Skip to main content

ขณะที่แดดเช้าเก็บผีตากผ้าอ้อมไม่ทันหมด เครื่องจักรลูกหมาสีแดงยังคำรามเสียงดังไปทั่วท้องนา มันคำรามมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานจนตลอดทั้งคืน  ปู่ออกจากบ้านมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานพร้อมกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ เพื่อมาเฝ้ามองมันอย่างตั้งอกตั้งใจ

เราเดินเลาะชายป่าไปทางท้ายวัด  ท้องนาสีเหลืองถูกเก็บเกี่ยวเหลือแต่ซังข้าวรอการไถกลบเพื่อ ปลูกใหม่อีกครั้งในฤดูทำนา   ปู่นั้งอยู่ริมบึงถัดจากที่เรายืนไปสองบิ้งนารวมอยู่กับตาเขียว ตาไข่ และคนอื่นๆ

คนชนบททางภาคใต้เรียกรถไถนาเดินตามกันว่า “รถจักรลูกหมา” ปู่เคยบอกว่าประโยชน์ของมัน มากมาย นอกจากไถนาได้แล้ว  จะถอดเครื่องยนต์ออกใช้เป็นเเครื่องยนต์ขับเคลื่อนรถอีแต๋นก็ได้ ทำเป็น เครื่องเรือก็ได้ และครั้งนี้ที่เราเห็นเป็นเครื่องสูบน้ำก็ยังได้อีก

แดดสายไล่แดดเช้าออกไปแล้ว เครื่องจักรลูกหมาทำหน้าที่สูบน้ำในบึงออกอย่างเต็มกำลัง ความสามารถ  วันนี้ชาวบ้านนัดกันจับปลาที่บึงปลายนาท้ายวัดเมื่อคืนปู่จึงมาช่วยเขาสูบน้ำออกจนเช้า  เด็กๆ ทั้งหมู่บ้านต่างก็รอคอยวันวิดปลาของหมู่บ้านกันอย่างใจจดใจจ่อกันแรมปี

ในบึงน้ำพร่องไปจนเหลือเป็นตมและเศษไม้เห็นปลาน้อยใหญ่ดิ้นไปมาน่าตื่นเต้นเสียจริง ตาไข่ดับเครื่องจักรลูกหมาที่สูบน้ำอยู่แล้วหันหน้ามายิ้มเพื่อบอกสัญญาณเริ่มต้นการจับปลากันเสียที ปู่ยิ้มตอบแล้วหันมายิ้มกับพวกเรา  ในมือของเรามี “โพง” “นาง” “สุ่ม” และ “ข้อง” ที่ย่าฝากติดมือมาให้ปู่ด้วย   

ปู่บอกผมว่า “โพง” เอาไว้วิดน้ำ  “นาง” เอาไว้ตักปลา  “สุ่ม” ก็ใช้สุ่มครอบปลาไว้ และ “ข้อง” ใช้ใส่ปลาที่จับได้อย่างนี้พลางทำท่าทางประกอบดูน่าขันจนเราหัวเราะท่าทางของปู่  

ก่อนลงตมจับปลาปู่บอกให้พวกเรากินข้าวที่ย่าใส่ปิ่นโตมาให้ก่อน มื้อนี้เป็นแกงพุงปลากับน้ำชุบแมงดาและผัก  บอยกินเร็วกว่าใครเหมือนเคย ส่วนผมก็หลังคนอื่นเช่นเคยเหมือนกัน  กับข้าวของย่าอร่อยทุกวันแม้จะไม่มีให้เลือกเหมือนเวลาแม่พาไปซื้อในตลาด บ่าวกับผมเริ่มชินกับอาหารรสจัดของย่าแล้ว ต่างกับวันแรกๆ ที่ต้มส้มเป็นอาหารจานเด็ดอย่างเดียวของเรา

ตะวันสายโด่อยู่กลางท้องฟ้าสีคราม ปู่นำทางเราลงสู้ศึกจับปลากลางโคลนพร้อมอุปกรณ์ในครั้งนี้ เราเดินตามปู่ลงไปเหมือนลูกเป็ดที่เดินตามแม่ของมันไปหาอาหารไม่มีผิด คนเริ่มเยอะแล้วปู่จึงเริ่มจับอย่างไม่รอช้า

“น้องๆ ทางนี้ๆ” ผมหันรีหันขวางก็เห็นจ้อยโบกมือเรียกอยู่อีกฝั่งหนึ่งของบึง
“ครับๆ” ผมตอบรับ

