Skip to main content

หลังมื้อค่ำ ดาวไถทอประกายวาวอยู่บนฟ้าทางทิศเหนือแทนดวงไฟในคืนแรม ปู่เคยเล่าว่ามันเป็นสัญลักษณ์ให้นัก เดินทางกลางราตรีได้จดจำเส้นทางเพื่อความอุ่นใจ

ขณะที่เรากำลังนอนดูดาวอยู่ระเบียงนอกชานหลังบ้าน สายลมบางเบาพัดเอาควันไฟจากกองที่จุดไว้ไล่ยุงให้วัว สามตัวในคอกของปู่ผ่านร่องกระดานไม้เก่าคร่ำโชยผ่านจมูกของเรา  หลังมื้อค่ำเรามักมานอนนับดาวเล่นอย่างนี้เสมอๆ

ปู่นั่งถัดขึ้นไปที่ประตูซึ่งยกระดับขึ้นเหนือระเบียงนอกชานไม้เล็กน้อย  เราทั้งสามลุกขึ้นมานั่งใกล้ๆ ปู่  ปู่ลูบหัว เราทั้งสามเบาๆ แล้วโอบตัวบ่าวมาแนบกาย นัยน์ตาปู่ใสและเปล่งประกายอย่างอ่อนโยน  
“อยู่บ้านปู่สนุกมั๊ย”  บ่าวยิ้ม
“สนุกครับ  บ้านปู่สนุกและสบายมากๆ ด้วย” บ่าวตอบ
“คิดถึงบ้านกันหรือยังล่ะ” บ่าวกับผมยิ้มให้กันแล้วส่ายหน้าให้ปู่
“ยังครับ เรายังอยากอยู่ต่ออยู่เลยครับ” ปู่ยิ้มให้เราทุกคน

“ปู่เล่านิทานให้พวกเราฟังสักเรื่องสิครับ  นิทานของปู่ยังมีอีกตั้งหลายเรื่องนี่ครับ” บอยขย่มขาปู่แล้วยิ้มอ้อนวอน
“นิทานเหรอ…ได้สิ”จะเอาเรื่องอะไรดีล่ะ?”
ปู่ทำท่ายึกยักอยู่พักหนึ่ง แล้วหยิบหมุกยาที่วางอยู่ใกล้ๆ ชักใบจาก-ยาเส้น มวนสูบพ่นควันโขมง พวกเราปัดป่าย มือไล่ควันบุหรี่ตามแบบฉบับของชาวบ้านกันวุ่น  ปู่หัวเราะท่าทางของพวกเราก่อนที่จะหันมาทำท่ายึกยักต่อ
“เอ่อ…เอ่อ…เอ่อ”
“เรื่องอะไรปู่ เรื่องอะไร”
“เอ่อ…เอ่อ...เรื่องเกลอเขาเกลอเลแล้วกันนะ”

ปู่โปรยยิ้มให้เราดังเดิม  เด็กชายทั้งสามทำตาโตกับนิทานเรื่องใหม่ของปู่ ขณะที่ไฟจากมวนยาของปู่แดงวาบขึ้น เว้นเป็นจังหวะพอประมาณให้หายใจ  ปู่วาดมือไปบนท้องฟ้าชี้ให้ดูดาวไถก่อนเริ่มเล่าเรื่องราวของเกลอเขาเกลอเล

“นานแล้วมีเพื่อนรักอยู่คู่หนึ่ง  พวกเขารักกันมาก ชื่อไอ้เกลอเขา กับ ไอ้เกลอเล”
“ทำไมชื่อไอ้เกลอเขา ไอ้เกลอเล ล่ะปู่” บ่าวถาม
“เพราะบ้านของไอ้เกลอเขาอยู่ในหมู่บ้านเชิงเขาทางโน้น” ปู่ชี้นิ้วไปทางเทือกเขาทางทิศตะวันตก
“แล้วบ้านของไอ้เกลอเลก็อยู่ในหมู่บ้านริมทะเลทางนี้” ปู่ชี้นิ้วไปทางทิศตะวันออกก่อนเล่าต่อ

“เพราะทั้งสองคนต่างก็รักกันมากจึงมีการติดต่อ ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ  คราวนั้นด้วยความที่คิดถึงเพื่อน ไอ้เกลอเขาจึงมีแผนจะเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนรักที่หมู่บ้านริมทะเล  เย็นวั้นนั้นไอ้เกลอเขาก็คิดหาของฝากที่ดีที่สุดสำหรับ เพื่อนรัก  ปรากฎว่า ไอ้เกลอเขาก็ได้ “มูสัง” ของดีจากผืนป่าเป็นของฝากสำหรับเพื่อนรัก”
“อะไรปู่ “มูสัง?” ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ก็ที่คนในเมืองเขาเรียกกันว่าชะมดนั่นแหละน้องเอ้ย…” ปู่หัวเราะแล้วเล่าต่อ

