Skip to main content

ในแต่ละวันชีวิตคนเราก็มีเวลา 24 ชั่วโมง เหมือนกัน ไม่มีใครมีเวลามากหรือน้อยไปกว่ากัน ทว่าอยู่ที่ว่าใครจะจัดสรรเวลาให้กับตัวเองมากน้อยเพียงใด ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว และอื่นๆ อีกมายมาย ซึ่งการจัดระดับความสำคัญของภารกิจระหว่างวันแต่ลัอย่างนื้ถือเป็นเรื่องที่ช่วยให้วันแต่ละวันผ่านไปอย่างมีคุณประโยชน์


ยิ่งเวลาภาวนา หรือ ดูกายดูจิต ระหว่างวัน ก็เป็นเรื่องที่หลายคนยิ่งต้องกลับมามองตัวเองว่าแต่ละวันเรามีสติรู้สึกตัวบ่อยครั้งเพียงใด เราได้เรียนรู้ความเป็นจริงของกายและใจในระหว่างวันบ่อยครั้งแรกไหน เพราะสิ่งนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับคนที่ภาวนา


เพราะหากเราแยกการภาวนาออกจากชีวิตระหว่างวัน โดยมองว่าการภาวนาคือการเข้าวัด เข้าป่า หรือ เป็นการนั่งหลับตา นั่งขัดสมาธิ เพียงอย่างเดียว ก็ยิ่งทำให้เราห่างไกลการรู้สึกตัวอย่างมากทีเดียว และอาจทำให้เราไม่สามารถเผชิญกับเรื่องราวต่างๆ ระหว่างวันด้วยการมีสติรู้สึกตัวเลยก็ว่าได้


เมื่อตอนเริ่มต้นภาวนาแรกๆ ผมเข้าใจผิดว่าต้องนั่งหลับตาภาวนาอย่างเดียว และทำตอนเช้าและเย็นก็พอ แต่กลายเป็นว่าระหว่างวันทั้งวันใจผมก็หลงไปกับความคิด ความปรุงแต่งต่างๆ จนแทบจะนับครั้งได้เลยว่าวันทั้งวันนั้นแหละที่หลงไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวอะไรเลย


ต่อจากนั้นผมก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า แท้แล้วเราภาวนาก็ต้องเอามาปฏิบัติในชีวิตของเราให้ได้ เราควรจะทำให้การใช้ชีวิตของเราแต่ละขณะ เป็นการภาวนาไปด้วย และหลังจากนั้นผมก็ได้มีโอกาสภาวนากับครูบาอาจารย์และฟังธรรมเทศนาจากท่านและก็พบว่า การภาวนาในชีวิตระหว่างวันนี้แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุด


ธรรมที่แท้จริงอยู่ที่การภาวนาในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะใจเราหลงตลอดเวลา ฉะนั้นหากเรารู้สึกตัวบ่อยๆ ก็จะช่วยให้เราเกิดสติได้บ่อยๆ ใจจะได้เท่าทันไปเผลอหลงไปทำตามกิเลสที่เข้ามาเยือน


ทั้งนี้ ผมมองว่าการภาวนาก็มีทั้งในรูปแบบและภาวนาระหว่างวัน ซึ่งก็สามารถที่จะนำมาประยุกต์เข้ากับชีวิตของคนแต่ละคนได้อย่างเหมาะสมและการภาวนาในชีวิตประจำวันนี้ควรจะเป็น “งานประจำ” ของเรา มากกว่าที่จะคิดว่าการภาวนาคือ “งานอดิเรก” หรือทำชั่วครั่ง ชั่วคราว นานๆ ที นานๆ ครั้งก็พอ


ที่สุดแล้ว ใจของเรานี้มันหลงใหลปรุงแต่งฟุ้งซ่านไปแต่ละขณะที่เราหายใจเข้าออก ฉะนั้นแล้ว หลักชีวิตสำหรับตัวผมที่ได้ก็คือการเจริญสติภาวนาคือรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงในชีวิตระหว่างวัน และหากมีเวลาบ้างก็จัดแบ่งเวลาสักช่วงหนึ่งให้ได้ภาวนาในรูปแบบ และไปภาวนาตามสถานที่ที่สงบเหมาะแก่การเปลี่ยนแปลงบรรยากาศ และสร้างความหลากหลายในการภาวนาให้กับตัวเอง