แดงกับจ้อยตามพ่อมาตามความคาดหมาย ทั้งสองสะพายข้องไว้ข้างลำตัวคนละอันเตรียมพร้อมสำหรับจับปลากลับบ้านอย่างพร้องพรึง เผลอแป็บเดียวย่าก็ตามมาจับปลาอยู่ข้างปู่เสียเมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ ใบหน้าและเนื้อตัวของปู่และย่าเลอะโคลนไปทั่วเหมือนๆ กับเรา  ผมกับบ่าวหัวเราะทันทีที่หันไปเห็นทั้งคู่

“ทางโน้นๆ ไอ้ช่อนๆ” บอยชี้ไปที่ไอ้ช่อนขณะที่มันกระเสือกกระสนตะลุยโคลนอยู่อีกทางหนึ่ง
“สุ่มเลยๆ เร็วเข้าเห็นหรือยัง?” จ้อยลุกลี้ลุกลนพลางชี้มาทางผม

ผมกับบ่าววิ่งผ่าโคลนไปช่วยกันสุ่มไว้ ไอ้ช่อนกระดุกกระดิกพรางตัวอยู่ในโคลน ผมกับบ่าวเอามือกดสุ่มไว้แน่นแล้วเอามือควานหาไอ้ช่อนตามคำบอกของจ้อยแต่ไม่เจอ

“ฉันเองๆ” จ้อยวิ่งรี่เข้ามา มือของจ้อยควานหาไปทั่วสุ่มรู้สึกเหมือนจะโดนตัวไอ้ช่อนเข้าแล้วแต่ยังจับไม่ได้
“หลุดไปแล้วๆ” จ้อยโหวกเหวกขึ้นเสียงดัง ขณะที่เห็นมีอะไรก็ไม่รู้กระดุกกระดิกอยู่นอกสุ่ม  

บอยกระโดดพุ่งมาจากข้างหลังล้มตัวลงในโคลนกระฉูดเลอะเพื่อนๆ จนเลอะกันทั่วหน้า แดงหัวเราะนำเพื่อนๆ ไปก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะตามกัน

“ได้แล้วๆ” บอยชูปลาในมือเปื้อนโคลนขึ้นอวด เพื่อนๆ หัวเราะลั่นกันอีกครั้ง
“ไม่ใช่ไอ้ช่อนนี่...นั่นมันปลากระดี่” เสียงหัวเราะของคนในบึงนั้นดังขึ้นพร้อมๆ กันเมื่อหันมาเห็นหน้าตาของเจ้าบอยกับปลากระดี่ในมือ
“โน่นอีกตัว”

บ่าวชี้มาทางผม  ผมตะครุบมันโดยไว
“โน่นอีกตัว”
“อีกตัว”
“ได้อีกตัวแล้ว


เราเลอะเทอะจนดูมอมแมมไปหมด  ทุกคนมีปลาหลายชนิดรวมกันแล้วเต็ม “ข้อง” มีปลาช่อน ปลาดุก ปลาหมอ ปลาโอน(ปลาเนื้ออ่อน) ปลากระดี่ ปลาไหล ฯลฯ สารพัดปลา  ย่าจับได้เต่ามาด้วย ผมจะเอาไปเลียงไว้ในบ่อหลังบ้านบอย

ดวงตะวันคล้อยบ่ายมากแล้ว ในบึงเละไปด้วยรอยย่ำของผู้คน หลงเหลือไว้แต่ลูกปลาตัวเล็กๆ และโคลนตมรอคอยน้ำหน้าฝนระลอกใหม่
“หน้าฝนน้ำมา ลูกปลาพวกนั้นก็จะโตขึ้น” ปู่ยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่ด่างไปด้วยโคลนสีดำ
“กว่าน้ำจะมามันจะไม่ตายเสียหรือครับปู่”
“ไม่หรอก มันจะฝังตัวอยู่ในโคลน เอาความชุ่มชื้นนั้นรักษาชีวิตไว้”
“จริงหรือครับ?”
“จริงสิ...ปีหน้าปลาพวกนี้จะโตขึ้น แล้วชาวบ้านก็จะช่วยกันสูบน้ำกันอีกในหน้าแล้ง  เป็นที่รู้กันว่าหน้าแล้งอย่างนี้เราจะมาช่วยวิดปลากัน”
ปู่อธิบายแล้วลูบหัวผมแผ่วเบาแล้วหันไปโปรยยิ้มให้ย่า
“รีบกลับเถอะ  เย็นนี้ย่าจะต้มส้มปลาโอนที่น้องชอบให้กินอีก”
“ครับย่า”
ผมรับคำย่าแล้วหันไปโบกมือลาแดงกับจ้อยและเพื่อนๆ
 


