Skip to main content

ลูกปัดไข่มุก

 

ถึง พี่พันธกุมภา และ พี่มีนา....

 

10401

 

เส้นทางที่เรากำลังพยายามจะมุ่งไปอยู่นี้ มันคือหนทางแห่งความสุขและความสำเร็จที่แท้จริงของเราจริงๆหรอ” ....นั่นคือความคิดที่ฉันคิดมาตลอด

 

ฉันโชคดีที่ได้เกิดมาท่ามกลางครอบครัวที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในวันว่างๆ เรามักจะได้ไปวัดแทนการไปเที่ยวเสมอๆ ซึ่งด้วยความเป็นเด็ก ฉันจึงไม่คิดว่ามันดีนัก.....จะว่าไปฉันทำบุญมาตั้งแต่จำความได้ เพราะถูกสั่งสอนมาให้ทำแบบนั้น ว่าถ้าทำบุญเยอะๆ จะได้ไปสวรรค์ ถ้าทำบาปก็จะตกนรก รวมถึงนิทานต่างๆที่แม่ได้เล่าให้ฟังมาตลอด

 

ฉันจึงพูดได้เต็มปากว่า ฉันเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี แต่ลึกๆแล้วฉันยังไม่เข้าใจอะไรหลายๆอย่าง จนกระทั่งฉันอายุ 17 ปี เมื่อฉันได้มาพบกับคนๆหนึ่งจากธรรมะ และเราก็มักคุยกันเรื่องธรรมะตลอด นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันเปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่

 

ฉันเริ่มมองเห็นตัวเองมากกว่าที่เคยเป็น เริ่มมองความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างเข้าใจ จนเริ่มคิดว่าทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรที่คงทนและอยู่กับเราไปตลอด

 

เชื่อสิว่าการที่เคยได้ยินคนอื่นเค้าพูดมาก่อนนั้น มันเทียบไม่ได้เลยกับการที่เราคิดได้ด้วยตนเอง ฉันเคยได้ยินคำพูดแบบนี้มานานแล้วแต่ก็แค่ฟังผ่านๆไม่ได้คิดอะไร จนตอนนี้ฉันเริ่มมองสิ่งรอบตัว จริงๆ ด้วยทุกอย่างล้วนต้องลาจากเราไปทั้งนั้นเลย...หวีสุดโปรดปรานที่พกติดตัวตลอด..หายไปแล้ว แฟนที่เราแสนรัก...ก็ไปจากเราแล้วด้วย หรือแม้กระทั่งคุณปู่ที่รักก็จากเราไปอย่างไม่มีวันกลับเช่นกัน... คนเราอยู่ท่ามกลางการลาจากตลอดเวลา ถ้าเราไม่จากมัน มันก็ต้องจากเราไป ไม่วันใดก็วันหนึ่งไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม... อ่าว! แล้วคนเราตายไปจะไปอยู่ไหนดีล่ะ นรกหรือสวรรค์

 

แล้วนรกกับสวรรค์เนี๊ยมันมีจริงๆ หรือ หรือเป็นแค่นิทานหลอกเด็กเท่านั้น!?

 

 

ฉันเริ่มอยากรู้...แต่แล้วฉันก็โชคดีอีกอย่างที่ได้พบกับคนๆ นั้น เพราะเค้าได้ทำให้ฉันอยากฝึกนั่งสมาธิอย่างจริงๆ จังๆ สักที...ฉันไปบอกแม่ว่า “อยากจะไปฝึกนั่งสมาธิตามต่างจังหวัดจังเลย” นี่เป็นความคิดที่ไม่เคยอยู่ในหัวของฉันเลยด้วยซ้ำ

 

แล้วโอกาสก็ผ่านเข้ามา ฉันได้ไปปฏิบัติที่สวนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ อากาศดีมาก ทั้งร่มรื่นและเงียบสงบ นี่เป็นการเดินทางไปต่างจังหวัดคนเดียวและเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังครั้งแรกในชีวิตของฉัน...

