Skip to main content

แม้ผ่านวันเพ็ญเดือนสิบสองที่น้ำนองเต็มตลิ่งไปนานแล้ว แต่น้ำในคลองข้างบ้านผมยังนองปริ่มตลิ่งอยู่เช่นเดิม แถมลมมรสุมยังพัด "ฝนหยาม"(ฝนประจำฤดู) มาซัดหลังคาบ้านให้คนเหงาได้นอนฟังกล่อมใจไม่สร่างมาหลายวันแล้ว

แน่นอนว่าฤดูฝนหยามจะพา "น้ำพะ"(น้ำนอง) มาด้วย ทุ่งข้าวสีเขียวจมอยู่ใต้น้ำ และแน่นอนคนหาปลาทุกเพศทุกวัยจะออกมาดักปลากันอย่างสนุกสนานดั่งรอคอยมาแรมปี

ปีนี้ฝนโปรยปักษ์ใต้อยู่แรมเดือน ยางพาราราคาต่ำ นาข้าวเสียหาย กระนั้นเลย คนที่นี่ก็ยังพอมีความสุขพอประทังกันบ้าง "กัด"(ตาข่ายดังปลา) ถูกนำมาชะล้างและ "วาง"ลงในห้วยเดิม คัน "เบ็ดทง"(เบ็ดสำหรับปักทิ้งไว้กลางทุ่งและค่อยกลับไปตรวจตราเป็นช่วง ๆ บน "ผลา"(ชั้นวางของเหนือเตาไฟในครัวของชาวใต้ มักทำด้วยฟากไม้ไผ่) ก็ถูกนำไปปักกลางท้องนายามค่ำคืนเช่นกัน

อาทิตย์ก่อนที่ฝนเริ่มขาดเม็ด ด้วยอารามคิดถึงวิญญาณท้องถิ่น(ไม่ใช่ผีประจำหมู่บ้านอย่างที่ผู้อ่านบางท่านกำลังคิดอยู่นะคับ ฮา...) ผมใช้เวลาสุดสัปดาห์วุ่นอยู่กับการหาปลา อย่างที่ว่าแหละครับ มันเป็นกิจกรรม "แนว ๆ" ของคนรุ่นผม เป็นกิจกรรมตามฤดูกาลที่จะ "ฮิต" แถบรอบนอกตัวเมืองใน "ดูน้ำพะ" ซึ่งอาจกินเวลาในช่วงไม่กี่วันตามแต่ละพื้นที่ที่มีน้ำขังในท้องนาแถบนั้น

หลังจากที่รวบรวมสมัครพรรคพวกได้สี่ห้าคน เราถึงกับ "คดห่อ"(เตรียมอาหารไปกินระหว่างทาง) แล้วไป "ทงเบ็ด"(ไปปักเบ็ด) หาปลาข้ามจังหวัดกันเลย (จากที่ผมอยู่ อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง ไปยัง อ.ระโนด จ.สงลา) เพราะพรานทงเบ็ดต่างพูดพ้องกันว่าที่นี่ปลาชุมนัก แต่เราก็พอจะสันนิษฐานถึงสาเหตุของเหตุผลที่แถบนี้มีปลาชุกชุมได้ว่า ที่นี่เป็นพื้นที่ปลายน้ำก่อนไหลลงทะเล ทั้งฟากทะเลสาบสงขลาและทะเลอ่าวไทย เรื่องอื่นก็อย่างว่าใครเคยหาที่ไหนได้มากก็จะบอกต่อกันไป

วันนั้นเรามีเบ็ดไปคนละประมาณ 50 คัน โดยใช้ "เดือน"(ไส้เดือน) และบ้างที่ใช้ "เขียด" เป็นเหยื่อเบ็ด พราน "ทงเบ็ด" มักหวัง ปลาช่อน หรือปลาดุก มากกว่าปลาชนิดอื่น ๆ เราแบ่งเขตกันปักเบ็ดกินพื้นที่กว้างไปทั้งทุ่ง ไกลออกไปจนมองกันแทบไม่เห็น

