ช่วงออกพรรษาที่ผ่านมา ผู้เขียนมีโอกาสได้เดินทางไปเมืองเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศพม่า การเดินทางโดยรถยนต์จากชายแดนแม่สาย ท่าขี้เหล็ก ต้องใช้เวลาไม่น้อย เพราะถึงแม้ว่าถนนจะราดยางหมดแล้วตลอดสาย แต่สภาพถนนหนทางที่ยังไม่มีการตีเส้นจราจรใด ๆ ทำให้รถวิ่งได้ไม่เร็วนัก ระยะทางจากท่าขี้เหล็ก ถึงเชียงตุงเพียง 165 กิโลเมตร จึงใช้เวลาถึงราว 4 ชั่วโมงกว่า
เมื่อข้ามเขตแม่สายเข้าสู่เขตแดนของท่าขี้เหล็กได้ราวหนึ่งกิโลเมตร ก็เห็นป้ายหาเสียงของออง ซาน ซูจี พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ( NLD )ขนาดกว้างคูณสูงประมาณ 1.20 เมตรติดตั้งอยู่ข้างทางเป็นหนแรก แต่ก็ถ่ายรูปไม่ทัน จึงคิดว่าจะหาโอกาสถ่ายรูปป้ายหาเสียงของเธอ เมื่อเข้าเขตพม่าไปมากยิ่งขึ้น เพราะน่าจะมีป้ายหาเสียงมากขึ้น แต่ผู้เขียนก็คิดผิดถนัด เพราะตลอดการเดินทาง ฉันไม่เห็นป้ายหาเสียงพรรคฝ่ายค้านของเธออีกเลย แม้ในตัวเมืองเชียงตุงก็ไม่มีป้ายหาเสียงของอองซาน ซูจี เห็นเพียงป้ายหาเสียงของฝั่งรัฐบาลเผด็จการพม่าเท่านั้น
ในวันที่อยู่ในเชียงตุงเป็นวันที่สี่แล้วนั่นเอง จึงเห็นรถโฆษณาหาเสียงที่มีป้ายของออง ซาน ซูจีติดอยู่เป็นครั้งแรก
สอบถามจากชาวเชียงตุงหลายคนเรื่องการเลือกตั้งที่จะจัดขึ้นในวันที่ 8 พฤษจิการยน 2558 นี้ ทุกคนก็ดูกระตือรือร้นดี และคิดว่าออง ซาน ซูจี จะช่วยทำให้การพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เป็นไปในทางที่ดีกว่ารัฐบาลทหารในปัจจุบัน พวกเขาบอกว่าคนจะไปฟังการพูดหาเสียงของออง ซาน ซูจี กันมากทุกครั้ง แต่สำหรับการพูดของฝั่งรัฐบาลหทารนั้น มีคนไปฟังไม่มากนัก และทุกคนรู้กันดีว่าไปฟังเพราะมีเงื่อนไขบางประการนั่นเอง
ถนนหนทางในเขตเมืองเชียงตุงที่ยังเป็นหลุมเป็นบ่อ และหลายแห่งก็ยังเต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้ง ไฟฟ้าในเมืองที่ดับหายเป็นช่วง ๆ วันละไม่ต่ำกว่าสี่ห้าครั้ง ทำให้คาดเดาเรื่องการพัฒนาสาธารณูปโภคต่าง ๆ ของรัฐบาลทหารพม่าได้ไม่ยากนักว่า แทบจะไม่ได้ทำอะไรมากนักในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
หลังจากผลการเลือกตั้งวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้ ที่ชาวพม่าหลาย ๆ คนบอกว่า นางออง ซาน ซู จี น่าจะได้รับเลือกตั้งอย่างท่วมท้น หากไม่มีเหตุการณ์ไม่ปกติอื่นใดเป็นเหตุให้ผลการเลือกตั้งผิดไปจากที่คนส่วนมากคาดเดา ดูเหมือนเธอจะเป็นความหวังเดียวของชาวพม่าในปัจจุบัน แม้ว่าหลายคนจะอึดอัดกับท่าทีเงียบเฉยที่เธอมีต่อชาวโรฮิงยาก็ตาม