“เมื่อได้ “มูสัง” ไปฝากเพื่อนแล้ว  รุ่งเช้าตื่นนอนขึ้นมา ตระเตรียมข้าวของเสร็จไอ้เกลอเขาก็ออกเดินทางลงจากเขา ไปหาเพื่อนยังหมู่บ้านริมทะเลตามความตั้งใจ”
“แล้วไอ้เกลอเขาเดินทางไปอย่างไรครับ” บอยเอ่ยถามขึ้น
“เดินสิ…คนสมัยก่อนเขาเดินกันทั้งนั้น ไม่มีรถโดยสารประจำทางเหมือนอย่างสมัยนี้หรอกเจ้าบอย”
“การเดินทางก็ผ่านห้วยหนองคลองบึงมากมาย  ไอ้เกลอเขาจับ “มูสัง” ใส่กรงไว้แน่นและหิ้วอย่างระมัดระวังเป็น ที่สุด   “มูสัง” เป็นของหายากมากสำหรับเพื่อน เพราะ “มูสัง” จะอาศัยอยู่ในป่าลึกบนภูเขาและเป็นอาหารป่ายอดนิยมของ ชาวบ้านเชิงเขา เมื่อถึงบ้านไอ้เกลอเล เพื่อนรักทั้งสองได้พบหน้าและทักทายกันด้วยความคิดถึง  ได้โอกาสไอ้เกลอเขาก็มอบ ของฝากล้ำค่าของตนให้เพื่อนรักอย่างภาคภูมิ”

“นี่ตัวอะไร” ไอ้เกลอเลถาม  ปู่ดัดเสียงทำทีเป็นไอ้เกลอเล
“มูสัง” ไอ้เกลอเขาตอบ  ปู่ดัดเสียงเป็นไอ้เกลอเขาเช่นกัน พวกเราต่างยิ้มชอบอกชบใจ
“ด้วยความไม่รู้จักสัตว์ป่า ไอ้เกลอเลเดินวนรอบกรงพินิจไอ้ “มูสัง” นี่อยู่นานก่อนถามว่ามันกินอะไรกูจะเลี้ยงไว้  ไอ้เกลอเขาแปลกใจที่เพื่อนรักคิดจะเลี้ยง “มูสัง” ไว้และไม่กล้าบอกว่าเขาไม่เลี้ยง “มูสัง” กัน  ด้วยความเกรงใจและไม่กล้า ขัดความตั้งใจของเพื่อน จึงบอกว่ามันกินขี้ไก่เลี้ยงง่าย ขังไว้ในคอกไก่เท่านี้ก็เลี้ยงได้แล้ว”

“มันกินขี้ไก่จริงหรือปู่” บ่าวถามขึ้นบ้าง
“ฟังต่อสิ”
“หลังจากมื้อค่ำและการพูดคุยกันพักใหญ่ ไอ้เกลอเลส่งเพื่อนรักเข้านอนแล้วจึงคิดวิธีเลี้ยง “มูสัง” ต่อ  “มันกินขี้ไก่” ไอ้เกลอเลพึมพำกับตัวเองจนได้วิธีเลียงมูสังโดยไม่ต้องทำกรงใหม่  

“เย็นอีกวัน ไอ้เกลอเขากลับบ้านไปแล้ว  ไอ้เกลอเลก็เอา “มูสัง” ขังไว้ในคอกไก่ตามคำเพื่อนรัก  เมียไอ้เกลอเลก็ชม ยกย่องผัวตัวเองยกใหญ่ว่าฉลาดไม่มีใครเกินที่เลือกที่จะเลี้ยง “มูสัง” ไว้   ไอ้เกลอเลเข้านอนตื่นขึ้นมาในรุ่งเช้าก็ได้ยินเสียง ร้องเรียกจากเมียให้มาดูที่คอกไก่  ปรากฎว่าในคอกไก่นั้นขนไก่กระจุยกระจายเพ่นพ่านไปทั้งคอก ไก่ถูกกินและตายไป หลายตัวแต่ขี้ไก่ยังเต็มคอก”