เหมือนดังมีใครบางคนบอกว่าขอให้การหายใจเข้าออกแต่ละครั้งเป็นการระลึกถึงกาย ขอให้การเดินแต่ละก้าวเป็นการเดินจงกรม ขอให้การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งทำให้เห็นกายเคลื่อนไหว ขอให้ความทุกข์ใจ โกรธ หงุดหงิด ไม่พอใจ ฯลฯ เป็นบททดสอบให้เห็นความจริงของใจแต่ละขณะๆ เพียงเท่านี้ชีวิตระหว่างวันก็ผ่านพ้นไปอย่างมีประโยชน์

 

 

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบอยู่กับตัวเอง เพราะมีความรู้สึกไม่มั่นคง อีกทั้งยังคิดว่าเราควรที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ บ้าง ในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การเรียน หรือกิจกรรมต่างๆ ที่มีในความสัมพันธ์  แต่เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ จำนวนหนึ่งที่ทำงานขับเคลื่อนทางสังคมในเรื่องชีวิตทางเพศได้เข้าร่วมภาวนา หรือ Retreat ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการภาวนาเพื่อติดตามเพื่อนๆ ที่ได้ภาวนาในรุ่นต่างๆ ก่อนหน้านี้ให้ได้พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยน ซึ่งกันและกันว่าใครเป็นอย่างไร มีสุข มีทุกข์อย่างไรบ้าง
พันธกุมภา
เมื่อมีเวลาตรวจดูสภาวะจิตใจของตัวเองในช่วงนี้แล้ว ก็เหมือนกับว่าผมได้พบกันสภาวธรรมต่างๆ ที่แปรเปลี่ยนไปหลายๆ ประการ มีเกิด มีดับ สลับกันไปในจิตแต่ละช่วงขณะ คือค่อยๆ รู้สึกตัวบ้างในบางครั้ง รู้ว่าเผลอ รู้ว่าหลง รู้ว่าประคอง ในอารมณ์ต่างๆ เช่น ความคิด ความโกรธ หรือแม้กระทั่งความอยาก
พันธกุมภา
ผมถามพี่ที่รู้จักกันท่านหนึ่งว่า "ที่คนทั่วไปไม่ค่อยปฏิบัติธรรมเพราะอะไร"และพี่ท่านนี้ก็ได้ตอบจากประสบการณ์ของตัวเอง ว่า เมื่อก่อนเค้าไม่สนใจ  เพราะเป็นเด็กจะไม่ค่อยมีความทุกข์ แต่พอโตขึ้นแล้วไม่สามารถหาคำตอบได้ในบางคำถาม แต่ธรรมะกลับตอบได้
พันธกุมภา
ถามสวัสดีค่ะเหนื่อยจัง  นอนน้อยเลยเบลอมีคำถามมาถามน้องอีกแล้วค่ะ  คือเมื่อคืนและเมื่อหลายคืนก่อน ดูละครสาปภูษา กับสุสานภูเตศวรสองเรื่องนี้มีความเหมือนกันอยู่อย่างคือ  ย้อนยุค  ทะลุมิติ  โดยมีเรื่องวิญญาณมาเกี่ยวข้องจู่ๆ ก็มีคนถามขึ้นมาว่า  เชื่อเรื่อง ชาตินี้ ชาติหน้า ไหมทำให้พี่คิดขึ้นมาว่า เออ แล้วมันจริงเหรอ เรื่องนี้น่ะไม่รู้สิคะ  ตามความคิดส่วนตัวคือ เชี่อค่ะเชื่อ เลยไม่อยากทำอะไรไม่ดีเลย  อยากสั่งสมความดี สร้างบุญเพราะเราเห็นว่ามันสุขตั้งแต่นาทีที่ทำวันก่อนอ่านหนังสือคุณ ดังตฤณ พี่คิดว่าตามแนวคิดคุณดังตฤณ  มันก็มีจริงสิคะ ชาตินี้…
พันธกุมภา
ต่อจากการตอบจดหมายเรื่องทุกข์ใจกับคนที่ไม่ชอบเรา1 ขอบคุณอย่างยิ่งค่ะอ่านแล้วรู้สึกน้ำตาจะไหล
พันธกุมภา
ช่วงที่ผ่านมา มีจดหมายจาก คุณ พรพรรณ เขียนจดหมายมาสอบถามผม 4 เรื่องดังนี้  1. การที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนที่เขาไม่ชอบเรา หรือมีทัศนคติที่ขัดแย้งกัน  เราควรทำอย่างไร2. การแผ่เมตตา  ช่วยให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นคลายลง ได้หรือไม่  และการแผ่เมตตามีคุณอย่างไร3. การไปปฏิบัติ  จะช่วยให้เกิดผลบุญถึงเจ้ากรรมนายเวรได้จริงหรือเปล่าคะ4. คุณน้องเต้าเชื่อเรื่องกรรม หรือไม่คะ ผมได้รับและตอบกลับดังนี้.................... สวัสดีครับ ขอบคุณที่ไว้วางใจให้ผมได้แบ่งปันนะครับแต่...สภาวะของผมอาจเป็นคนอื่น…
