Skip to main content

มีนา

ฉันดีใจ...ที่เธอมีคนดูแลระหว่างการเดินทาง แม้ว่าเราจะเดินทางเพื่อไปปฏิบัติธรรม คนส่วนมากเขาก็มองว่าเราเติบโตมาในสังคมที่เห็นว่าการชวนดื่มเหล้า การกินอาหารร่วมกันเป็นการให้เกียรติกับผู้มาเยือน การที่เธอกล้าปฏิเสธและอธิบายความเป็นตัวเธอ นับว่าเป็นความกล้าที่จะบอกความเป็นตัวตนด้านดีของตัวเอง

คนจำนวนมากเกรงใจคนอื่นอย่างน่าเป็นห่วง
ฉันเอง...บางครั้งยังไม่กล้าที่จะบอกถึงความเป็นตัวตน หรือความคิดจริงๆ ในเรื่องงาน หลายครั้งเป็นข้อจำกัดขององค์กร สถาบัน และเส้นแบ่งหลายๆ อย่างที่ทำให้เรา...ไม่กล้า ไม่กล้าที่จะบอกว่า เราอยากทำงานเพราะคิดถึงคนที่ลำบาก แต่องค์กรของเราอาจจะต้องการทำงานเพื่อตอบสนองคนที่ให้เงินเรามาทำงาน คนส่วนมากก็เป็นเช่นนั้น

หากเพิ่มเรื่องความเกรงใจเข้าไปด้วย โดยที่ไม่ได้ตระหนักรู้ว่า แท้จริง ความเกรงใจนั้นเกิดขึ้นเพราะเราเกรงใจเขา หรือทำไปเพราะอยากให้เขาเกรงใจเราเช่นเดียวกัน...

อาหารที่บำรุงกายเนื้อของเรา มีส่วนจริงที่เนื้อสัตว์ เหล้า จะทำให้เราเสริมพลังงานค่อนข้างมาก นอกจากการที่เราต้องการงดเนื้อสัตว์เพื่อให้ปฏิบัติได้ดี สิ่งสำคัญคือการลดความกังวลของเรานั่นเอง เรายังดีที่เป็นคนธรรมดา กล้าที่จะบอกว่าเราเลือกที่จะไม่กินอะไร หากเป็นพระ แม้จะไม่อยากกินแต่พุทธบัญญัติก็จะต้องรับและฉันท์อาหารที่คนนำมาถวายอยู่ดี หลายวัดจึงต้องบอกว่าหลักปฏิบัติของแต่ละที่เป็นอย่างไร เพื่อให้คนทำบุญไม่ต้องเบียดเบียนสัตว์เพื่อมาทำบุญ

คนธิเบตที่นับถือศาสนาพุทธ ก่อนที่ประเทศจีนจะเข้ามาปกครองก็กินเนื้อสัตว์ แต่เขาไม่ได้ฆ่าสัตว์ เขารอให้สัตว์เหล่านั้นตายเอง จากที่ถึงอายุขัยของมัน อุบัติเหตุ จึงจะนำมาเป็นอาหาร เอาเข้าจริงแล้วมนุษย์ก็ไม่ได้พัฒนาตนเองขึ้นมาด้วยพันธุกรรมที่เป็นสัตว์ที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร โรค ภัย ไข้ เจ็บ สมัยใหม่หลายๆ อย่างจึงเนื่องมาจากอาหารที่เกินความต้องการของร่างกายจริงๆ   

การเดินทางของพันธกุมภาให้ถึงวัดป่าสุคะโตเต็มไปด้วยความท้าทายมากมาย เมื่อก่อน...ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันคงขอแอบหลับ แอบเที่ยว หาข้ออ้างอะไรมากมาย ก่อนที่จะไปให้ถึงจริงๆ อย่างที่เธออาจจะเรียกว่า “มาร” เราอาจจะได้ยินเสมอว่ามารที่น่ากลัวที่สุดก็คือตัวเรานั่นเอง ความขี้เกียจของฉันก็เป็นมารตัวหนึ่ง ความกลัว ความกังวล ความเครียดก็เป็นมาร ที่อาจจะทำให้เธอเดินทางไปไม่ถึงวัดป่าสุคะโต