เรา "ราย"(กระจาย) เบ็ดห่างกันประมาณคันละ 20 เมตรบน "หัวนา"(คันนา) พอถึงตอนนี้ผมนึกถึงฉากในวรรณกรรมเรื่อง "ในลึก"(ของนักเขียนใหญ่เมืองนครศรีธรรมราช จริง ๆ แล้วก็นักเขียนใหญ่ของประเทศเราก็ว่าได้ ฮา...) หากใครเคยอ่านก็คงจะนึกออกว่าการ "ทงเบ็ด" ของชาวปักษ์ใต้เป็นศาสตร์ชนิดหนึ่งจริง ๆ

"ทงเบ็ด" ให้ดีต้องเป็นคืนแรมที่ฟ้ามืด ยิ่งดึกจะเป็นเวลาของปลาใหญ่(ว่ากันอย่างนั้น) เราจึงต้องเดินตรวจเบ็ดและเปลี่ยนเหยื่อกลางท้องนากว้างกันทั้งคืนจนเกือบเช้า เหนื่อยแต่ก็บนพื้นฐานของความสุขและสนุก

ก่อนกลับบ้านเรานั่งผิงไฟและต้มกาแฟแบ่งกัน ก็ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นนั่นแหละครับ ส่วนใหญ่เราจะได้ปลาช่อนกับปลาดุก ที่เหลือก็จะเป็นปลาหมอและก็ปลาไหล

วันที่วิญญาณท้องถิ่นเข้าสิง (เสียวสันหลังวาบ ฮา..) เช่นนี้ใครหลายคนคงนึกถึงความหลังเก่า ๆ ในวันเด็ก และวัยอื่นเมื่อยังได้ทำกิจกรรมเช่นนี้อยู่ ผมบอกผู้อ่านได้ยากถึงความประทับใจเมื่อกลับปักษ์ใต้มาได้ทำกิจกรรมของท้องถิ่นอีกครั้ง จริง ๆ แล้วยังมีกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากใน "ดูน้ำพะ" ไม่ว่าจะเป็น "ดักโพงพาง" (ใช้ตาข่ายขนาดใหญ่ดักปลาตามช่องน้ำที่ไหลแรง) "โหล๊ะปลา" (หาปลาตอนกลางคืนโดยใช้ฉมวกแทง) และอีกหลายกิจกรรม

สำหรับความส่งท้าย (ปี) ผมยังอดยิ้มไม่ได้ที่เลือกเรื่องราวคืนทงเบ็ดมาบอกเล่าทั้งที่ผ่านมา "สามน้ำ" (น้ำพะครั้งที่สาม) แล้ว