    

บล็อกของ ปรเมศวร์ กาแก้ว

ปรเมศวร์ กาแก้ว
ผมเริ่มรับพฤติกรรมหล่อนไม่ได้เสียแล้ว ยิ่งนานวันเข้า รากฝอยของความเกียจคร้านก็ชอนไชแตกงามไปทั่วฝ่ามือและฝ่าเท้าบอบบางของหล่อน การงานทุกอย่างจึงต้องตกเป็นหน้าที่ของผมไปโดยปริยาย ทั้งที่ก่อนนั้นหล่อนเองต่างหากที่เป็นฝ่ายคิดเสนอโปรเจ็กยั่วใจเหล่านั้นขึ้นมาเพื่อหวังพัฒนาหน้าที่การงานที่หล่อนรับผิดชอบอยู่ ผมเริ่มสงสัยถึงเรื่องการมีจิตสาธารณะ จิตอาสาหรือการมีหัวใจ ความเป็นมนุษย์ของตัวเองว่ามันบกพร่อง หรือสั่นคลอนไปแล้วหรือไร ถึงได้คิดประหวั่นพรั่นพรึงกับพฤติกรรมของหล่อนได้ถึงเพียงนี้ หรืออีกนัยหนึ่ง ความละเอียดอ่อนต่อมิติทางสังคมบางอย่างของผมอาจหล่นหายไประหว่างการร่วมงานกับหล่อนเสียบ้างแล้ว
ปรเมศวร์ กาแก้ว
แม้ผ่านวันเพ็ญเดือนสิบสองที่น้ำนองเต็มตลิ่งไปนานแล้ว แต่น้ำในคลองข้างบ้านผมยังนองปริ่มตลิ่งอยู่เช่นเดิม แถมลมมรสุมยังพัด "ฝนหยาม"(ฝนประจำฤดู) มาซัดหลังคาบ้านให้คนเหงาได้นอนฟังกล่อมใจไม่สร่างมาหลายวันแล้วแน่นอนว่าฤดูฝนหยามจะพา "น้ำพะ"(น้ำนอง) มาด้วย ทุ่งข้าวสีเขียวจมอยู่ใต้น้ำ และแน่นอนคนหาปลาทุกเพศทุกวัยจะออกมาดักปลากันอย่างสนุกสนานดั่งรอคอยมาแรมปีปีนี้ฝนโปรยปักษ์ใต้อยู่แรมเดือน ยางพาราราคาต่ำ นาข้าวเสียหาย กระนั้นเลย คนที่นี่ก็ยังพอมีความสุขพอประทังกันบ้าง "กัด"(ตาข่ายดังปลา) ถูกนำมาชะล้างและ "วาง"ลงในห้วยเดิม คัน "เบ็ดทง"(เบ็ดสำหรับปักทิ้งไว้กลางทุ่งและค่อยกลับไปตรวจตราเป็นช่วง ๆ บน "ผลา"(…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
สวัสดีครับพี่... ผม..เมศเองครับ ผมยังรู้สึกเหมือนเสียงหัวเราะและแรงมือที่ตบลงบนบ่าผม ก่อนเสียง “ไอ้เมศ...กูรักมึง...กูรักมึง” ของพี่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน... ในเสียงนั้นยังคงไหวหวานมาตลอด แม้ผมจะไม่ได้ยินเสียงพี่มานานแล้วก็ตามที สิ่งเดียวที่ทำให้ผมเชื่อว่าพี่จะอยู่กับเราไปตลอด คือความรักที่เราแลกเปลี่ยนกันตอนพี่บียังอยู่กับเรา หนึ่งปีผ่านไปแล้ว ดูเหมือนผมจะรู้สึกว่าเราใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ทั้งที่ไม่ได้เจอกันเลยสักครั้งแม้ในยามค่ำคืนที่โลกของความฝันชวนดวงดาวพริบแสงมาเยือนก็ตาม
ปรเมศวร์ กาแก้ว
เมื่อเดือนแปดตามจันทรคติมาถึง “ลมหัวษา” (ลมต้นฤดูพรรษา) โหมแรงมาทางตะวันตกเฉียงใต้ พัดจีวรและผ้าอาบน้ำฝนใหม่ของพระหนุ่มแรกพรรษาและพระเก่าหลายพรรษาพลิ้วลมอยู่ไหวๆ ลมช่วงนี้อาจพัดแรงไปจนถึงปลายเดือนเก้าที่ “ลมออก” พัด “ฝนนอก” (มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ) ห่าใหญ่มาเติมทะเลสาบสงขลา (ที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดพัทลุง) อีกครั้งตอนผมยังเด็กกว่านี้ (เมื่อสองสามปีก่อน.....ฮา) ผ้าเหลืองบนกุฏิไหวลมไม่เคยสวยเท่าตอนนี้มาก่อน แม้ครอบครัวของผมจะคุ้นชินกับผ้าเหลือง (จีวร) เพราะ “พ่อเฒ่า” (ตา) ของผมบวชครองผ้าเหลืองมาตั้งแต่วัยหนุ่มใหญ่จนปลิดลมหายใจชราของชีวิตสิ้นไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
