Skip to main content

 

ในการภาวนาบ่อยครั้งนักที่ผมมักจะได้ยินคนอื่นๆ มาเล่าให้ฟังทำนองว่า สถานที่นี้ไม่ดีเลย ไม่เหมาะที่จะภาวนาเลย เสียงก็ดัง คนก็เยอะ ไม่มีที่ ไม่มีทางเดินจงกรมหรือนั่งปฏิบัติเลย เพราะมองว่าการที่จะภาวนาได้นั้นจะต้องไปในสถานที่ที่มีรูปแบบ เช่น มีทางให้เดินจงกรม มีเบาะให้นั่งภาวนา เป็นต้น

การจะภาวนาแต่ไปติดตรงที่ว่าควรจะภาวนาในสถานที่อย่างไรนั้น อาจทำให้หลายๆ คนไม่สามารถที่จะภาวนาได้อย่างปัจจุบัน เพราะมักคิดถึงสถานที่ที่เอื้อต่อการภาวนา คือ ควรเป็นที่ที่สงบ สัปปายะ ไม่มีคนไปมาวุ่นวาย ไม่มีการปะทะสังสรรค์มากนัก เพราะการจะภาวนาต้องอยู่อย่างเงียบๆ สำรวมทั้งกาย วาจา

 

ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบภาวนาในที่เงียบๆ สงบๆ โดยเฉพาะตามป่าเขา โดยเฉพาะตอนอยู่ที่ถ้ำผาปล่อง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ห่างไกลผู้คน และจะทำให้ได้มีโอกาสและเวลาที่จะอยู่กับตัวเองที่แท้จริง ทำให้ได้เห็นความคิด จิตใจของตนเองอย่างชัดเจน และหากต้องการความสงบในสมาธิ ก็เอื้ออย่างยิ่งให้เกิดจิตที่เป็นสมาธิ

 

ทว่าขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า แม้เราจะผันตัวเองไปอยู่ที่เงียบๆ ตามวัด แต่จะมีสักไม่กี่วัน หรือ สักไม่กี่ชั่วโมง เพราะชีวิตของเราที่ดำเนินไปในแต่ละวัน ในระหว่างวัน ก็ถือว่าเวลามากกว่ากันหลายเท่านัก ฉะนั้นแล้วการภาวนาที่ช่วยให้เห็นความจริงของใจได้อย่างชัดเจนและนำมาใช้จริงได้นั้นก็คือการภาวนาในชีวิตประจำวัน ในแต่ละวันๆ ของเรา ไม่ว่าจะทำงาน เรียนหนังสือ พบปะสังสรรค์กับเพื่อน เป็นต้น

 

สถานที่ภายนอกอาจมีความสำคัญระดับหนึ่ง แต่การกลับมายัง “สถานที่ภายใน” คือ “ใจ” ของเรานั้น ก็เป็นส่วนที่เราควรน้อมกลับมาให้ความสำคัญและกลับมาสู่ตัวเอง มาเรียนรู้ภายในจิตใจของตัวเอง เพราะใจของเราเป็นเสมือน “บ้านที่แท้จริง” ที่เราควรจะกลับมาดูใจของตน พาใจกลับมายังบ้านที่แท้จริง และเรียนรู้ดูใจตามความเป็นจริงในระหว่างวัน

 

เมื่อเรามีใจไว้ภาวนาเพื่อรู้ใจของเราที่เปลี่ยนแปลง เคลื่อนไหวไปมา และพยายามสังเกตจิตใจของตัวเองในแต่ละขณะๆ แล้วนั้น สถานที่ภายนอกจึงเป็นเพียงปัจจัยภายนอกที่เอื้อต่อการเรียนรู้ในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่การเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดคือการเรียนรู้ภายในใจที่ไม่เอาสถานที่ภายนอกมาเป็นอุปสรรคในการภาวนา เพราะการภาวนานั้นสามารถฝึกสติรู้สึกตัวทั่วพร้อมได้ในชีวิตแต่ละที่ ไม่จำกัดกาลเวลา ไม่จำกัดสถานที่ ไม่จำกัดบรรยากาศ

 