ประการสำคัญที่โรคน้ำกัดเท้าของบางคนยังไม่หายสักที

ฤดูน้ำพะ ธันวาคม 51

ทุ่งลานโย ป่าพะยอม พัทลุง

บล็อกของ ปรเมศวร์ กาแก้ว

ปรเมศวร์ กาแก้ว
ผมเริ่มรับพฤติกรรมหล่อนไม่ได้เสียแล้ว ยิ่งนานวันเข้า รากฝอยของความเกียจคร้านก็ชอนไชแตกงามไปทั่วฝ่ามือและฝ่าเท้าบอบบางของหล่อน การงานทุกอย่างจึงต้องตกเป็นหน้าที่ของผมไปโดยปริยาย ทั้งที่ก่อนนั้นหล่อนเองต่างหากที่เป็นฝ่ายคิดเสนอโปรเจ็กยั่วใจเหล่านั้นขึ้นมาเพื่อหวังพัฒนาหน้าที่การงานที่หล่อนรับผิดชอบอยู่ ผมเริ่มสงสัยถึงเรื่องการมีจิตสาธารณะ จิตอาสาหรือการมีหัวใจ ความเป็นมนุษย์ของตัวเองว่ามันบกพร่อง หรือสั่นคลอนไปแล้วหรือไร ถึงได้คิดประหวั่นพรั่นพรึงกับพฤติกรรมของหล่อนได้ถึงเพียงนี้ หรืออีกนัยหนึ่ง ความละเอียดอ่อนต่อมิติทางสังคมบางอย่างของผมอาจหล่นหายไประหว่างการร่วมงานกับหล่อนเสียบ้างแล้ว
ปรเมศวร์ กาแก้ว
แม้ผ่านวันเพ็ญเดือนสิบสองที่น้ำนองเต็มตลิ่งไปนานแล้ว แต่น้ำในคลองข้างบ้านผมยังนองปริ่มตลิ่งอยู่เช่นเดิม แถมลมมรสุมยังพัด "ฝนหยาม"(ฝนประจำฤดู) มาซัดหลังคาบ้านให้คนเหงาได้นอนฟังกล่อมใจไม่สร่างมาหลายวันแล้วแน่นอนว่าฤดูฝนหยามจะพา "น้ำพะ"(น้ำนอง) มาด้วย ทุ่งข้าวสีเขียวจมอยู่ใต้น้ำ และแน่นอนคนหาปลาทุกเพศทุกวัยจะออกมาดักปลากันอย่างสนุกสนานดั่งรอคอยมาแรมปีปีนี้ฝนโปรยปักษ์ใต้อยู่แรมเดือน ยางพาราราคาต่ำ นาข้าวเสียหาย กระนั้นเลย คนที่นี่ก็ยังพอมีความสุขพอประทังกันบ้าง "กัด"(ตาข่ายดังปลา) ถูกนำมาชะล้างและ "วาง"ลงในห้วยเดิม คัน "เบ็ดทง"(เบ็ดสำหรับปักทิ้งไว้กลางทุ่งและค่อยกลับไปตรวจตราเป็นช่วง ๆ บน "ผลา"(…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
สวัสดีครับพี่... ผม..เมศเองครับ ผมยังรู้สึกเหมือนเสียงหัวเราะและแรงมือที่ตบลงบนบ่าผม ก่อนเสียง “ไอ้เมศ...กูรักมึง...กูรักมึง” ของพี่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน... ในเสียงนั้นยังคงไหวหวานมาตลอด แม้ผมจะไม่ได้ยินเสียงพี่มานานแล้วก็ตามที สิ่งเดียวที่ทำให้ผมเชื่อว่าพี่จะอยู่กับเราไปตลอด คือความรักที่เราแลกเปลี่ยนกันตอนพี่บียังอยู่กับเรา หนึ่งปีผ่านไปแล้ว ดูเหมือนผมจะรู้สึกว่าเราใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ทั้งที่ไม่ได้เจอกันเลยสักครั้งแม้ในยามค่ำคืนที่โลกของความฝันชวนดวงดาวพริบแสงมาเยือนก็ตาม
ปรเมศวร์ กาแก้ว