...หลายครั้ง ความกลัวที่เราพบเจอ มันเป็นความกลัวที่อยู่ในใจเรา ความกลัวในสิ่งที่เราไม่สามารถคาดหมาย คาดคิด รู้ก่อน หลายครั้งความกลัวเป็นสิ่งที่มาจากปัจจัยแวดล้อมภายนอก ดังเช่น รถเสีย ฝนตกหนัก ซึ่งเป็นภัยแวดล้อมจากธรรมชาติ แต่ก็ยังไม่อาจเอาชนะได้ หากเป็นภัยหรือมารที่อยู่ในใจ บางครั้ง...ฝนปรอยเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้คนเปลี่ยนใจ ไม่ไปทำบุญที่วัด ทั้งๆ ที่วันพระก็มีวันเดียวใน 7-8 วัน

ความกลัว ความไม่กล้าหาญของเราที่ต้องเผชิญกับคนหรือสิ่งที่เราต้องทำ มันมาจากในใจเรามากกว่าสิ่งอื่นๆ
หากเปรียบกับการทำงานแล้ว บางคนกลัวที่จะต้องเกิดความขัดแย้งในที่ทำงาน กลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน หรือลูกน้อง ไม่ว่าคนๆ นั้นจะอยู่ตรงจุดไหนของโครงสร้างการทำงาน หากเป็นคนกลัวความขัดแย้งก็จะไม่เผชิญหน้า

ฉันเองเคยเป็นคนที่กลัวความขัดแย้งมาก กลัว...ว่าคนอื่นๆ จะไม่รัก ไม่เป็นขวัญใจเพื่อนที่ทำงานหรือใครๆ แล้วฉันก็รู้สึกขัดแย้งกับความคิดภายในของตัวเอง ฉันเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า ฉันคิดอย่างนั้นจริงๆ ในสิ่งที่เห็นด้วยกับทีมที่ทำงานด้วยกัน หรือจริงๆ แล้วฉันคิดอีกอย่างหนึ่ง...แล้วฉันก็พบว่า ฉันมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง คิดที่จะทำงานโดยที่ให้ประโยชน์กับคนจริงๆ หากเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้า ฉันก็อยากให้สินค้านี้มีคุณภาพ ราคายุติธรรม และไม่เอาเปรียบคนซื้อมากเกินไป และเป็นสินค้าที่ใช้ดี ซึ่งสร้างความสบายใจให้กับฉันและมีความสุขกับงานเพิ่มขึ้น

ความกลัวที่จะเผชิญหน้า นอกจากสะท้อนความอ่อนแอภายนอก สิ่งที่อยู่ภายในใจคือ ความกลัวว่าตนเองจะไม่เป็นที่รักของเพื่อนร่วมงาน นาย ลูกน้อง ไม่ว่าคนๆ นั้นจะมีอำนาจหรือไม่ก็ตาม บางครั้งอาจต้องปรับแนวคิดการทำงานให้มีความกล้ามากยิ่งขึ้น ด้วยการนึกถึงกลุ่มเป้าหมาย การโต้เถียงหรือการมีความขัดแย้งในการทำงานบ้างเพื่อสร้างความเข้าใจกับเพื่อนร่วมงาน และแสดงออกในสิ่งที่ตนเองคิดจริงๆ นอกจากนั้นยังอาจจะปรับความเข้าใจที่เพื่อนมีต่อเราอีกด้วย

การทำสิ่งใดก็ตาม ทั้งงาน การปฏิบัติธรรม เราต่างต้องเรียนรู้ และทบทวนตัวตนด้านในของเรา ไม่ว่าเราอยู่ตรงไหนของสังคม เราเองก็เป็นผู้หนึ่งที่ช่วยให้สังคมนี้ขับเคลื่อนไป แต่จะขับเคลื่อนไปอย่างไร เราต่างมีส่วนร่วมสร้าง แม้เป็นจุดเล็กๆ จุดหนึ่งก็ตาม...การปฏิบัติธรรมของคนๆ หนึ่งอย่างพันธกุมภาก็เช่นกัน...