 

ฉันขออ้างอิงข้อความจากบันทึกของฉันก็แล้วกันนะเพราะมันจะดูสดใหม่กว่าตอนนี้...

 

 

 

10403

 


วันเดินทาง

อยู่บนรถคณะทัวร์ที่ไปปฏิบัติธรรมเหมือนกันแต่ไม่รู้จักใครเลยสักคน พอตื่นขึ้นมามีสติเมื่อไรก็จะเป็นทุกข์ทุกครั้งไป จิตกระวนกระวายกลัวจะอยู่ไม่ได้ตั้ง 7 วัน

 

วันที่ 1
ถึงที่ปฏิบัติประมาณตี 4 และได้รู้จักกับพี่กัลยาณมิตรคนหนึ่งซึ่งตลอดระยะเวลาการปฏิบัติพี่เค้าได้ช่วยเหลือเกื้อกูลฉันตลอด เมื่อกี้ตอนเค้าให้นอนพักผ่อนเสียงดนตรีดังกระหึ่มเลย คร๊อก คราก~ (กรนนะ) -*- บางคนก็เสียงมือถือ>.< อีกประมาณ 5 วันก็จะได้กลับแล้ว (จริงๆ เราต้องฝึกตัวเองสิ ทำไมถึงอยากกลับบ้านนัก T^T)

 

วันที่ 2
วันนี้ตื่นตั้งแต่ตี 4 เลย ไปทำวัตรเช้า (นั่งสมาธิกันนานมากๆ) แต่ก็นั่งได้ดีกว่าเมื่อวานนะ แต่ถึงอย่างงั้นฉันก็ยังมีหลับอยู่ พอหลับตาจิตก็ฟุ้งมากเลย ภาพต่างๆ วิ่งเข้ามาในหัวสมาธิเลยไม่ค่อยเกิด แต่เช้านี้มีปิติเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวเอง แต่ฉันว่าก็ดีมากแล้วล่ะ

 

วันที่ 3
วันนี้ข้าวเช้าคือกระเพาะปลา ลันลา~ ^^ ตอนนี้ฝึกสมาธิจิตไม่ฟุ้งแล้วและก็สงบเลย แต่เย่ตรงที่สงบไม่นานฉันก็หลับทุกทีน่ะสิ จะว่าไปการทำใจไม่ให้คิดนี่ก็ยากใช่ย่อยนะ วันนี้ไปหลับในห้องปฏิบัติรวมตอนที่เค้าให้หันหน้าไปดูวีดีโอมา พี่เค้าปลุกก็ไม่ตื่น พอตื่นมาอีกที อ่าวหลวงพี่พูดอะไรอยู่น่ะ คนก็หันหน้ามาทำสมาธิกันหมดแล้ว(โชคดีที่ยังไม่เปิดไฟ ไม่งั้นคงหาที่ซุกหน้าไม่ทันแน่ๆ-*-) แต่วันนี้ตอนนั่งสมาธิรอบดึก (หลังจากตื่น-*-) ฉันนั่งดีมากเลย จิตสงบไม่หลับแล้วก็เกิดปิติอีกครั้ง ตัวโยกไปมาอย่างเร็วๆ เลย ฉันก็ดูไปเรื่อยๆ พยายามไม่คิดอะไร แล้วก็เห็นแสงสีขาวแว๊บขึ้นมา เหมือนแฟลชกล้องถ่ายรูปน่ะ 2 ดวงแป๊บเดียวเอง (ใจก็คิดว่าเค้ามาถ่ายรูปตอนเรานั่งสมาธิกันรึเปล่านะ?) แต่ก็ไม่ได้ลืมตานะ ดูต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็เหมือนมีคนมาเปิดไฟ ภาพที่มองเริ่มสว่างขึ้นกว่าที่เคยเห็นแต่ก็ไม่ได้จ้ามากนะ รู้สึกดีจังเลย...พอปวดขาฉันก็ขยับตัวนิดหน่อย แต่ยังดีที่ว่าพอหลับตาปุ๊บปิติก็จะเกิดขึ้นทันทีเลย ^^