กล่าวเพิ่มเติมคือ ไม่จำกัดกาลเวลา คือ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาเช้า กลางวัน เย็น ไม่จำกัดสถานที่ คือ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในรถทัวร์โดยสาร รถไฟ เครื่องบิน ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงาน ที่เที่ยวต่างๆ และไม่จำกัดบรรยากาศ คือ ไม่ว่ารอบตัวเราจะเสียงดัง จะมีกลิ่นเหม็น อยู่ในที่แออัดไปด้วยฝูงชน กินดื่มอาหาร อากาศหนาว ร้อน ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็เป็นไม่ถือว่าเป็นอุปสรรคต่อการภาวนา เพราะเราสามารถเราก็สามารถฝึกสติรู้สึกตัวได้ ไม่ว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างไรในแต่ละวัน หลักสำคัญคือในแต่ละขณะเราสามารถมีสติรู้สึกตัวโดยมีใจดู เพื่อให้รู้ใจได้มากน้อยเพียงใด แค่เรารู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริงในชีวิตแต่ละขณะๆ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

 

หลวงพ่อรูปหนึ่งซึ่งผมและพี่ๆ ได้มีโอกาสนมัสการท่าน ในช่วงที่พวกเรามาอยู่ที่วัดถ้ำผาปล่อง ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร หลวงพ่อท่านนี้อยู่โดยลำพัง ณ กุฏินอกวัด ฉะนั้นเราจึง ต้องเดินออกมาหาท่านและได้มีโอกาสสนทนาธรรมจากท่านและฟังคำแนะนำในการปฏิบัติ

 

ท่านกล่าวย้ำว่าการภาวนาแท้ที่สุดแล้ว คือ การมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอย่างซื่อๆ ณ ปัจจุบันขณะ โดยไม่ใช่การนั่งหลับตา หรืออยู่ในรูปแบบเพียงอย่างเดียว เพราะเราต้องดูใจของตนเองในชีวิตประจำวันด้วย ซึ่งท้ายแล้วก็มีอยู่สองสิ่งที่อยู่กับเรา คือ ตัวใจที่รู้และตัวสิ่งที่ถูกรู้ ท่านบอกว่าสิ่งต่างๆ ที่ใจไปเห็นนั้นคือสิ่งที่ถูกรู้ ซึ่งอาจจะเป็นกาย เวทนา หรือจิต เราก็แค่รู้ เมื่อรู้แล้วก็ทิ้งไป อย่าเอามาเก็บไว้ ท่านย้ำว่าเราภาวนาเพื่อรู้และละ ไม่ใช่ภาวนาเพื่อรู้และเอา

 

แม้ว่าท่านจะเคยปฏิบัติด้วยความเพียรทั้งการอดหลับอดทน การนั่งสมาธิ เดินจงกรม ต่อเนื่องเป็นวันๆ หรือแม้แต่การอดหลับเป็นปีๆ หรือ การมีจิตที่เกิดฌานมีความสงบระดับลึก และน้อมใจไปเห็นภพภูมิต่างๆ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้เข้าใจในทุกข์และพ้นจากความทุกข์ ฉะนั้นท่านจึงทิ้งซึ่งต่างๆ เหล่านี้ และกลับมารู้กายรู้ใจในชีวิตระหว่างวัน ท่านบอกว่าเราต้องยอมทิ้งให้หมด ยอมเป็นคนโง่ที่รู้ซื่อๆ และเราจะพบกับความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในตัวเอง

 

ดังนั้นแล้ว ผมจึงค่อนข้างที่จะเข้าใจขึ้นมาอีกระดับหนึ่งว่า ขนาดท่านบำเพ็ญเพียรมากกว่าตัวเราตั้งหลายๆ เท่า เมื่อท่านบอกและเตือนพร้อมทั้งย้ำว่าการภาวนาแท้จริงแล้วคือการอยู่กับปัจจุบันและรู้เท่าทันความจริงที่เกิดขึ้นแต่ละขณะ ก็เป็นหลักใจได้ว่าพอจะมาทางที่ถูกที่ควร ฉะนั้นต่อไปจึงต้องอาศัยความเพียรอย่างพอควรและรู้กายรู้ใจในชีวิตประจำวัน มีใจเป็นผู้รู้ ผู้ดู และอยู่กับปัจจุบันก็เพียงพอแล้ว

 