เราทั้งสามหัวเราะกันลั่นชานบ้านจนย่าเดินออกมาดูว่าเราทำอะไรกัน ปู่บอกย่าว่ากำลังเล่านิทานเรื่องไอ้เกลอเขา ไอ้เกลอเลอยู่ ย่ายิ้มให้แล้วกลับเข้าบ้านไป ปู่จึงเล่าต่อ

“ไอ้เกลอเลโมโหที่ “มูสัง” กินไก่ตัวเองเสียหลายตัวแถมยังถูกเพื่อนรักหลอกเรื่องไอ้ “มูสัง” กินขี้ไก่อีกจึงคิดอุบาย ที่จะแก้แค้นเพื่อนรัก  ไอ้เกลอเลคิดอบายอยู่นานจึงคิดออกว่า คราวก่อนที่ถูกเพื่อนรักหลอกก็เพราะตัวเองไม่รู้จัก “มูสัง” จึงไม่รู้ว่ามันกินอะไรเป็นอาหาร  คราวนี้จึงคิดว่าจะเดินทางไปเยี่ยมไอ้เกลอเขาแล้วเอา “ปูม้า” ของดีจากทะเลไปฝาก เพื่อนบ้าง

ไอ้เกลอเลจับปูม้าตัวโตไว้สองสามตัวแล้วเดินทางข้ามป่าข้ามเขาไปหาเพื่อนรักยังหมู่บ้านเชิงเขาทางตะวันตก การเดินทางเป็นไปอย่างลำบากแต่ไอ้เกลอเลก็เดินทางไปจนถึงบ้านของไอ้เกลอเขา  เมื่อทั้งสองพบหน้ากันก็ทักทายกัน ด้วยความคิดถึง  ไอ้เกลอเขาชิงถามเรื่อง “มูสัง” ที่เพื่อนคิดจะเลี้ยงไว้  ไอ้เกลอเลตอบแก้เก้อว่ามันยังอยู่ดีกินดีอ้วนท้วน สมบูรณ์เพราะบ้านตัวเองมีขี้ไก่ให้มันกินเยอะ ไอ้เกลอเขางงกับคำบอกเล่าของเพื่อน ทำทีไม่เชื่อแต่ก็ต้องเชื่อเพราะไม่ เห็นว่าเพื่อนจะโกรธอะไรที่ตนได้หลอกไว้

ได้โอกาสไอ้เกลอเลจึงมอบ “ปูม้า” ที่เตรียมมาให้เพื่อนรัก  ไอ้เกลอเขาด้วยความที่ไม่เคยเห็นปูอะไรตัวใหญ่อย่างนี้ แถมยังมีสีสีนสวยงามเสียด้วยจึงถึงกับต้องร้องอุทานออกมาเลย  ไอ้เกลอเขาถามเพื่อนรักว่าไอ้ตัวนี้มันปูอะไรถึงได้ตัวโต แล้วก็สวยถึงขนาดนี้  เพื่อนรักบอกว่า “ปูม้า” ไอ้เกลอเขาบอกทันทีว่าจะเลี้ยงไว้บ้าง”

“ทีนี้ก็เข้าทีไอ้เกลอเลบ้างแล้ว” ปู่พูดขึ้นเพื่อเร้าความสนใจของเราแล้วเล่าต่อ
“ไอ้เกลอเลถามเพื่อนรักว่าแล้วจะให้มันอยู่อย่างไรล่ะ  ไอ้เกลอเลบอกว่าให้มันอยู่ในน้ำเค็ม มันชอบกินเยี่ยว” หลานๆ หัวเราะชอบใจกันยกใหญ่ ปู่เล่าต่อ
“ไอ้เกลอเลบอกเพื่อนรักว่าวิธีเลี้ยงง่ายนิดเดียว มึงลองแล  เขาเอามันใส่ถาดไว้แล้วเยี่ยวให้มันกินทุกวัน โตวัน โตคืนเชียวแหละ ไอ้เกลอเขาเชื่อเพื่อนรักสนิทใจเช่นกัน  ผ่านมื้อค่ำและวงสนทนายามค่ำคืน ทั้งสองแยกย้ายเข้านอน  