 

วันที่ 4
วันนี้ตอนเช้านั่งไม่ดีเลย(เริ่มยึดติดและ -*-) แต่ตอนนั่งรอบบ่ายน่ะสงบดีมากเลย หลงพี่ท่านสอนท่านั่งด้วยว่าควรนั่งยังไง

(นั่งหลังตรง หลับตาเบาๆ ไม่เกร็งที่หน้าผาก เหลือบตาขึ้นนิดหน่อย มือก็ควรเอามาวางซ้อนขวาทับซ้าย วางไว้ใกล้ๆ ท้องเพราะมันจะทำให้ตัวเราตรงโดยอัตโนมัติ) ส่วนรอบดึกฉันก็เห็นแสงสีขาวอีกครั้ง ตอนเห็นก็ยังตกใจเหมือนเดิมเพราะนึกว่ามีคนมาเปิดไฟ >.< ส่วนปิติที่เกิดขึ้นก็ทำให้ฉันเวียนหัวน่าดู...

 

วันที่ 5
อีกวันเดียวก็ได้กลับบ้านแล้ว^^ อากาศที่นี่เย็นสบาย เมื่อคืนก็หลับสบายเหมือนเคยเลยทำให้สรุปได้ว่า ถ้าฉันไม่หลับในห้องปฏิบัติรวม ฉันก็จะหลับสบายให้ห้องพักได้ ^^

 

วันที่ 6
เช้านี้พอทำวัตรเช้าเสร็จแล้วก็เดินทางไปยังวัดใกล้เคียง ได้มีโอกาสทำอาหารถวายสามเณรกว่า 200 รูปแน่ะ ดีใจมากๆเลย พอกลับมาเห็นคนอื่นเค้าเก็บเสื้อผ้ากันหมดแล้ว รีบวิ่งเลย แล้วก็เข้ามาขอขมาพระอาจารย์ นั่งสมาธิอีกไม่นานก็ได้กลับบ้าน เย้ๆๆๆ ได้กลับบ้านแล้วววววววววววว ถึงกรุงเทพประมาณตี 4

 


10402


....
เสร็จสิ้นภารกิจที่ได้ไปปฏิบัติธรรม กลับบ้านมาพร้อมกับความรู้สึกที่แตกต่างในหัวมีคำถามพร้อมคำตอบเต็มไปหมดว่า แต่ก่อนเราไม่เคยได้เข้าใจอะไรอย่างนี้ก็เพราะว่าเราปิดใจนั้นเอง... ปิดแต่คิดว่าเปิด....มันเลยไม่ได้อะไร ตอนนั่งไปปฏิบัติ มีคำถามในใจอยู่เรื่อยๆ ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรอ?

 

ที่เค้าว่าจะเห็นองค์พระ และจะได้ไปในที่ๆ อยากจะไป ฟังแล้วมันเป็นไปไม่ค่อยได้เลย คิดแย้งอยู่เรื่อยๆ แต่ตอนหลังก็คิดว่าเอาเถอะ ไหนๆ ก็มาแล้ว ลองดูสักตั้งจะเป็นไร ก็เลยลบความสงสัยออกให้หมด ทำใจให้โล่งๆ นั่งแล้วมันก็สบายดี ถึงยังไม่เห็นองค์พระอย่างที่เค้าบอกกันก็เถอะ... แต่จิตได้อยู่นิ่งๆ มันก็มีความสุขที่สุดแล้ว เค้าบอกกันมาว่าคนเราเข้าใจคนอื่นมามากมายแต่คนที่อยู่กับเราตลอดเวลานั่นคือตัวเราเองกลับเป็นอะไรที่เข้าใจได้ยากที่สุด เพราะอะไรนะ? ก็เพราะว่าเราเอาจิตไปไว้ที่อื่นหมดน่ะสิ จิตอยู่ที่ไหนเรามักจะทำสิ่งนั้นได้ดีเสมอ.............