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมคิดไว้มานานหลายเดือนแล้วว่า จะตั้งใจเขียน "บันทึกการเจริญสติ" ของตัวเองขึ้นมาเพราะคิดว่าคงจะดี ถ้าได้บันทึกไว้ เพื่อการเรียนรู้ของตัวเอง และคนอื่นๆ ที่สนใจ ก่อนที่จะบันทึกในกาลต่อไป ขอเล่าเรื่องการภาวนาของตัวเองก่อน....สำหรับผมแล้ว เริ่มต้นของการปฏิบัติคือเมื่อปลายปี 2549 ก็เกิดจากทุกข์ทางใจ เพราะงานเยอะ เครียด และตอนนั้นแฟนจะขอเลิก เขาเลยเสนอว่าให้ไปปฏิบัติธรรมเพื่อทำใจ จึงได้สมัครไปปฏิบัติของท่าน โกเอ็นก้า ที่ ธรรมอาภา จ.พิษณุโลก พอไปทำมา 10 วัน ก็ดีใจ ที่ทุกข์ครั้งนี้ทำให้ได้พบกับธรรมะ
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนา ปลายปี 2551 นี้ ผมมีโปรแกรมไปเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตอีกครั้ง ภายหลังจากเมื่อสิ้นปี 2550 ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปที่วัดป่าสุคะโตแล้วและได้พบหลัก พบหนทาง หลายอย่างที่เหมาะสมกับตัวเองยิ่งนัก แต่การเดินทางไปครั้งนี้ไม่เหมือนปีก่อน....มีหลายเรื่องเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง ไปตามกาลเวลา สิ่งที่เข้ามารับรู้ทำให้อารมณ์ของผมเกิดขึ้นไปต่างๆ นานา และสิ่งที่เสียใจที่สุด ทำให้ใจหม่นหมองมาหลายวัน นั่นคือการมรณภาพของ "หลวงปู่" เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา เมื่อฉบับที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงโครงการ “ธรรมทานสู่โรงพยาบาล” ที่ผมและลูกปัดไข่มุก ร่วมกันทำในนามกลุ่ม “ธรรมะทำดี” – กลุ่มที่เราสองคนร่วมกันคิด ร่วมกันก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา เพื่อการเผยแพร่ธรรมะที่เราได้พบและเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ที่ผ่านมา พวกเราสองคนต้องขอบคุณพี่ๆ หลายๆ ท่านที่ได้ส่งหนังสือมาให้นะครับ ตอนนี้มีคนที่มอบหนังสือมาหลายเล่ม ทั้งนิตยสาร และหนังสือธรรมะ และก็มีบางส่วนที่เราไปหาซื้อแถวจตุจักร จากเงินเก็บของเราที่มีอยู่
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง พี่มีนา  ผมหายจากหน้าจอไปนานเพราะมีงานให้ทำ จนฟกช้ำจิตใจไปทั่วเลย ไม่ค่อยมีเวลาได้พัก เพราะงานที่ผมรัก ทำให้ผมต้องใช้กำลังกายและความคิดมากเหลือล้น ผมจึงเป็นดั่งคนที่นำเอาพลังชีวิตในอนาคตมาใช้ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพอมีเรี่ยวแรงเหลือใช้หรือไม่ในกาลต่อไป เฮ้อ...แต่ที่จะเล่าให้พี่ฟังครานี้ก็คือ ช่วงที่ผ่านมาผมและ “ลูกปัดไข่มุก” ได้ไปจัดห้องสนทนาธรรมชื่อห้องว่า “ห้องธรรมตามใจ” เนื่องในงานเพศศึกษาวิชาการขององค์การแพธ แล้วมีเรื่องที่น่าสนใจมากมาย ทว่าในฉบับนี้อยากเอาคำคมชวนคิดที่ “ลูกปัดไข่มุก” และผมได้ช่วยกันคิดและเขียนขึ้นมาบอกเล่าต่อ ดังนี้ครับ 1.…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...