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมคิดไว้มานานหลายเดือนแล้วว่า จะตั้งใจเขียน "บันทึกการเจริญสติ" ของตัวเองขึ้นมาเพราะคิดว่าคงจะดี ถ้าได้บันทึกไว้ เพื่อการเรียนรู้ของตัวเอง และคนอื่นๆ ที่สนใจ ก่อนที่จะบันทึกในกาลต่อไป ขอเล่าเรื่องการภาวนาของตัวเองก่อน....สำหรับผมแล้ว เริ่มต้นของการปฏิบัติคือเมื่อปลายปี 2549 ก็เกิดจากทุกข์ทางใจ เพราะงานเยอะ เครียด และตอนนั้นแฟนจะขอเลิก เขาเลยเสนอว่าให้ไปปฏิบัติธรรมเพื่อทำใจ จึงได้สมัครไปปฏิบัติของท่าน โกเอ็นก้า ที่ ธรรมอาภา จ.พิษณุโลก พอไปทำมา 10 วัน ก็ดีใจ ที่ทุกข์ครั้งนี้ทำให้ได้พบกับธรรมะ
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนา ปลายปี 2551 นี้ ผมมีโปรแกรมไปเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตอีกครั้ง ภายหลังจากเมื่อสิ้นปี 2550 ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปที่วัดป่าสุคะโตแล้วและได้พบหลัก พบหนทาง หลายอย่างที่เหมาะสมกับตัวเองยิ่งนัก แต่การเดินทางไปครั้งนี้ไม่เหมือนปีก่อน....มีหลายเรื่องเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง ไปตามกาลเวลา สิ่งที่เข้ามารับรู้ทำให้อารมณ์ของผมเกิดขึ้นไปต่างๆ นานา และสิ่งที่เสียใจที่สุด ทำให้ใจหม่นหมองมาหลายวัน นั่นคือการมรณภาพของ "หลวงปู่" เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา เมื่อฉบับที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงโครงการ “ธรรมทานสู่โรงพยาบาล” ที่ผมและลูกปัดไข่มุก ร่วมกันทำในนามกลุ่ม “ธรรมะทำดี” – กลุ่มที่เราสองคนร่วมกันคิด ร่วมกันก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา เพื่อการเผยแพร่ธรรมะที่เราได้พบและเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ที่ผ่านมา พวกเราสองคนต้องขอบคุณพี่ๆ หลายๆ ท่านที่ได้ส่งหนังสือมาให้นะครับ ตอนนี้มีคนที่มอบหนังสือมาหลายเล่ม ทั้งนิตยสาร และหนังสือธรรมะ และก็มีบางส่วนที่เราไปหาซื้อแถวจตุจักร จากเงินเก็บของเราที่มีอยู่
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง พี่มีนา  ผมหายจากหน้าจอไปนานเพราะมีงานให้ทำ จนฟกช้ำจิตใจไปทั่วเลย ไม่ค่อยมีเวลาได้พัก เพราะงานที่ผมรัก ทำให้ผมต้องใช้กำลังกายและความคิดมากเหลือล้น ผมจึงเป็นดั่งคนที่นำเอาพลังชีวิตในอนาคตมาใช้ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพอมีเรี่ยวแรงเหลือใช้หรือไม่ในกาลต่อไป เฮ้อ...แต่ที่จะเล่าให้พี่ฟังครานี้ก็คือ ช่วงที่ผ่านมาผมและ “ลูกปัดไข่มุก” ได้ไปจัดห้องสนทนาธรรมชื่อห้องว่า “ห้องธรรมตามใจ” เนื่องในงานเพศศึกษาวิชาการขององค์การแพธ แล้วมีเรื่องที่น่าสนใจมากมาย ทว่าในฉบับนี้อยากเอาคำคมชวนคิดที่ “ลูกปัดไข่มุก” และผมได้ช่วยกันคิดและเขียนขึ้นมาบอกเล่าต่อ ดังนี้ครับ 1.…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...