Skip to main content

มีเรื่องหนึ่ง ที่อยากเตือนตัวเองมากๆ นั่นคือว่านักภาวนาหลายๆ คน พอภาวนาไปแล้ว ก็เริ่มคิดว่าเป็นนักภาวนา บางทีเราก็หลงไปสร้างภาพความเป็นคนดีขึ้นมาทันที จนลืมนึกถึงไปว่าเราภาวนาเพื่อเห็นความจริง และความจริงนี้ก็เป็นความจริงธรรมดาของกายและใจเท่านั้นเอง


จะว่าไปการเป็นนักภาวนานี้ก็เป็นการสร้างความทุกข์ให้กับตัวเองแบบหนึ่งเหมือนกันนะครับ เมื่อก่อนผมมักจะแบกรับความเป็นนักภาวนากับตัวเอง ตัวเองจะต้องเป็นคนเรียบร้อย ทำอะไรช้าๆ เนิบๆ นุ่มนวล อ่อนโยน ไม่โกรธใคร มีเมตตาต่อทุกๆ คน ทว่าภาพเหล่านี้กลับมาทำให้ตัวเองไม่สามารถที่จะ “ยอมรับ” ความจริงที่เกิดขึ้นภายในจิตใจได้เลย


เพราะภาพของความเป็นนักภาวนา มันพ่วงเอาความดีเข้ามาด้วย หรือถ้าจะกล่าวตรงๆ ก็คือ เป็นนักภาวนาแล้วติดดี นี่แก้ได้ยากกว่าติดร้าย เพราะว่าสภาวะความดี เช่น การแสดงออกที่อ่อนโยน ไม่ก้าวร้าว ไม่โกรธใคร หรือต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้ตัวของเราเองต้องแบกความทุกข์เพราะเราอยากให้จิตที่ไม่ดีมันดี และอยากจะให้คนอื่นมองเราในแง่ดี ว่าเราเป็นนักภาวนาในความดี


การเป็นนักภาวนาในแง่ของการแสดงออก ผมเห็นด้วยว่าเราควรจะแสดงออกในทางที่ดีต่อคนอื่น ทั้งทางกายและวาจา ส่วนเรื่องของท่าทีและบุคลิกก็เป็นอีกอย่างที่อาจเป็นจริตนิสัยประจำตัวของคนๆ นั้น ทว่าสิ่งที่เราหลายคนกำลังเผชิญและควรจะยอมรับนั่นคือ “ความจริง” ที่เกิดขึ้นที่กายและใจ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม


การที่จะช่วยให้เรามองข้ามความดีเลวได้ นั่นคือ “ใช้ใจรู้” มากกว่า “ใช้หัวรู้” เพราะหัวของเรามักจะคิดอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี มีความพอใจ ไม่พอใจ ยินดี ยินร้ายในหลายๆ อย่าง และแนะนอนว่าหัวของเราถูกสอนมาตลอดว่าให้เป็นคนดี ขณะเดียวกัน การใช้ใจรู้หรือยอมรับความจริงต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เพียงใจเรารู้เฉยๆ รู้ซื่อๆ ว่าตอนนี้จิตใจเป็นแบบนี้ ขณะนี้จิตใจแปรเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบ และรู้ตามจริงแต่ละขณะๆ ใจจะไม่ปรุงแต่งหรือยินดียินร้าย และจะอยู่กับความจริงที่เกิดขึ้น


การเรียนรู้กายและใจตามความเป็นจริง เป็นเรื่องธรรมดาที่มักเจอและเราหลายคนก็ไปสร้างภาพนักภาวนาที่สวยหรู เป็นคนอีกแบบหนึ่ง กลายเป็นติดดีและบางทีก็เกิดกิเลสแฝงเข้ามาโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะไปคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น คนอื่นดีไม่เท่าตัวเอง


มาถึงตรงจุดนี้ผมจึงเข้าใจคำสอนของครูบาอาจารย์ที่ว่า “ให้ปฏิบัติเหมือนไม่ได้ปฏิบัติ” หรือ “ให้ภาวนาเหมือนไม่ได้ภาวนา” ผมจึงมองว่านักภาวนาควรรู้ทันตัวเองตรงจุดนี้ หรืออาจต้องลืมเรื่องภาวนาไปก่อน หากยังติดในภาพนักภาวนาที่ตัวเองสร้างขึ้นและกลายเป็นคนไม่ธรรมดา และหันกลับมาให้ชีวิตตามปกติ ธรรมดา มีสุข มีทุกข์ ดีใจ เสียใจ มีความอยาก ความโกรธ ความหลง และยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นในใจของตน เพราะจิตของการภาวนานี้เป็นการมองเข้ามายังตัวตนที่เป็นอยู่ มันเป็นเรื่องความจริงที่อยู่เหนือความดีความเลว เพียงแค่เรายอมรับความร้ายกาจ ยอมรับกิเลส ไม่ปฏิเสธ ไม่หนี ไม่ผลักไส และอดทนต่อการมาเยือนของสภาวะที่ไม่ชอบใจ เพียงแค่รู้ แค่ดูเฉยๆ