น้อง พันธกุมภา ความขี้เกียจมันไม่เข้าใคร ออกใครจริงๆ ... แต่ตอนนี้ต้องเริ่มลุกขึ้นมาทำงานแล้ว เพราะคนที่อดทนไม่ได้เมื่อเราไม่ทำงานก็คือ “แม่” ของเราเอง แม่ของพี่ เป็นภาพสะท้อนของคนจีนในเมืองไทย รุ่นที่ 2 ที่ยังคง ลำบาก ทำงานหนัก และถือปรัชญาพุทธ “ขงจื๊อ” ในเรื่องการทำงานว่าต้องมี ความซื่อสัตย์ ไม่เอารัดเอาเปรียบ ความขยัน อดทน และอดออม แม่มีทุกอย่างจริงๆ แต่พี่อาจจะไม่มีทุกอย่าง อย่างที่แม่มี เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่เรามีความเหมือนและความต่าง แม้เราจะเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่สอนให้เราเป็นคนค้าขาย เราอาจจะไม่ได้อยากค้าขาย ครอบครัวสอนให้เราทำงานหนัก…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาช่วงนี้เป็นเวลาพักของพี่ ช่างเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากๆ ในความรู้สึก... แต่พี่อดคิดถึงน้องไม่ได้... แล้ววันหนึ่ง... โดยที่ไม่คาดคิด เราก็มาพบกันโดยที่มิได้คาดหมายหรือนัดกันไว้ก่อน พี่อดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตคนเราช่างแปลกจริงๆ เราก็มาพบกันจนได้ เพราะความไม่สบายของพี่ชายเพื่อนของเรา ส่วนตัวพี่ไปบ้านนั้นเพราะต้องการไปดูแลตัวเองนอกจากได้ไปดูแลตัวเองและพบกับน้องแล้ว พี่ยังได้พบกับเพื่อนอีกหลายคน ที่ไม่ได้พบกันนานที่นั่น ใครหลายคนบอกว่า โลกมันช่างแคบ ถ้าเรารู้จักคนนี้ เราก็จะรู้จักคนนั้น แต่อาจจะไม่ใช่ในช่วงเวลาเดียวกันเท่านั้นเองการพักผ่อนของพี่ ก็คงเหมือนกับคนทั่วๆ…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...พันธกุมภา ตั้งแต่ตกงาน พี่ยังไม่ได้หยุดงานเลย พี่พบว่าโลกปัจจุบันมีงานอยู่หลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าใครจะนิยามมันว่าเป็นงานอย่างไร สำหรับชีวิตพี่ตอนนี้ มีงานแบบที่ถูกให้คุณค่าทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม และงานที่ไม่ได้ถูกให้ค่าเชิงเศรษฐกิจแต่จำเป็นต้องทำ อันนี้ยังไม่ได้นับรวมเรื่องทางธรรมที่พี่ไปพบมา คืองานที่ทำแล้วไม่มีคุณค่าทางโลกแต่ได้ “บุญ” คิดดูสิว่า... ในโลกเรามีงานมากมายขนาดไหน งานที่พี่ลาออกมาเพื่อขอพัก พี่ยังไม่ได้พักเลยจนกระทั่งบัดนี้ เพราะพี่ทำแต่งานที่ไม่ให้ค่าทางเศรษฐกิจ อย่าง การดูแลแม่ งานบ้าน และการดูแลบ้าน และยังงานอื่นๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับครอบครัว…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา ผมขอแสดงความดีกับพี่สาวของผมด้วยนะครับ ที่มีโอกาสได้พักผ่อน แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าการที่เราตกงานนั้นเปรียบเสมือนการพายเรือในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่เคว้งคว้างไม่รู้ว่าจะมีหนทางในงานใหม่อย่างไรได้อีก ผมทราบดีว่าพี่คงจะเหนื่อยจากการทำงานมิน้อยเลย และเชื่อว่าการได้รับมอบหมายงานเยอะคงไม่ใช่สาเหตุของการออกจากงานหรอกใช่ไหมครับ ผมรู้ว่าจดหมายหลายฉบับที่พี่ได้เขียนมาบอกเล่านั้นมันสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้กับวิถีชีวิตความเป็นคนในเมืองหลวง และรวมถึงการต้องสัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตา ที่มีตัวตนแตกต่างกันไป การที่เราทำงานที่เรารัก…
พันธกุมภา