เ ชิ ญ ช ว น กั น สั ก ห น่ อ ยด้วยหัวใจผมรักธรรมชาติ และแน่นอนผมรักบทเพลงของชีวิตรวมถึงบทกวีที่ไหวเต้นเป็นจังหวะมาจากส่วนลึกของจิตใจผู้เป็นกวีจริง ๆ แล้วผมอยากบอกเล่าเรื่องราวของคนกลุ่มหนึ่ง แถบบ้านผม"คนเขาปู่" (บ้านเขาปู่ อำเภอศรีบรรพต จังหวัดพัทลุง) ที่ตัวผมเองก็จำชื่อกลุ่มของพวกเขาได้ไม่แน่ชัดนัก (น่าจะชื่อเครือข่ายคนต้นน้ำ/หรืออะไรสักอย่างที่คล้ายชื่อนี้) เรามีโอกาสพบปะพูดคุยกัน 2-3 ครั้งก่อนหน้านี้และบ่อยขึ้น จนพบหัวใจบางอย่างในดวงตาพวกเขา จึงคิดเรื่องกิจกรรมบางอย่างร่วมกันเพื่อผืนป่าเล็ก ๆ เด็กๆ…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ช่วงเดือนหกตามจันทรคติที่ผ่าน ดอกผักบุ้งกลางทุ่งทางปักษ์ใต้ได้บานรับฝนโปรยกันทั่ว เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นฤดูฝนปรัง  เติมความชุ่มชื่นให้ผืนดินหลังฤดูเก็บเกี่ยว รอการไถปลูกนอกฤดูกาล แม้ในบางพื้นที่ ทุ่งนาได้กลายเป็นกล้าข้าวพื้นเมืองสีเขียวจำพวก ‘ข้าวเล็บนก’ ‘ข้าวสังข์หยด’ ‘ข้าวเฉี้ยง’ ‘ข้าวไข่มดริ้น’ ฯลฯ ไปแล้ว ที่ลุ่มริมทะเลสาบเจิ่งนองด้วยน้ำที่เอ่อมาจากพรุ  วาระอย่างนี้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาทุกปีไม่เหนื่อยหน่าย
ปรเมศวร์ กาแก้ว
หลังมื้อค่ำ ดาวไถทอประกายวาวอยู่บนฟ้าทางทิศเหนือแทนดวงไฟในคืนแรม ปู่เคยเล่าว่ามันเป็นสัญลักษณ์ให้นัก เดินทางกลางราตรีได้จดจำเส้นทางเพื่อความอุ่นใจขณะที่เรากำลังนอนดูดาวอยู่ระเบียงนอกชานหลังบ้าน สายลมบางเบาพัดเอาควันไฟจากกองที่จุดไว้ไล่ยุงให้วัว สามตัวในคอกของปู่ผ่านร่องกระดานไม้เก่าคร่ำโชยผ่านจมูกของเรา  หลังมื้อค่ำเรามักมานอนนับดาวเล่นอย่างนี้เสมอๆ ปู่นั่งถัดขึ้นไปที่ประตูซึ่งยกระดับขึ้นเหนือระเบียงนอกชานไม้เล็กน้อย  เราทั้งสามลุกขึ้นมานั่งใกล้ๆ ปู่  ปู่ลูบหัว เราทั้งสามเบาๆ แล้วโอบตัวบ่าวมาแนบกาย นัยน์ตาปู่ใสและเปล่งประกายอย่างอ่อนโยน  “อยู่บ้านปู่สนุกมั๊ย” …