น้อง พันธกุมภา ความขี้เกียจมันไม่เข้าใคร ออกใครจริงๆ ... แต่ตอนนี้ต้องเริ่มลุกขึ้นมาทำงานแล้ว เพราะคนที่อดทนไม่ได้เมื่อเราไม่ทำงานก็คือ “แม่” ของเราเอง แม่ของพี่ เป็นภาพสะท้อนของคนจีนในเมืองไทย รุ่นที่ 2 ที่ยังคง ลำบาก ทำงานหนัก และถือปรัชญาพุทธ “ขงจื๊อ” ในเรื่องการทำงานว่าต้องมี ความซื่อสัตย์ ไม่เอารัดเอาเปรียบ ความขยัน อดทน และอดออม แม่มีทุกอย่างจริงๆ แต่พี่อาจจะไม่มีทุกอย่าง อย่างที่แม่มี เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่เรามีความเหมือนและความต่าง แม้เราจะเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่สอนให้เราเป็นคนค้าขาย เราอาจจะไม่ได้อยากค้าขาย ครอบครัวสอนให้เราทำงานหนัก…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาช่วงนี้เป็นเวลาพักของพี่ ช่างเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากๆ ในความรู้สึก... แต่พี่อดคิดถึงน้องไม่ได้... แล้ววันหนึ่ง... โดยที่ไม่คาดคิด เราก็มาพบกันโดยที่มิได้คาดหมายหรือนัดกันไว้ก่อน พี่อดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตคนเราช่างแปลกจริงๆ เราก็มาพบกันจนได้ เพราะความไม่สบายของพี่ชายเพื่อนของเรา ส่วนตัวพี่ไปบ้านนั้นเพราะต้องการไปดูแลตัวเองนอกจากได้ไปดูแลตัวเองและพบกับน้องแล้ว พี่ยังได้พบกับเพื่อนอีกหลายคน ที่ไม่ได้พบกันนานที่นั่น ใครหลายคนบอกว่า โลกมันช่างแคบ ถ้าเรารู้จักคนนี้ เราก็จะรู้จักคนนั้น แต่อาจจะไม่ใช่ในช่วงเวลาเดียวกันเท่านั้นเองการพักผ่อนของพี่ ก็คงเหมือนกับคนทั่วๆ…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...พันธกุมภา ตั้งแต่ตกงาน พี่ยังไม่ได้หยุดงานเลย พี่พบว่าโลกปัจจุบันมีงานอยู่หลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าใครจะนิยามมันว่าเป็นงานอย่างไร สำหรับชีวิตพี่ตอนนี้ มีงานแบบที่ถูกให้คุณค่าทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม และงานที่ไม่ได้ถูกให้ค่าเชิงเศรษฐกิจแต่จำเป็นต้องทำ อันนี้ยังไม่ได้นับรวมเรื่องทางธรรมที่พี่ไปพบมา คืองานที่ทำแล้วไม่มีคุณค่าทางโลกแต่ได้ “บุญ” คิดดูสิว่า... ในโลกเรามีงานมากมายขนาดไหน งานที่พี่ลาออกมาเพื่อขอพัก พี่ยังไม่ได้พักเลยจนกระทั่งบัดนี้ เพราะพี่ทำแต่งานที่ไม่ให้ค่าทางเศรษฐกิจ อย่าง การดูแลแม่ งานบ้าน และการดูแลบ้าน และยังงานอื่นๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับครอบครัว…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา ผมขอแสดงความดีกับพี่สาวของผมด้วยนะครับ ที่มีโอกาสได้พักผ่อน แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าการที่เราตกงานนั้นเปรียบเสมือนการพายเรือในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่เคว้งคว้างไม่รู้ว่าจะมีหนทางในงานใหม่อย่างไรได้อีก ผมทราบดีว่าพี่คงจะเหนื่อยจากการทำงานมิน้อยเลย และเชื่อว่าการได้รับมอบหมายงานเยอะคงไม่ใช่สาเหตุของการออกจากงานหรอกใช่ไหมครับ ผมรู้ว่าจดหมายหลายฉบับที่พี่ได้เขียนมาบอกเล่านั้นมันสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้กับวิถีชีวิตความเป็นคนในเมืองหลวง และรวมถึงการต้องสัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตา ที่มีตัวตนแตกต่างกันไป การที่เราทำงานที่เรารัก…
พันธกุมภา