การไปเยือนพม่าเป็นครั้งที่สองหนนี้ ทำให้ผู้เขียนอดนึกถึงคราวที่มีโอกาสได้ทำงานกับคนของรัฐบาลทหารพม่าเมื่อ 20 ปีก่อนไม่ได้
ผู้เขียนมีโอกาสได้ทำงานเป็นล่าม หรือเป็นเจ้าหน้าที่ติดต่อประสานงานให้กับประธานมนตรีซีเกมส์ของประเทศพม่า ซึ่งเป็นแขกช่วงที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 18 เมื่อปี 2538 ที่เชียงใหม่ หน้าที่หลัก ๆ ของคนทำงานล่ามก็เป็นเรื่องการอำนวยความสะดวกต่อแขกทั้งในเรื่องการตรวจสอบเรื่องตารางการแข่งขัน ว่านักกีฬาของประเทศพม่าจะมีแข่งขันอะไรบ้างและแข่งขันเวลาไหน ที่ไหน เพื่อที่จะพาแขกไปชมการแข่งขันให้ตรงเวลา รายการสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องกำหนดการที่ประธานมนตรีซีเกมส์จะต้องได้มอบเหรียญรางวัลแก่นักกีฬาประเภทใดบ้าง ก็ต้องเช็คเรื่องเวลาและสถานที่ให้แม่นยำทีเดียว ล่ามที่ทำงานกับประธาน รองประธานและเลขานุการมนตรีซีเกมส์ของประเทศอื่น ๆ อีก 9 ประเทศ ก็ต้องทำหน้าที่เช่นเดียวกัน
การทำงานที่ต้องใจจดใจจ่ออยู่กับหน้าที่รับผิดชอบทำให้การชมการแข่งขันแต่ละประเภทที่เผอิญได้เข้าไปอยู่ในบริเวณที่แข่งขันไม่ค่อยสนุกนัก เพราะห่วงเรื่องงาน และในบางครั้งก็ต้องเดินเข้าเดินออกเช็คเรื่องตารางเวลาต่าง ๆ ที่ต่อเนื่องให้แน่ใจ ซึ่งผู้เขียนต้องตรวจสอบให้แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นส์ทีเดียว ถึงพอจะหยุดพักดูกีฬาอะไรกับเขาได้บ้าง
โชคดีว่าตารางกิจกรรมที่ท่านประธานมนตรีซีเกมส์ที่ผู้เขียนต้องประสานงานอยู่นั้นไม่แน่นเอี๊ยดจนเกินไปนัก ก็พอให้มีช่วงให้รู้สึกสบายได้บ้าง และช่วงนี้ก็มีโอกาสได้คุยกับนายหทารหนุ่มคนสนิทหน้าตาหล่อเหลาคมเข้มของท่านประทานฯได้บ้าง แต่บรรยากาศการแข่งขันที่เต็มไปด้วยผู้คน เสียงเชียร์และเสียงสารพัดเสียงก็ทำเอาทั้งเหนื่อยและสนุกตื่นเต้นได้ในเวลาเดียวกันได้ง่าย ๆ
เป็นเรื่องที่แทบจะไม่ต้องบอกกันอยู่แล้วว่าการทำงานของล่ามนั้นต้องหลีกเลี่ยงประเด็นใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง และเรื่องที่จะสร้างความไม่พออกพอใจให้กับแขก และผู้เขียนกับรุ่นพี่และรุ่นน้องอีกสองคนที่เป็นล่ามประจำตัวรองประธาน และเลขานุการมนตรีซีเกมส์ ก็ถือปฎิบัติกันอย่างเคร่งครัดได้ดีทีเดียว