 

ช่วงที่ผ่านมาฉันได้ดูจิตของตัวเอง ทำให้ได้รู้ว่าตนเองมีตัณหามากมาย ยังอยากได้อยากมี ยังยึดติดอยู่กับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งการดูจิตทำให้ฉันรู้เท่าทัน และสามารถละบางอย่างออกไปได้ ถึงจะยังไม่ทั้งหมดก็ตาม ซึ่งฉันว่านี่คือสิ่งที่สำคัญที่ได้จากการไปปฏิบัติธรรมในครั้งนี้

 

หลายๆ คนถามฉันว่ามีความเปลี่ยนแปลงยังไงหลังจากที่ได้ไปปฏิบัติมา..ฉันคิดว่า ฉันดูจิตตัวเองบ่อยขึ้น คือรู้ตัวตอนไหนจะพยายามนั่งดูจิตคือดูอารมณ์ของตัวเองว่าตอนนี้เรารู้สึกยังไง โกรธ เครียด ดีใจ หรือเสียใจ พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า ถ้าเรารู้เท่าทันอะไร เราก็จะสามารถดับมันได้…

 

และฉันก็จะพยายามเอาจิตไว้กับตัวตลอด (เวลาที่ไม่เผลอน่ะนะ)

 

มันก็เหมือนกับการนั่งสมาธิแต่ลืมตานั่นแหละ คือมองตัวเอง ถึงแม้ว่าจะเห็นอะไรก็ไม่ต้องไปตั้งคำถามมันว่า นั้นอะไรน่ะ ทำไมเค้าถึงทำแบบนั้น หรืออะไรก็ตาม นิ่งๆไว้ เห็นก็รู้ว่าเห็น ไม่ต้องไปใส่อะไรลงไปคือตามรู้ไม่ต้องใช้สมองคิดมาถึงตรงนี้ฉันจึงคิดว่าน่าจะเขียนมาถึงพี่พันธกุมภาและพี่มีนาเพราะว่าฉันก็เป็นเด็กน้อยคนนึงที่อีกไม่นานก็จะก้าวผ่านความเป็นเด็กเข้าสู่วัยเยาวชน

 

ขอบคุณครอบครัวของฉันที่ได้อบรมเลี้ยงดูมาอย่างเข้าใจและใกล้ชิดพระพุทธศาสนา ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกๆท่านที่ช่วยดำรงพระพุทธศาสนาไว้ ฉันหวังว่าบทความน้อยๆ นี้จะมีส่วนช่วยให้คนรุ่นใหม่ที่ต้องการจะฝึกปฏิบัติธรรมได้มีแรงจูงใจในการเริ่มต้นทำในสิ่งที่ดี

 

และหวังว่าฉันคงจะได้พบบทความที่เล่าเรื่องราวการปฏิบัติธรรมของคนอื่นๆ มาเล่าสู่กันฟังนะคะ ^^

