ์และสิ่งที่เข้ามากระทบภายนอก ทั้งการดูผ่านตา ได้ยินผ่านหู ได้กลิ่นผ่านจมูก ก็ตาม
ที่วัดป่าสุคะโต เป็นบ้านหลังใหญ่ที่พาใจไปพบกับการเรียนรู้ตัวเอง บรรยากาศวิเวกสงบ ในตอนค่ำคืน ชวนใจให้เห็นความกลัวได้ชัดเจนมาก โดยเฉพาะตอนหนึ่งที่ผมเดินจงกรมตอนกลางคืนและจุดเทียนเล่มใหญ่ไว้ท่ามกลางความมืดมิด ผมรู้สึกว่าการเดินเป็นวิธีการภาวนาในรูปแบบที่ทำให้ผมเกิดสติระลึกรู้ได้บ่อยๆ ผมจึงเลือกที่จะเดินและเฝ้ามองใจตัวเองไปด้วย
ในตอนกลางคืนนี้ หลังจากฟังธรรมจากหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ เนื่องในวันเข้าพรรษาแล้ว ผมได้หาทางเดินบริเวณ “ศาลาไก่” ซึ่งเป็นศาลาที่ผมพักรวมกับท่านอื่นๆ เพื่อเดินจงกรม ใกล้ๆ กับที่พัก ตอนแรกๆ ที่มาเดินไฟบนศาลายังเปิดสว่าง ผู้คนยังคนสนทนากันพอได้ยินเสียงบ้าง ผมไม่กล้าไปไหนไกล เพราะความมืด ความเงียบ ยังทำให้ผมกลัวอยู่มากนัก
ผมจุดเทียน เพื่อให้เกิดแสงสว่างระหว่างทางเดินจงกรม และค่อยๆ ก้าวเท้า สังเกตกายและใจเคลื่อนไหว แปรเปลี่ยนไปแต่ละขณะๆ และเดินไปได้เพียงไม่กี่นาที แสงไฟบนศาลาไก่ก็ดับลง เสียงคนคุยกันเงียบลง ตอนนี้ใจผมก็มีแต่ความกลัว ความปรุงแต่งมากมายเกิดขึ้น
การเดินตอนกลางคืนแตกต่างกับตอนกลางวันอย่างยิ่ง และมันทำให้เกิดอาการฟุ้งซ่าน ปรุงแต่งเพิ่มมากขึ้น ทว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่อยู่ภายนอกที่เข้ามากระทบใจ เราเพียงทำหน้าที่ “แค่รู้แค่ดู” สังเกตความเคลื่อนไหวของกายและใจไป ตามความเป็นจริง ในปัจจุบันขณะ การเดินท่ามกลางป่าไม้สูงๆ ต้นไม้เยอะๆ อากาศเย็นๆ หรือแม้แต่เสียงนิดๆ น้อยๆ ที่ดังขึ้นจากต้นไม้ และความเงียบสงัด ก็ชวนให้ใจฟุ้งไปมากทีเดียว ฉะนั้นตอนกลางคืนนี้แหละ เป็นช่วงที่จะช่วยให้เราสังเกต “ใจ” ตัวเอง ได้ชัดดีทีเดียว
เหมือนเรื่องที่เคยได้ยินจากครูบาอาจารย์ว่า มีจอมปลวกอยู่ 6 รู แล้วเจ้าตัวเงินตัวทองจะเข้าๆ ออกๆ รูต่างๆ ทั้งนี้ให้เราสังเกตเพียงรูเดียวก็พอ... ซึ่งพออุปมาได้ว่า รูทั้ง 6 รู คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ของเรา ที่เป็นประสาทสัมผัสรับรู้ผัสสะอารมณ์ภายนอก ทว่า สิ่งที่ควรเฝ้าดู 1 รู ที่สำคัญนั่นก็คือ “ใจ” นี่เอง เพราะใจ เป็นตัวที่ทำให้เกิดความยินดี ยินร้าย มีความคิด แตกย่อยได้อีกสารพัด เราจึงเฝ้าแค่รู้แค่ดูในรู “ใจ” ก็เพียงพอ
ด้วยเหตุนี้ การอยู่ในป่าตอนกลางคืน เราเพียงแค่เดินไปเรื่อยๆ และเฝ้าสังเกตการณ์แปรเปลี่ยนของ “ใจ” และก็แน่นอนครับว่าบางทีจิตก็ไปรู้ที่อารมณ์ ความคิด บางทีจิตก็ไปรู้ที่กายเคลื่อนไหว ป่าเขาจึงทำให้เห็นสภาวะได้และฝึกสติได้เป็นอย่างดี หากเราจะเดินคนเดียวตอนกลางคืน ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในการหาผัสสะใหม่ๆ เข้ามากระทบตัวเองบ้าง
สิ่งที่ผมได้จากการเดินป่าตอนกลางคืนก็คือ หากเดินคนเดียวควรจะอยู่ใกล้ผู้คนเข้าไว้ เพราะบางทีหากเกิดอะไรที่ไม่พึงประสงค์จะได้ตะโกนเรียกคนมาช่วยได้ทัน นอกจากเรื่องความปลอดภัยที่ต้องคำนึงถึงแล้ว เรื่องความกลัว ฟุ้งซ่าน ใจแปรปรวน ปรุงแต่งไปมา เป็นเรื่องที่เราต้องพึ่งตัวเองและดูกำลังสติของตนเองด้วยครับ