เพราะสภาวะร้ายๆ เราแค่รู้ข้างในใจตัวเองเพื่อให้เกิดปัญญา ส่วนการแสดงออกต่อผู้อื่นทางกาย วาจา ท่าที ก็ให้มีเมตตาอยู่ไว้ เพราะยังไงความจริงที่เราเผชิญก็จะทำให้เรามีปัญญาและเมตตาต่อตนเองและผู้อื่นไปอย่างรู้ตัวทั่วพร้อม

 

 

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบอยู่กับตัวเอง เพราะมีความรู้สึกไม่มั่นคง อีกทั้งยังคิดว่าเราควรที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ บ้าง ในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การเรียน หรือกิจกรรมต่างๆ ที่มีในความสัมพันธ์  แต่เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ จำนวนหนึ่งที่ทำงานขับเคลื่อนทางสังคมในเรื่องชีวิตทางเพศได้เข้าร่วมภาวนา หรือ Retreat ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการภาวนาเพื่อติดตามเพื่อนๆ ที่ได้ภาวนาในรุ่นต่างๆ ก่อนหน้านี้ให้ได้พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยน ซึ่งกันและกันว่าใครเป็นอย่างไร มีสุข มีทุกข์อย่างไรบ้าง
พันธกุมภา
เมื่อมีเวลาตรวจดูสภาวะจิตใจของตัวเองในช่วงนี้แล้ว ก็เหมือนกับว่าผมได้พบกันสภาวธรรมต่างๆ ที่แปรเปลี่ยนไปหลายๆ ประการ มีเกิด มีดับ สลับกันไปในจิตแต่ละช่วงขณะ คือค่อยๆ รู้สึกตัวบ้างในบางครั้ง รู้ว่าเผลอ รู้ว่าหลง รู้ว่าประคอง ในอารมณ์ต่างๆ เช่น ความคิด ความโกรธ หรือแม้กระทั่งความอยาก
พันธกุมภา
ผมถามพี่ที่รู้จักกันท่านหนึ่งว่า "ที่คนทั่วไปไม่ค่อยปฏิบัติธรรมเพราะอะไร"และพี่ท่านนี้ก็ได้ตอบจากประสบการณ์ของตัวเอง ว่า เมื่อก่อนเค้าไม่สนใจ  เพราะเป็นเด็กจะไม่ค่อยมีความทุกข์ แต่พอโตขึ้นแล้วไม่สามารถหาคำตอบได้ในบางคำถาม แต่ธรรมะกลับตอบได้
พันธกุมภา
ถามสวัสดีค่ะเหนื่อยจัง  นอนน้อยเลยเบลอมีคำถามมาถามน้องอีกแล้วค่ะ  คือเมื่อคืนและเมื่อหลายคืนก่อน ดูละครสาปภูษา กับสุสานภูเตศวรสองเรื่องนี้มีความเหมือนกันอยู่อย่างคือ  ย้อนยุค  ทะลุมิติ  โดยมีเรื่องวิญญาณมาเกี่ยวข้องจู่ๆ ก็มีคนถามขึ้นมาว่า  เชื่อเรื่อง ชาตินี้ ชาติหน้า ไหมทำให้พี่คิดขึ้นมาว่า เออ แล้วมันจริงเหรอ เรื่องนี้น่ะไม่รู้สิคะ  ตามความคิดส่วนตัวคือ เชี่อค่ะเชื่อ เลยไม่อยากทำอะไรไม่ดีเลย  อยากสั่งสมความดี สร้างบุญเพราะเราเห็นว่ามันสุขตั้งแต่นาทีที่ทำวันก่อนอ่านหนังสือคุณ ดังตฤณ พี่คิดว่าตามแนวคิดคุณดังตฤณ  มันก็มีจริงสิคะ ชาตินี้…
พันธกุมภา
ต่อจากการตอบจดหมายเรื่องทุกข์ใจกับคนที่ไม่ชอบเรา1 ขอบคุณอย่างยิ่งค่ะอ่านแล้วรู้สึกน้ำตาจะไหล
พันธกุมภา
ช่วงที่ผ่านมา มีจดหมายจาก คุณ พรพรรณ เขียนจดหมายมาสอบถามผม 4 เรื่องดังนี้  1. การที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนที่เขาไม่ชอบเรา หรือมีทัศนคติที่ขัดแย้งกัน  เราควรทำอย่างไร2. การแผ่เมตตา  ช่วยให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นคลายลง ได้หรือไม่  และการแผ่เมตตามีคุณอย่างไร3. การไปปฏิบัติ  จะช่วยให้เกิดผลบุญถึงเจ้ากรรมนายเวรได้จริงหรือเปล่าคะ4. คุณน้องเต้าเชื่อเรื่องกรรม หรือไม่คะ ผมได้รับและตอบกลับดังนี้.................... สวัสดีครับ ขอบคุณที่ไว้วางใจให้ผมได้แบ่งปันนะครับแต่...สภาวะของผมอาจเป็นคนอื่น…