รุ่งขึ้นไอ้เกลอเลเดินทางกลับบ้านทิ้งอุบายแก้แค้นเพื่อนรักไว้ข้างหลัง  ตะวันสายแล้ว ไอ้เกลอเขาเรียกเมียตัวเอง ออกมาปรึกษาหารือถึงการเลี้ยงปูม้าสองสามตัวที่เพื่อรักนำมาฝากจากทะเล”
“ให้มันอยู่ในน้ำเค็ม มันชอบกินเยี่ยว” ปู่โปรยยิ้มให้ เด็กชายทั้งสามหัวเราะ ปู่เล่าต่อ
“ไอ้เกลอเขานึกถึงคำเพื่อนรัก  “เขาเอามันใส่ถาดไว้แล้วเยี่ยวให้มันกินทุกวัน โตวันโตคืนเชียวแหละ” ก็ไปจับปูม้า มาใส่ถาดวางไว้แล้วตกลงกับเมียเรื่องการให้อาหารสัตว์เลี้ยงตัวนี้  หลังจากตกลงกันครู่หนึ่งก็ได้ข้อสรุปว่าต้องผลัดกัน มาเยี่ยวให้ปูม้ากินวันละครั้ง โดยมื้อแรกให้เมียเยี่ยวก่อน เมียไอ้เกลอเขาตกลงตามนั้น”
“ทีนี้แหละ บ่าเอ้ย…” ปู่เร้าความสนใจเราอีกครั้ง

“ต่อสิปู่ กำลังสนุกเลย”
“ขณะที่ปูม้านอนนิ่งอยู่ในถาดนั้น เมียไอ้เกลอเลก็ไม่รีรอที่จะให้อาหารของฝากจากเพื่อน ทันใดนั้นเจ้าปูม้าก็หนีบ เอาที่ “…………..” ของเมียไอ้เกลอเขา”
ปู่ทำเสียง “………….” แล้วร้องโอ๊ย…..เลียนเสียงผู้หญิงมาด้วย
“เมียไอ้เกลอเขาร้องเรียกผัดลั่นบ้าน  “พี่ๆๆๆ เฮ็บแล้วๆ ๆ มันเฮ็บแล้ว” ไอ้เกลอเขาตกใจรีบวิ่งมาหาเมียทันที
ปู่ทำเสียง “………….” แล้วร้องโอ๊ย…..เลียนเสียงผู้หญิงมาด้วยอีกครั้ง ทีนี้เราหัวเราะลั่นบ้านกันทีเดียวเชียว

ดาวใสยังทอประกายวาวบนท้องฟ้า ลมทุ่งแผ่วควันไฟจางๆ มาอุ่นๆ เด็กชายทั้งสามสนุกและชอบอกชอบใจกับ เรื่องเล่ายามค่ำคืนของปู่
“จบแล้วหรือครับนิทานของปู่”
“นิทานปู่จบแล้ว ไปเข้านอนกันเถอะ”
“ครับ แล้วพรุ่งนี้เล่านิทานให้เราฟังอีกนะครับ” เรารับคำแล้วเข้าไปนอนในมุ้ง
“อย่าเปิดมุ้งทิ้งไว้อย่างนันสิ เดี๋ยวยุงเข้าไปหามไม่รู้ด้วยนะ” เรามองหาต้นเสียงจึงเห็นว่าย่าเตือนเรามาแต่ไกล
“ครับ…แต่ผมไม่ได้เปิดให้ยุงเข้าสักหน่อย”
“ผมแค่เปิดใล่ยุงตัวที่อยู่ข้างในมันออกไปต่างหากล่ะ”
ทั้งบ้านหัวเราะส่งท้ายดาวไถกันอย่างมีความสุขก่อนที่ราตรีกาลจะเลือนหายไปกับความฝันใต้ผ้าห่มอุ่น  
 