พันธกุมภา
 คืนนี้ ดึกแล้วครับช่วงเวลาตีสามกว่าๆ ควรเป็นเวลาที่ผมจะได้นอนหลับอย่างสงบแต่ไม่รู้ทำไม? คืนนี้จึงเกิดความรู้สึกว่าอยากจะรวมเล่มบันทึก "ธรรมใจ ไดอารี่" นี้ให้เสร็จ
พันธกุมภา
ผมเขียนเรื่องนี้ตอนเพิ่งตื่น ตอนนี้ยังไม่ได้ล้างหน้า แปรงฟัน ตาก็ดูเบลอ ทำอะไรก็เบลอๆ อยู่นิดหนึ่ง ยังไม่ค่อยมีใจอยากจะทำอะไร ความขี้เกียจเป็นเพื่อนที่ไม่หนีไปไหน ยังคงยืนอยู่ข้างๆ กายผม ไม่อยากทำอะไรเลย แม้ว่าจะมีงานมากน้อยเพียงใด ผมอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงที่การอยู่เฉยๆ เพราะเวลาไม่ได้ทำอะไรก็ดีไปอีกอย่าง...บอกไม่ถูกครับ
พันธกุมภา
  ตอนนี้ผมพบว่าความอ่อนล้าทำให้เหนื่อยกับสิ่งกำลังทำอยู่ ไม่ว่างานจะสนุกเพียงใด แต่ถ้าอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาในชีวิตจนไม่สามารถจัดการได้ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง วิธีการเรียงลำดับความสำคัญของงานเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับการมีชีวิตที่สมดุลกัน
พันธกุมภา
แม่เพิ่งโทรมาถามผมว่าวันเกิดปีนี้จะทำอะไร? และเตือนว่าอย่าลืมไปทำบุญถวายพระ แถมยังบอกอีกว่าปีนี้ อยากให้ทำทานโดยการซื้อผ้าเช็ดตัวให้กับผู้เฒ่าผู้แก่และเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ในหมู่บ้าน ผมรู้สึกดีใจที่คุณแม่โทรมา เพราะอย่างน้อยแสดงว่าท่านจำวันเกิดของผมได้ แม้ว่าผมจะไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรกับวันเกิดเพราะมันก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งสำหรับผม แต่ที่ไหนได้วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณแม่ เพราะท่านได้ให้การเกิดผมมาลืมตาดูโลก
พันธกุมภา
ช่วงอาทิตย์กว่าที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่คนรอบข้างผมต้องเสียชีวิตไปมากกว่า 3 คน คนหนึ่งเสียชีวิตด้วยการยิงตัวตาย อีกคนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และคนสุดท้ายเสียชีวิตดูความชรา การจากไปของคนรู้จักเหล่านี้ แน่นอนว่านำมาซึ่งความเสียใจ ความเศร้าโศก และมันก็ทำให้ผมคิดถึง “ความตาย” อยู่ทุกๆ ขณะ เพราะความตายนี้เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราจริงๆ ซึ่งมันเป็นการบอกย้ำธรรมชาติของชีวิตว่าชีวิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง
พันธกุมภา
หลังจากวันที่เริ่มบันทึกมาจนถึงวันนี้ ก็ผ่านเลยมาหลายวันแล้ว มีเรื่องราวหลายๆ อย่างเกิดขึ้นในชีวิตแต่เท่าที่สำคัญและจำได้ดีคือ ช่วงวันที่ 5 - 15 มกราคม ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ ที่ทำงานสุขภาวะทางเพศประมาณ 20 คนได้เข้าอบรมภาวนาภายในและการเรียนรู้โครงสร้างทางสังคม ที่บ้านสวนธารทิพย์ ซึ่งมีพี่อวยพร เขื่อนแก้ว เป็นกระบวนกรหลัก