พันธกุมภา
 คืนนี้ ดึกแล้วครับช่วงเวลาตีสามกว่าๆ ควรเป็นเวลาที่ผมจะได้นอนหลับอย่างสงบแต่ไม่รู้ทำไม? คืนนี้จึงเกิดความรู้สึกว่าอยากจะรวมเล่มบันทึก "ธรรมใจ ไดอารี่" นี้ให้เสร็จ
พันธกุมภา
ผมเขียนเรื่องนี้ตอนเพิ่งตื่น ตอนนี้ยังไม่ได้ล้างหน้า แปรงฟัน ตาก็ดูเบลอ ทำอะไรก็เบลอๆ อยู่นิดหนึ่ง ยังไม่ค่อยมีใจอยากจะทำอะไร ความขี้เกียจเป็นเพื่อนที่ไม่หนีไปไหน ยังคงยืนอยู่ข้างๆ กายผม ไม่อยากทำอะไรเลย แม้ว่าจะมีงานมากน้อยเพียงใด ผมอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงที่การอยู่เฉยๆ เพราะเวลาไม่ได้ทำอะไรก็ดีไปอีกอย่าง...บอกไม่ถูกครับ
พันธกุมภา
  ตอนนี้ผมพบว่าความอ่อนล้าทำให้เหนื่อยกับสิ่งกำลังทำอยู่ ไม่ว่างานจะสนุกเพียงใด แต่ถ้าอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาในชีวิตจนไม่สามารถจัดการได้ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง วิธีการเรียงลำดับความสำคัญของงานเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับการมีชีวิตที่สมดุลกัน
พันธกุมภา
แม่เพิ่งโทรมาถามผมว่าวันเกิดปีนี้จะทำอะไร? และเตือนว่าอย่าลืมไปทำบุญถวายพระ แถมยังบอกอีกว่าปีนี้ อยากให้ทำทานโดยการซื้อผ้าเช็ดตัวให้กับผู้เฒ่าผู้แก่และเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ในหมู่บ้าน ผมรู้สึกดีใจที่คุณแม่โทรมา เพราะอย่างน้อยแสดงว่าท่านจำวันเกิดของผมได้ แม้ว่าผมจะไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรกับวันเกิดเพราะมันก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งสำหรับผม แต่ที่ไหนได้วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณแม่ เพราะท่านได้ให้การเกิดผมมาลืมตาดูโลก
พันธกุมภา
ช่วงอาทิตย์กว่าที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่คนรอบข้างผมต้องเสียชีวิตไปมากกว่า 3 คน คนหนึ่งเสียชีวิตด้วยการยิงตัวตาย อีกคนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และคนสุดท้ายเสียชีวิตดูความชรา การจากไปของคนรู้จักเหล่านี้ แน่นอนว่านำมาซึ่งความเสียใจ ความเศร้าโศก และมันก็ทำให้ผมคิดถึง “ความตาย” อยู่ทุกๆ ขณะ เพราะความตายนี้เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราจริงๆ ซึ่งมันเป็นการบอกย้ำธรรมชาติของชีวิตว่าชีวิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง
พันธกุมภา
หลังจากวันที่เริ่มบันทึกมาจนถึงวันนี้ ก็ผ่านเลยมาหลายวันแล้ว มีเรื่องราวหลายๆ อย่างเกิดขึ้นในชีวิตแต่เท่าที่สำคัญและจำได้ดีคือ ช่วงวันที่ 5 - 15 มกราคม ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ ที่ทำงานสุขภาวะทางเพศประมาณ 20 คนได้เข้าอบรมภาวนาภายในและการเรียนรู้โครงสร้างทางสังคม ที่บ้านสวนธารทิพย์ ซึ่งมีพี่อวยพร เขื่อนแก้ว เป็นกระบวนกรหลัก