บล็อกของ ปรเมศวร์ กาแก้ว

ปรเมศวร์ กาแก้ว
ผมเริ่มรับพฤติกรรมหล่อนไม่ได้เสียแล้ว ยิ่งนานวันเข้า รากฝอยของความเกียจคร้านก็ชอนไชแตกงามไปทั่วฝ่ามือและฝ่าเท้าบอบบางของหล่อน การงานทุกอย่างจึงต้องตกเป็นหน้าที่ของผมไปโดยปริยาย ทั้งที่ก่อนนั้นหล่อนเองต่างหากที่เป็นฝ่ายคิดเสนอโปรเจ็กยั่วใจเหล่านั้นขึ้นมาเพื่อหวังพัฒนาหน้าที่การงานที่หล่อนรับผิดชอบอยู่ ผมเริ่มสงสัยถึงเรื่องการมีจิตสาธารณะ จิตอาสาหรือการมีหัวใจ ความเป็นมนุษย์ของตัวเองว่ามันบกพร่อง หรือสั่นคลอนไปแล้วหรือไร ถึงได้คิดประหวั่นพรั่นพรึงกับพฤติกรรมของหล่อนได้ถึงเพียงนี้ หรืออีกนัยหนึ่ง ความละเอียดอ่อนต่อมิติทางสังคมบางอย่างของผมอาจหล่นหายไประหว่างการร่วมงานกับหล่อนเสียบ้างแล้ว
ปรเมศวร์ กาแก้ว
แม้ผ่านวันเพ็ญเดือนสิบสองที่น้ำนองเต็มตลิ่งไปนานแล้ว แต่น้ำในคลองข้างบ้านผมยังนองปริ่มตลิ่งอยู่เช่นเดิม แถมลมมรสุมยังพัด "ฝนหยาม"(ฝนประจำฤดู) มาซัดหลังคาบ้านให้คนเหงาได้นอนฟังกล่อมใจไม่สร่างมาหลายวันแล้วแน่นอนว่าฤดูฝนหยามจะพา "น้ำพะ"(น้ำนอง) มาด้วย ทุ่งข้าวสีเขียวจมอยู่ใต้น้ำ และแน่นอนคนหาปลาทุกเพศทุกวัยจะออกมาดักปลากันอย่างสนุกสนานดั่งรอคอยมาแรมปีปีนี้ฝนโปรยปักษ์ใต้อยู่แรมเดือน ยางพาราราคาต่ำ นาข้าวเสียหาย กระนั้นเลย คนที่นี่ก็ยังพอมีความสุขพอประทังกันบ้าง "กัด"(ตาข่ายดังปลา) ถูกนำมาชะล้างและ "วาง"ลงในห้วยเดิม คัน "เบ็ดทง"(เบ็ดสำหรับปักทิ้งไว้กลางทุ่งและค่อยกลับไปตรวจตราเป็นช่วง ๆ บน "ผลา"(…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
สวัสดีครับพี่... ผม..เมศเองครับ ผมยังรู้สึกเหมือนเสียงหัวเราะและแรงมือที่ตบลงบนบ่าผม ก่อนเสียง “ไอ้เมศ...กูรักมึง...กูรักมึง” ของพี่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน... ในเสียงนั้นยังคงไหวหวานมาตลอด แม้ผมจะไม่ได้ยินเสียงพี่มานานแล้วก็ตามที สิ่งเดียวที่ทำให้ผมเชื่อว่าพี่จะอยู่กับเราไปตลอด คือความรักที่เราแลกเปลี่ยนกันตอนพี่บียังอยู่กับเรา หนึ่งปีผ่านไปแล้ว ดูเหมือนผมจะรู้สึกว่าเราใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ทั้งที่ไม่ได้เจอกันเลยสักครั้งแม้ในยามค่ำคืนที่โลกของความฝันชวนดวงดาวพริบแสงมาเยือนก็ตาม
ปรเมศวร์ กาแก้ว
เมื่อเดือนแปดตามจันทรคติมาถึง “ลมหัวษา” (ลมต้นฤดูพรรษา) โหมแรงมาทางตะวันตกเฉียงใต้ พัดจีวรและผ้าอาบน้ำฝนใหม่ของพระหนุ่มแรกพรรษาและพระเก่าหลายพรรษาพลิ้วลมอยู่ไหวๆ ลมช่วงนี้อาจพัดแรงไปจนถึงปลายเดือนเก้าที่ “ลมออก” พัด “ฝนนอก” (มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ) ห่าใหญ่มาเติมทะเลสาบสงขลา (ที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดพัทลุง) อีกครั้งตอนผมยังเด็กกว่านี้ (เมื่อสองสามปีก่อน.....ฮา) ผ้าเหลืองบนกุฏิไหวลมไม่เคยสวยเท่าตอนนี้มาก่อน แม้ครอบครัวของผมจะคุ้นชินกับผ้าเหลือง (จีวร) เพราะ “พ่อเฒ่า” (ตา) ของผมบวชครองผ้าเหลืองมาตั้งแต่วัยหนุ่มใหญ่จนปลิดลมหายใจชราของชีวิตสิ้นไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