มีนา  ถึง พันธกุมภา พี่กำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ... ฉันกำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ เดือนสิงหาคมนี้เป็นเดือนสุดท้ายสำหรับการทำงานอย่างเป็นทางการของฉัน ญาติพี่น้อง... เจ้านาย... เพื่อนร่วมงาน... เพื่อน... ต่างเป็นห่วงเป็นใยกลัวว่าพี่จะว่าง กลัวว่าฉันจะไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ ตอนที่ฉันทำงาน พวกเขาต่างให้ความห่วง ความกังวล ว่าฉันทำงานหนักเกินไป  คนและสังคมสมัยนี้ให้คุณค่ากับการทำงานมากกว่าคุณค่าของความว่างงาน พี่เคยมีประสบการณ์การตกงานมาก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนั้นพี่ยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องการว่างงานได้ แต่ครั้งนี้ พี่พยายามปล่อยวางเรื่องการงานในปัจจุบันเพื่อพบกับความว่าง …
พันธกุมภา
  พันธกุมภาถึง มีนาเมื่อฉบับที่แล้วพี่มีนาได้กล่าวถึงเรื่องการ "ปล่อยวาง" ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งของการปฏิบัติธรรม เพราะหาไม่แล้วเราก็เป็นเพียงแค่ผู้เผชิญกับความสุขที่จิตใจเกิดขึ้นโดยที่หลงยึดติดอย่างไม่ทันรู้ตัวทั่วถ้วนสิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำในที่นี้ก็คือ เรื่องการปล่อยวาง หรือ การวางเฉย ซึ่งคล้ายกับภาษาธรรมที่เรียกว่า "อุเบกขา" นี้ ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เพราะอย่างที่เราได้รู้กันมานั้นก็คือ ในการปฏิบัติธรรมนั้น ถือว่ามีด้วยกัน 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ การทำสมถะ และการทำวิปัสสนา เท่าที่รู้, การทำสมถะ คือ การทำให้จิตสงบ ทำให้จิตนิ่ง…
พันธกุมภา
มีนา สวัสดี พันธกุมภา รู้ว่าน้องสบายดี พี่ก็ยินดีไปด้วย การดำรงชีวิตอย่างมีสติไม่ใช่เรื่องง่าย พี่ก็ว่างบ้างไม่ว่างบ้าง เพียงแต่ช่วงเวลาที่น้องไม่ว่าง บังเอิญพี่ว่าง ซึ่งเป็นเรื่องดีที่เราจะมีจังหวะชีวิตที่แตกต่างกัน และทำให้การเขียนงานลงตัว พี่ยังคิดอยู่ว่า ถ้าไม่ว่างขึ้นมาพร้อมๆ กัน คงมีปัญหาแน่ๆ สำหรับพี่ ความแตกต่างจึงน่าสนใจ เช่นเดียวกับฤดูที่แตกต่าง ชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ช่วงสัปดาห์ที่น้องกำลังมีความสุขอยู่นั้น ชีวิตของพี่เหน็ดเหนื่อยและผจญกับความทุกข์ของคนอื่น แล้วยึดมาเป็นความทุกข์ของตนเอง ... บางทีพี่ก็คิดว่า ทำไมเราจึงเป็นคนอย่างนั้นไปได้ และทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา สวัสดีครับพี่มีนา เป็นอะไรไปถึงไหนอย่างไรบ้างครับ หวังว่าพี่จะสบายดีมีสติในทุกๆ ความสนุกนะครับ อืม...จะว่าไปแล้วเราก็ไม่ได้ตอบรับจดหมายกันนานทีเดียว บางทีพี่ก็ว่างมากมายจนผมรู้สึกอิจฉาตาร้อน และผมเองบางทีก็ว่างนิดหน่อย พอมีเวลามานั่งขีดเขียน เวียนวนให้พี่ได้ยลได้ติดตามอยู่เนืองๆ ช่วงที่ผ่านมาวันเข้าพรรษา ผมพาตัวเองไปเข้าวัดมาครับ แถวๆ เกาะสีชัง ได้ไปกับคนที่รักและใช้ชีวิต “ดูจิต” สนทนาธรรมและดื่มด่ำบรรยากาศอบอุ่นจากไอทะเล ทำกับข้าวกินกันริมชายฝั่ง นั่งนับดาวยามราตรี มีเวลาก็ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะ หาซื้อเงาะ ซื้อทุเรียนมานั่งกิน รินน้ำเปล่าชนกัน…