เมื่อเดือนแปดตามจันทรคติมาถึง “ลมหัวษา” (ลมต้นฤดูพรรษา) โหมแรงมาทางตะวันตกเฉียงใต้ พัดจีวรและผ้าอาบน้ำฝนใหม่ของพระหนุ่มแรกพรรษาและพระเก่าหลายพรรษาพลิ้วลมอยู่ไหวๆ ลมช่วงนี้อาจพัดแรงไปจนถึงปลายเดือนเก้าที่ “ลมออก” พัด “ฝนนอก” (มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ) ห่าใหญ่มาเติมทะเลสาบสงขลา (ที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดพัทลุง) อีกครั้งตอนผมยังเด็กกว่านี้ (เมื่อสองสามปีก่อน.....ฮา) ผ้าเหลืองบนกุฏิไหวลมไม่เคยสวยเท่าตอนนี้มาก่อน แม้ครอบครัวของผมจะคุ้นชินกับผ้าเหลือง (จีวร) เพราะ “พ่อเฒ่า” (ตา) ของผมบวชครองผ้าเหลืองมาตั้งแต่วัยหนุ่มใหญ่จนปลิดลมหายใจชราของชีวิตสิ้นไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
เ ชิ ญ ช ว น กั น สั ก ห น่ อ ยด้วยหัวใจผมรักธรรมชาติ และแน่นอนผมรักบทเพลงของชีวิตรวมถึงบทกวีที่ไหวเต้นเป็นจังหวะมาจากส่วนลึกของจิตใจผู้เป็นกวีจริง ๆ แล้วผมอยากบอกเล่าเรื่องราวของคนกลุ่มหนึ่ง แถบบ้านผม"คนเขาปู่" (บ้านเขาปู่ อำเภอศรีบรรพต จังหวัดพัทลุง) ที่ตัวผมเองก็จำชื่อกลุ่มของพวกเขาได้ไม่แน่ชัดนัก (น่าจะชื่อเครือข่ายคนต้นน้ำ/หรืออะไรสักอย่างที่คล้ายชื่อนี้) เรามีโอกาสพบปะพูดคุยกัน 2-3 ครั้งก่อนหน้านี้และบ่อยขึ้น จนพบหัวใจบางอย่างในดวงตาพวกเขา จึงคิดเรื่องกิจกรรมบางอย่างร่วมกันเพื่อผืนป่าเล็ก ๆ เด็กๆ…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ช่วงเดือนหกตามจันทรคติที่ผ่าน ดอกผักบุ้งกลางทุ่งทางปักษ์ใต้ได้บานรับฝนโปรยกันทั่ว เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นฤดูฝนปรัง  เติมความชุ่มชื่นให้ผืนดินหลังฤดูเก็บเกี่ยว รอการไถปลูกนอกฤดูกาล แม้ในบางพื้นที่ ทุ่งนาได้กลายเป็นกล้าข้าวพื้นเมืองสีเขียวจำพวก ‘ข้าวเล็บนก’ ‘ข้าวสังข์หยด’ ‘ข้าวเฉี้ยง’ ‘ข้าวไข่มดริ้น’ ฯลฯ ไปแล้ว ที่ลุ่มริมทะเลสาบเจิ่งนองด้วยน้ำที่เอ่อมาจากพรุ  วาระอย่างนี้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาทุกปีไม่เหนื่อยหน่าย
ปรเมศวร์ กาแก้ว
หลังมื้อค่ำ ดาวไถทอประกายวาวอยู่บนฟ้าทางทิศเหนือแทนดวงไฟในคืนแรม ปู่เคยเล่าว่ามันเป็นสัญลักษณ์ให้นัก เดินทางกลางราตรีได้จดจำเส้นทางเพื่อความอุ่นใจขณะที่เรากำลังนอนดูดาวอยู่ระเบียงนอกชานหลังบ้าน สายลมบางเบาพัดเอาควันไฟจากกองที่จุดไว้ไล่ยุงให้วัว สามตัวในคอกของปู่ผ่านร่องกระดานไม้เก่าคร่ำโชยผ่านจมูกของเรา  หลังมื้อค่ำเรามักมานอนนับดาวเล่นอย่างนี้เสมอๆ ปู่นั่งถัดขึ้นไปที่ประตูซึ่งยกระดับขึ้นเหนือระเบียงนอกชานไม้เล็กน้อย  เราทั้งสามลุกขึ้นมานั่งใกล้ๆ ปู่  ปู่ลูบหัว เราทั้งสามเบาๆ แล้วโอบตัวบ่าวมาแนบกาย นัยน์ตาปู่ใสและเปล่งประกายอย่างอ่อนโยน  “อยู่บ้านปู่สนุกมั๊ย” …