ก่อนวันสุดท้ายของการแข่งขันนั่นเอง ไม่รู้ว่าทำไมท่านประธาน ฯ ซึ่งตอนนั้นมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของพม่า ถึงเกิดอยากถามเรื่องเกี่ยวกับออง ซาน ซู จี ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ตลอดเวลาสิบวันที่ผ่านมาก็ถามแต่เรื่องสัพเพเหระ และเรื่องศิลปะวัฒนธรรมทั่ว ๆ ไป ท่านถามผู้เขียนว่ารู้จักออง ซาน ซู จี หรือไม่ และถ้ารู้จักคิดอย่างไรกับเธอบ้าง
... ผู้เขียนเงียบไปพักใหญ่ คิดหนักเอาการ ก่อนที่จะคิดว่าทำงานอีกแค่สองวันเท่านั้น หลังจากนั้นท่าน ๆ ทั้งหลายก็จะกลับพม่ากันแล้ว ชีวิตนี้ผู้เขียนก็คงจะไม่ได้เจอท่าน ๆ เหล่านี้อีกแล้ว ถึงแม้ว่าแต่ละท่านจะบอกว่าเมื่อใดที่ไปพม่าให้ติดต่อพวกเขาด้วย จึงตัดสินใจตอบไปในที่สุดว่า “ คิดว่าคงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักออง ซาน ซู จี และสำหรับฉันก็ชื่นชมและยกย่องในความกล้าหาญของเธอมาก ” ท่านประธานยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรต่อจากนั้นอีกเลย บรรยากาศในรถเงียบไปจนรู้สึกอึดอัดไม่น้อย ชำเลืองมองไปทางทหารหนุ่มคนสนิทของท่านประธาน ซึ่งนั่งคู่คนขับรถ ก็เห็นแต่ท่าทีเรียบเฉยเคร่งขรึมของเขา
เสร็จสิ้นการแข่งขันกีฬาซีเกมส์แล้ว ล่ามทุกคนต้องไปส่งแขกทุกท่านจนกว่าจะเดินทางออกจากสนามบินเชียงใหม่ ถึงผู้เขียนและพี่กับน้องอีกคนหนึ่งจะได้รับคำชมเรื่องการทำงานกันทุกคน แต่ทิปที่พวกเราได้รับนั้นเป็นธนบัตรพม่าคนละ 2 จ๊าด เห็นท่านรองประธาน ฯ ซึ่งเป็นคนนำมามอบให้ล่ามทุกคนบอกว่า “ เป็นซูวีเนียร์ ” ผู้เขียนไม่กล้าบอกใครว่าพูดอะไรกับท่านประธานมนตรีซีเกมส์เอาไว้บ้าง... แล้วก็อดนึกถึงทิปหนึ่งพันอเมริกันดอลล่าร์ ที่ล่ามสามคนกับคนขับรถอีกสามคน ซึ่งทำงานกับประธาน รองประธาน และเลขานุการมนตรีซีเกมส์ของประเทศบรูไนได้รับ จนลือกระฉ่อนไปในหมู่คนทำงานล่ามทั้งหมด 30 คนไม่ได้
ไปพม่าปีนี้ทำให้ผู้เขียนอดคิดถึงทหารผู้ใหญ่ทั้งสามไม่ได้ เมื่อปี 2538 พวกเขาอยู่ในวัยปลายห้าสิบ ผ่านมา 20 ปี พวกเขาบางคนอาจจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ผู้เขียนก็ไม่คิดจะติดต่อใคร รวมทั้งนายทหารคนสนิทของท่านประธานฯ ที่อายุราว 30 ในตอนนั้น และปัจจุบันอยู่ในวัยต้น 50 และเป็นเพียงคนเดียวที่ผู้เขียนขอที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ ได้แต่คิดว่าเขาอาจจะเป็นคนหนึ่งที่มีบทบาทในรัฐบาลทหารชุดปัจจุบันนี้อยู่ก็ได้