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ขณะที่แดดเช้าเก็บผีตากผ้าอ้อมไม่ทันหมด เครื่องจักรลูกหมาสีแดงยังคำรามเสียงดังไปทั่วท้องนา มันคำรามมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานจนตลอดทั้งคืน  ปู่ออกจากบ้านมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานพร้อมกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ เพื่อมาเฝ้ามองมันอย่างตั้งอกตั้งใจ เราเดินเลาะชายป่าไปทางท้ายวัด  ท้องนาสีเหลืองถูกเก็บเกี่ยวเหลือแต่ซังข้าวรอการไถกลบเพื่อ ปลูกใหม่อีกครั้งในฤดูทำนา   ปู่นั้งอยู่ริมบึงถัดจากที่เรายืนไปสองบิ้งนารวมอยู่กับตาเขียว ตาไข่ และคนอื่นๆ คนชนบททางภาคใต้เรียกรถไถนาเดินตามกันว่า “รถจักรลูกหมา” ปู่เคยบอกว่าประโยชน์ของมัน มากมาย นอกจากไถนาได้แล้ว …
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ผมผลักประตูออกจากบ้านตั้งแต่เช้า  จ้อยนัดพวกเราไว้ที่ศาลากลางหมู่บ้านเหมือนทุกวัน  วันนี้บอยจัดแจงเตรียมเม็ดหัวครกมาด้วย แปลกจริงขณะที่บอยบอกชื่อของมัน บ่าวหัวเราะกับชื่อ แปลกๆ แล้วบอกบอยว่าที่บ้านเราเขาเรียกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ วันนี้เราจะเล่นขว้างหัวงูระหว่างทางสู่ศาลากลางหมู่บ้านกระจัดกระจายไปด้วยผีตากผ้าอ้อมขาวไปทั้งทุ่ง  บ่าว นั่งลงจ้องมองอย่างพินิจและยิ้มก่อนที่แดดเช้าจะรีบเก็บผีตากผ้าอ้อมเสียหมดทีละน้อยตั้งแต่เมื่อวานที่เราพากันไปเก็บเม็ดหัวครกหลังบ้านจ้อย เราเลือกเอาผลสุกที่เม็ดจะเป็น สีน้ำตาลเข้มแล้ว …
ปรเมศวร์ กาแก้ว
บนศาลากลางหมู่บ้านวันนี้ไม่มีเสียงเอ็ดตะโรของเด็กๆ  ขณะที่ฟ้าใส ดวงอาทิตย์คล้อยบ่ายทิ้งไว้เพียงเศษเปลือกลูกยางที่แหลกแล้วและ ใบตองห่อขนมเกลื่อนพื้นอีกฟากหนึ่งเป็นถนนสายเล็กๆ เราเดินตามทางนั้นไปเลี้ยวอ้อมป่าละเมาะสู่อีกหมู่บ้านทางตะวันตกตามคำชวนของขาว สองข้างทางเป็นผืนนาไกลสุดตา  ปู่เคยบอกว่าแถวนี้มีที่นาของปู่รวมอยู่ด้วยแล้วช่วงเก็บเกี่ยวจะพาเรามาเที่ยวเล่นกันเด็กๆ ชักย่านเดินตามกันเต็มถนนตัดกลางทุ่งนาไปทางตะวันตกขณะที่แดดบ่ายโดนเมฆขาวบดบังเป็นร่มเงาและลมทุ่งผัดแผ่วๆ  ไล้เนื้อตัวเรา  อีกไม่ไกลข้างหน้าเป็นหมู่บ้านริมธารเล็กๆ ที่ขาวและเพื่อนๆ อาศัยอยู่…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
เหมือนฟ้าดำเก็บดาววิบวาวดวงและเหมือนแดดโชติช่วงกลับหุบหายเมื่อผีเสื้อปีกงามพบความตายและเหมือนฝันเกลื่อนรายเส้นทางจรใต้ใจรู้สึกโลกหมุนกลับขาวพลิกดำขลับใจโหยอ่อนดูสิน้ำตาฉันหลั่งบทกลอนผ่าวแต่ไม่ร้อนอย่างเคยเป็นยินไหม “จเรวัฒน์  เจริญรูป”ใจดั่งจะจูบแม้ทุกข์เข็ญโลกทั้งโลกรู้ความเยียบเย็นใครเล่ารู้ความเป็นของกวีเถิดพรุ่งนี้พบกันบนฟ้ากว้างพบในความอ้างว้างโค้งรุ้งสีฉันจะจำเธอไว้-ใจกวีพบในงามความดี-ฤดีดาล“จเรวัฒน์” จากแล้วเหมือนยังอยู่เหมือนยังนั่งเคียงคู่ ครูเขียนอ่านเรารู้เธอจะเป็นเช่นตำนานผู้สร้างความต้านทานทระนงอาลัยยิ่งกับการจากไปของกวีหนุ่มผู้มุ่งมั่นในงานกวีนิพนธ์ป ร เ ม ศ ว ร์ …