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ขณะที่แดดเช้าเก็บผีตากผ้าอ้อมไม่ทันหมด เครื่องจักรลูกหมาสีแดงยังคำรามเสียงดังไปทั่วท้องนา มันคำรามมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานจนตลอดทั้งคืน  ปู่ออกจากบ้านมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานพร้อมกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ เพื่อมาเฝ้ามองมันอย่างตั้งอกตั้งใจ เราเดินเลาะชายป่าไปทางท้ายวัด  ท้องนาสีเหลืองถูกเก็บเกี่ยวเหลือแต่ซังข้าวรอการไถกลบเพื่อ ปลูกใหม่อีกครั้งในฤดูทำนา   ปู่นั้งอยู่ริมบึงถัดจากที่เรายืนไปสองบิ้งนารวมอยู่กับตาเขียว ตาไข่ และคนอื่นๆ คนชนบททางภาคใต้เรียกรถไถนาเดินตามกันว่า “รถจักรลูกหมา” ปู่เคยบอกว่าประโยชน์ของมัน มากมาย นอกจากไถนาได้แล้ว …
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ผมผลักประตูออกจากบ้านตั้งแต่เช้า  จ้อยนัดพวกเราไว้ที่ศาลากลางหมู่บ้านเหมือนทุกวัน  วันนี้บอยจัดแจงเตรียมเม็ดหัวครกมาด้วย แปลกจริงขณะที่บอยบอกชื่อของมัน บ่าวหัวเราะกับชื่อ แปลกๆ แล้วบอกบอยว่าที่บ้านเราเขาเรียกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ วันนี้เราจะเล่นขว้างหัวงูระหว่างทางสู่ศาลากลางหมู่บ้านกระจัดกระจายไปด้วยผีตากผ้าอ้อมขาวไปทั้งทุ่ง  บ่าว นั่งลงจ้องมองอย่างพินิจและยิ้มก่อนที่แดดเช้าจะรีบเก็บผีตากผ้าอ้อมเสียหมดทีละน้อยตั้งแต่เมื่อวานที่เราพากันไปเก็บเม็ดหัวครกหลังบ้านจ้อย เราเลือกเอาผลสุกที่เม็ดจะเป็น สีน้ำตาลเข้มแล้ว …
ปรเมศวร์ กาแก้ว
บนศาลากลางหมู่บ้านวันนี้ไม่มีเสียงเอ็ดตะโรของเด็กๆ  ขณะที่ฟ้าใส ดวงอาทิตย์คล้อยบ่ายทิ้งไว้เพียงเศษเปลือกลูกยางที่แหลกแล้วและ ใบตองห่อขนมเกลื่อนพื้นอีกฟากหนึ่งเป็นถนนสายเล็กๆ เราเดินตามทางนั้นไปเลี้ยวอ้อมป่าละเมาะสู่อีกหมู่บ้านทางตะวันตกตามคำชวนของขาว สองข้างทางเป็นผืนนาไกลสุดตา  ปู่เคยบอกว่าแถวนี้มีที่นาของปู่รวมอยู่ด้วยแล้วช่วงเก็บเกี่ยวจะพาเรามาเที่ยวเล่นกันเด็กๆ ชักย่านเดินตามกันเต็มถนนตัดกลางทุ่งนาไปทางตะวันตกขณะที่แดดบ่ายโดนเมฆขาวบดบังเป็นร่มเงาและลมทุ่งผัดแผ่วๆ  ไล้เนื้อตัวเรา  อีกไม่ไกลข้างหน้าเป็นหมู่บ้านริมธารเล็กๆ ที่ขาวและเพื่อนๆ อาศัยอยู่…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
เหมือนฟ้าดำเก็บดาววิบวาวดวงและเหมือนแดดโชติช่วงกลับหุบหายเมื่อผีเสื้อปีกงามพบความตายและเหมือนฝันเกลื่อนรายเส้นทางจรใต้ใจรู้สึกโลกหมุนกลับขาวพลิกดำขลับใจโหยอ่อนดูสิน้ำตาฉันหลั่งบทกลอนผ่าวแต่ไม่ร้อนอย่างเคยเป็นยินไหม “จเรวัฒน์  เจริญรูป”ใจดั่งจะจูบแม้ทุกข์เข็ญโลกทั้งโลกรู้ความเยียบเย็นใครเล่ารู้ความเป็นของกวีเถิดพรุ่งนี้พบกันบนฟ้ากว้างพบในความอ้างว้างโค้งรุ้งสีฉันจะจำเธอไว้-ใจกวีพบในงามความดี-ฤดีดาล“จเรวัฒน์” จากแล้วเหมือนยังอยู่เหมือนยังนั่งเคียงคู่ ครูเขียนอ่านเรารู้เธอจะเป็นเช่นตำนานผู้สร้างความต้านทานทระนงอาลัยยิ่งกับการจากไปของกวีหนุ่มผู้มุ่งมั่นในงานกวีนิพนธ์ป ร เ ม ศ ว ร์ …