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมคิดไว้มานานหลายเดือนแล้วว่า จะตั้งใจเขียน "บันทึกการเจริญสติ" ของตัวเองขึ้นมาเพราะคิดว่าคงจะดี ถ้าได้บันทึกไว้ เพื่อการเรียนรู้ของตัวเอง และคนอื่นๆ ที่สนใจ ก่อนที่จะบันทึกในกาลต่อไป ขอเล่าเรื่องการภาวนาของตัวเองก่อน....สำหรับผมแล้ว เริ่มต้นของการปฏิบัติคือเมื่อปลายปี 2549 ก็เกิดจากทุกข์ทางใจ เพราะงานเยอะ เครียด และตอนนั้นแฟนจะขอเลิก เขาเลยเสนอว่าให้ไปปฏิบัติธรรมเพื่อทำใจ จึงได้สมัครไปปฏิบัติของท่าน โกเอ็นก้า ที่ ธรรมอาภา จ.พิษณุโลก พอไปทำมา 10 วัน ก็ดีใจ ที่ทุกข์ครั้งนี้ทำให้ได้พบกับธรรมะ
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนา ปลายปี 2551 นี้ ผมมีโปรแกรมไปเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตอีกครั้ง ภายหลังจากเมื่อสิ้นปี 2550 ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปที่วัดป่าสุคะโตแล้วและได้พบหลัก พบหนทาง หลายอย่างที่เหมาะสมกับตัวเองยิ่งนัก แต่การเดินทางไปครั้งนี้ไม่เหมือนปีก่อน....มีหลายเรื่องเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง ไปตามกาลเวลา สิ่งที่เข้ามารับรู้ทำให้อารมณ์ของผมเกิดขึ้นไปต่างๆ นานา และสิ่งที่เสียใจที่สุด ทำให้ใจหม่นหมองมาหลายวัน นั่นคือการมรณภาพของ "หลวงปู่" เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา เมื่อฉบับที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงโครงการ “ธรรมทานสู่โรงพยาบาล” ที่ผมและลูกปัดไข่มุก ร่วมกันทำในนามกลุ่ม “ธรรมะทำดี” – กลุ่มที่เราสองคนร่วมกันคิด ร่วมกันก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา เพื่อการเผยแพร่ธรรมะที่เราได้พบและเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ที่ผ่านมา พวกเราสองคนต้องขอบคุณพี่ๆ หลายๆ ท่านที่ได้ส่งหนังสือมาให้นะครับ ตอนนี้มีคนที่มอบหนังสือมาหลายเล่ม ทั้งนิตยสาร และหนังสือธรรมะ และก็มีบางส่วนที่เราไปหาซื้อแถวจตุจักร จากเงินเก็บของเราที่มีอยู่
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง พี่มีนา  ผมหายจากหน้าจอไปนานเพราะมีงานให้ทำ จนฟกช้ำจิตใจไปทั่วเลย ไม่ค่อยมีเวลาได้พัก เพราะงานที่ผมรัก ทำให้ผมต้องใช้กำลังกายและความคิดมากเหลือล้น ผมจึงเป็นดั่งคนที่นำเอาพลังชีวิตในอนาคตมาใช้ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพอมีเรี่ยวแรงเหลือใช้หรือไม่ในกาลต่อไป เฮ้อ...แต่ที่จะเล่าให้พี่ฟังครานี้ก็คือ ช่วงที่ผ่านมาผมและ “ลูกปัดไข่มุก” ได้ไปจัดห้องสนทนาธรรมชื่อห้องว่า “ห้องธรรมตามใจ” เนื่องในงานเพศศึกษาวิชาการขององค์การแพธ แล้วมีเรื่องที่น่าสนใจมากมาย ทว่าในฉบับนี้อยากเอาคำคมชวนคิดที่ “ลูกปัดไข่มุก” และผมได้ช่วยกันคิดและเขียนขึ้นมาบอกเล่าต่อ ดังนี้ครับ 1.…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...