มีนา  ถึง พันธกุมภา พี่กำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ... ฉันกำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ เดือนสิงหาคมนี้เป็นเดือนสุดท้ายสำหรับการทำงานอย่างเป็นทางการของฉัน ญาติพี่น้อง... เจ้านาย... เพื่อนร่วมงาน... เพื่อน... ต่างเป็นห่วงเป็นใยกลัวว่าพี่จะว่าง กลัวว่าฉันจะไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ ตอนที่ฉันทำงาน พวกเขาต่างให้ความห่วง ความกังวล ว่าฉันทำงานหนักเกินไป  คนและสังคมสมัยนี้ให้คุณค่ากับการทำงานมากกว่าคุณค่าของความว่างงาน พี่เคยมีประสบการณ์การตกงานมาก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนั้นพี่ยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องการว่างงานได้ แต่ครั้งนี้ พี่พยายามปล่อยวางเรื่องการงานในปัจจุบันเพื่อพบกับความว่าง …
พันธกุมภา
  พันธกุมภาถึง มีนาเมื่อฉบับที่แล้วพี่มีนาได้กล่าวถึงเรื่องการ "ปล่อยวาง" ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งของการปฏิบัติธรรม เพราะหาไม่แล้วเราก็เป็นเพียงแค่ผู้เผชิญกับความสุขที่จิตใจเกิดขึ้นโดยที่หลงยึดติดอย่างไม่ทันรู้ตัวทั่วถ้วนสิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำในที่นี้ก็คือ เรื่องการปล่อยวาง หรือ การวางเฉย ซึ่งคล้ายกับภาษาธรรมที่เรียกว่า "อุเบกขา" นี้ ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เพราะอย่างที่เราได้รู้กันมานั้นก็คือ ในการปฏิบัติธรรมนั้น ถือว่ามีด้วยกัน 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ การทำสมถะ และการทำวิปัสสนา เท่าที่รู้, การทำสมถะ คือ การทำให้จิตสงบ ทำให้จิตนิ่ง…
พันธกุมภา
มีนา สวัสดี พันธกุมภา รู้ว่าน้องสบายดี พี่ก็ยินดีไปด้วย การดำรงชีวิตอย่างมีสติไม่ใช่เรื่องง่าย พี่ก็ว่างบ้างไม่ว่างบ้าง เพียงแต่ช่วงเวลาที่น้องไม่ว่าง บังเอิญพี่ว่าง ซึ่งเป็นเรื่องดีที่เราจะมีจังหวะชีวิตที่แตกต่างกัน และทำให้การเขียนงานลงตัว พี่ยังคิดอยู่ว่า ถ้าไม่ว่างขึ้นมาพร้อมๆ กัน คงมีปัญหาแน่ๆ สำหรับพี่ ความแตกต่างจึงน่าสนใจ เช่นเดียวกับฤดูที่แตกต่าง ชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ช่วงสัปดาห์ที่น้องกำลังมีความสุขอยู่นั้น ชีวิตของพี่เหน็ดเหนื่อยและผจญกับความทุกข์ของคนอื่น แล้วยึดมาเป็นความทุกข์ของตนเอง ... บางทีพี่ก็คิดว่า ทำไมเราจึงเป็นคนอย่างนั้นไปได้ และทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา สวัสดีครับพี่มีนา เป็นอะไรไปถึงไหนอย่างไรบ้างครับ หวังว่าพี่จะสบายดีมีสติในทุกๆ ความสนุกนะครับ อืม...จะว่าไปแล้วเราก็ไม่ได้ตอบรับจดหมายกันนานทีเดียว บางทีพี่ก็ว่างมากมายจนผมรู้สึกอิจฉาตาร้อน และผมเองบางทีก็ว่างนิดหน่อย พอมีเวลามานั่งขีดเขียน เวียนวนให้พี่ได้ยลได้ติดตามอยู่เนืองๆ ช่วงที่ผ่านมาวันเข้าพรรษา ผมพาตัวเองไปเข้าวัดมาครับ แถวๆ เกาะสีชัง ได้ไปกับคนที่รักและใช้ชีวิต “ดูจิต” สนทนาธรรมและดื่มด่ำบรรยากาศอบอุ่นจากไอทะเล ทำกับข้าวกินกันริมชายฝั่ง นั่งนับดาวยามราตรี มีเวลาก็ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะ หาซื้อเงาะ ซื้อทุเรียนมานั่งกิน รินน้ำเปล่าชนกัน…