น้อง พันธกุมภา ความขี้เกียจมันไม่เข้าใคร ออกใครจริงๆ ... แต่ตอนนี้ต้องเริ่มลุกขึ้นมาทำงานแล้ว เพราะคนที่อดทนไม่ได้เมื่อเราไม่ทำงานก็คือ “แม่” ของเราเอง แม่ของพี่ เป็นภาพสะท้อนของคนจีนในเมืองไทย รุ่นที่ 2 ที่ยังคง ลำบาก ทำงานหนัก และถือปรัชญาพุทธ “ขงจื๊อ” ในเรื่องการทำงานว่าต้องมี ความซื่อสัตย์ ไม่เอารัดเอาเปรียบ ความขยัน อดทน และอดออม แม่มีทุกอย่างจริงๆ แต่พี่อาจจะไม่มีทุกอย่าง อย่างที่แม่มี เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่เรามีความเหมือนและความต่าง แม้เราจะเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่สอนให้เราเป็นคนค้าขาย เราอาจจะไม่ได้อยากค้าขาย ครอบครัวสอนให้เราทำงานหนัก…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาช่วงนี้เป็นเวลาพักของพี่ ช่างเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากๆ ในความรู้สึก... แต่พี่อดคิดถึงน้องไม่ได้... แล้ววันหนึ่ง... โดยที่ไม่คาดคิด เราก็มาพบกันโดยที่มิได้คาดหมายหรือนัดกันไว้ก่อน พี่อดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตคนเราช่างแปลกจริงๆ เราก็มาพบกันจนได้ เพราะความไม่สบายของพี่ชายเพื่อนของเรา ส่วนตัวพี่ไปบ้านนั้นเพราะต้องการไปดูแลตัวเองนอกจากได้ไปดูแลตัวเองและพบกับน้องแล้ว พี่ยังได้พบกับเพื่อนอีกหลายคน ที่ไม่ได้พบกันนานที่นั่น ใครหลายคนบอกว่า โลกมันช่างแคบ ถ้าเรารู้จักคนนี้ เราก็จะรู้จักคนนั้น แต่อาจจะไม่ใช่ในช่วงเวลาเดียวกันเท่านั้นเองการพักผ่อนของพี่ ก็คงเหมือนกับคนทั่วๆ…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...พันธกุมภา ตั้งแต่ตกงาน พี่ยังไม่ได้หยุดงานเลย พี่พบว่าโลกปัจจุบันมีงานอยู่หลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าใครจะนิยามมันว่าเป็นงานอย่างไร สำหรับชีวิตพี่ตอนนี้ มีงานแบบที่ถูกให้คุณค่าทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม และงานที่ไม่ได้ถูกให้ค่าเชิงเศรษฐกิจแต่จำเป็นต้องทำ อันนี้ยังไม่ได้นับรวมเรื่องทางธรรมที่พี่ไปพบมา คืองานที่ทำแล้วไม่มีคุณค่าทางโลกแต่ได้ “บุญ” คิดดูสิว่า... ในโลกเรามีงานมากมายขนาดไหน งานที่พี่ลาออกมาเพื่อขอพัก พี่ยังไม่ได้พักเลยจนกระทั่งบัดนี้ เพราะพี่ทำแต่งานที่ไม่ให้ค่าทางเศรษฐกิจ อย่าง การดูแลแม่ งานบ้าน และการดูแลบ้าน และยังงานอื่นๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับครอบครัว…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา ผมขอแสดงความดีกับพี่สาวของผมด้วยนะครับ ที่มีโอกาสได้พักผ่อน แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าการที่เราตกงานนั้นเปรียบเสมือนการพายเรือในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่เคว้งคว้างไม่รู้ว่าจะมีหนทางในงานใหม่อย่างไรได้อีก ผมทราบดีว่าพี่คงจะเหนื่อยจากการทำงานมิน้อยเลย และเชื่อว่าการได้รับมอบหมายงานเยอะคงไม่ใช่สาเหตุของการออกจากงานหรอกใช่ไหมครับ ผมรู้ว่าจดหมายหลายฉบับที่พี่ได้เขียนมาบอกเล่านั้นมันสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้กับวิถีชีวิตความเป็นคนในเมืองหลวง และรวมถึงการต้องสัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตา ที่มีตัวตนแตกต่างกันไป การที่เราทำงานที่เรารัก…
พันธกุมภา
มีนา  ถึง พันธกุมภา พี่กำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ... ฉันกำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ เดือนสิงหาคมนี้เป็นเดือนสุดท้ายสำหรับการทำงานอย่างเป็นทางการของฉัน ญาติพี่น้อง... เจ้านาย... เพื่อนร่วมงาน... เพื่อน... ต่างเป็นห่วงเป็นใยกลัวว่าพี่จะว่าง กลัวว่าฉันจะไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ ตอนที่ฉันทำงาน พวกเขาต่างให้ความห่วง ความกังวล ว่าฉันทำงานหนักเกินไป  คนและสังคมสมัยนี้ให้คุณค่ากับการทำงานมากกว่าคุณค่าของความว่างงาน พี่เคยมีประสบการณ์การตกงานมาก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนั้นพี่ยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องการว่างงานได้ แต่ครั้งนี้ พี่พยายามปล่อยวางเรื่องการงานในปัจจุบันเพื่อพบกับความว่าง …
พันธกุมภา
  พันธกุมภาถึง มีนาเมื่อฉบับที่แล้วพี่มีนาได้กล่าวถึงเรื่องการ "ปล่อยวาง" ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งของการปฏิบัติธรรม เพราะหาไม่แล้วเราก็เป็นเพียงแค่ผู้เผชิญกับความสุขที่จิตใจเกิดขึ้นโดยที่หลงยึดติดอย่างไม่ทันรู้ตัวทั่วถ้วนสิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำในที่นี้ก็คือ เรื่องการปล่อยวาง หรือ การวางเฉย ซึ่งคล้ายกับภาษาธรรมที่เรียกว่า "อุเบกขา" นี้ ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เพราะอย่างที่เราได้รู้กันมานั้นก็คือ ในการปฏิบัติธรรมนั้น ถือว่ามีด้วยกัน 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ การทำสมถะ และการทำวิปัสสนา เท่าที่รู้, การทำสมถะ คือ การทำให้จิตสงบ ทำให้จิตนิ่ง…
พันธกุมภา
มีนา สวัสดี พันธกุมภา รู้ว่าน้องสบายดี พี่ก็ยินดีไปด้วย การดำรงชีวิตอย่างมีสติไม่ใช่เรื่องง่าย พี่ก็ว่างบ้างไม่ว่างบ้าง เพียงแต่ช่วงเวลาที่น้องไม่ว่าง บังเอิญพี่ว่าง ซึ่งเป็นเรื่องดีที่เราจะมีจังหวะชีวิตที่แตกต่างกัน และทำให้การเขียนงานลงตัว พี่ยังคิดอยู่ว่า ถ้าไม่ว่างขึ้นมาพร้อมๆ กัน คงมีปัญหาแน่ๆ สำหรับพี่ ความแตกต่างจึงน่าสนใจ เช่นเดียวกับฤดูที่แตกต่าง ชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ช่วงสัปดาห์ที่น้องกำลังมีความสุขอยู่นั้น ชีวิตของพี่เหน็ดเหนื่อยและผจญกับความทุกข์ของคนอื่น แล้วยึดมาเป็นความทุกข์ของตนเอง ... บางทีพี่ก็คิดว่า ทำไมเราจึงเป็นคนอย่างนั้นไปได้ และทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา สวัสดีครับพี่มีนา เป็นอะไรไปถึงไหนอย่างไรบ้างครับ หวังว่าพี่จะสบายดีมีสติในทุกๆ ความสนุกนะครับ อืม...จะว่าไปแล้วเราก็ไม่ได้ตอบรับจดหมายกันนานทีเดียว บางทีพี่ก็ว่างมากมายจนผมรู้สึกอิจฉาตาร้อน และผมเองบางทีก็ว่างนิดหน่อย พอมีเวลามานั่งขีดเขียน เวียนวนให้พี่ได้ยลได้ติดตามอยู่เนืองๆ ช่วงที่ผ่านมาวันเข้าพรรษา ผมพาตัวเองไปเข้าวัดมาครับ แถวๆ เกาะสีชัง ได้ไปกับคนที่รักและใช้ชีวิต “ดูจิต” สนทนาธรรมและดื่มด่ำบรรยากาศอบอุ่นจากไอทะเล ทำกับข้าวกินกันริมชายฝั่ง นั่งนับดาวยามราตรี มีเวลาก็ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะ หาซื้อเงาะ ซื้อทุเรียนมานั่งกิน รินน้ำเปล่าชนกัน…