เ ชิ ญ ช ว น กั น สั ก ห น่ อ ยด้วยหัวใจผมรักธรรมชาติ และแน่นอนผมรักบทเพลงของชีวิตรวมถึงบทกวีที่ไหวเต้นเป็นจังหวะมาจากส่วนลึกของจิตใจผู้เป็นกวีจริง ๆ แล้วผมอยากบอกเล่าเรื่องราวของคนกลุ่มหนึ่ง แถบบ้านผม"คนเขาปู่" (บ้านเขาปู่ อำเภอศรีบรรพต จังหวัดพัทลุง) ที่ตัวผมเองก็จำชื่อกลุ่มของพวกเขาได้ไม่แน่ชัดนัก (น่าจะชื่อเครือข่ายคนต้นน้ำ/หรืออะไรสักอย่างที่คล้ายชื่อนี้) เรามีโอกาสพบปะพูดคุยกัน 2-3 ครั้งก่อนหน้านี้และบ่อยขึ้น จนพบหัวใจบางอย่างในดวงตาพวกเขา จึงคิดเรื่องกิจกรรมบางอย่างร่วมกันเพื่อผืนป่าเล็ก ๆ เด็กๆ…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ช่วงเดือนหกตามจันทรคติที่ผ่าน ดอกผักบุ้งกลางทุ่งทางปักษ์ใต้ได้บานรับฝนโปรยกันทั่ว เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นฤดูฝนปรัง  เติมความชุ่มชื่นให้ผืนดินหลังฤดูเก็บเกี่ยว รอการไถปลูกนอกฤดูกาล แม้ในบางพื้นที่ ทุ่งนาได้กลายเป็นกล้าข้าวพื้นเมืองสีเขียวจำพวก ‘ข้าวเล็บนก’ ‘ข้าวสังข์หยด’ ‘ข้าวเฉี้ยง’ ‘ข้าวไข่มดริ้น’ ฯลฯ ไปแล้ว ที่ลุ่มริมทะเลสาบเจิ่งนองด้วยน้ำที่เอ่อมาจากพรุ  วาระอย่างนี้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาทุกปีไม่เหนื่อยหน่าย
ปรเมศวร์ กาแก้ว
หลังมื้อค่ำ ดาวไถทอประกายวาวอยู่บนฟ้าทางทิศเหนือแทนดวงไฟในคืนแรม ปู่เคยเล่าว่ามันเป็นสัญลักษณ์ให้นัก เดินทางกลางราตรีได้จดจำเส้นทางเพื่อความอุ่นใจขณะที่เรากำลังนอนดูดาวอยู่ระเบียงนอกชานหลังบ้าน สายลมบางเบาพัดเอาควันไฟจากกองที่จุดไว้ไล่ยุงให้วัว สามตัวในคอกของปู่ผ่านร่องกระดานไม้เก่าคร่ำโชยผ่านจมูกของเรา  หลังมื้อค่ำเรามักมานอนนับดาวเล่นอย่างนี้เสมอๆ ปู่นั่งถัดขึ้นไปที่ประตูซึ่งยกระดับขึ้นเหนือระเบียงนอกชานไม้เล็กน้อย  เราทั้งสามลุกขึ้นมานั่งใกล้ๆ ปู่  ปู่ลูบหัว เราทั้งสามเบาๆ แล้วโอบตัวบ่าวมาแนบกาย นัยน์ตาปู่ใสและเปล่งประกายอย่างอ่อนโยน  “อยู่บ้านปู่สนุกมั๊ย” …
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ขณะที่แดดเช้าเก็บผีตากผ้าอ้อมไม่ทันหมด เครื่องจักรลูกหมาสีแดงยังคำรามเสียงดังไปทั่วท้องนา มันคำรามมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานจนตลอดทั้งคืน  ปู่ออกจากบ้านมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานพร้อมกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ เพื่อมาเฝ้ามองมันอย่างตั้งอกตั้งใจ เราเดินเลาะชายป่าไปทางท้ายวัด  ท้องนาสีเหลืองถูกเก็บเกี่ยวเหลือแต่ซังข้าวรอการไถกลบเพื่อ ปลูกใหม่อีกครั้งในฤดูทำนา   ปู่นั้งอยู่ริมบึงถัดจากที่เรายืนไปสองบิ้งนารวมอยู่กับตาเขียว ตาไข่ และคนอื่นๆ คนชนบททางภาคใต้เรียกรถไถนาเดินตามกันว่า “รถจักรลูกหมา” ปู่เคยบอกว่าประโยชน์ของมัน มากมาย นอกจากไถนาได้แล้ว …
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ผมผลักประตูออกจากบ้านตั้งแต่เช้า  จ้อยนัดพวกเราไว้ที่ศาลากลางหมู่บ้านเหมือนทุกวัน  วันนี้บอยจัดแจงเตรียมเม็ดหัวครกมาด้วย แปลกจริงขณะที่บอยบอกชื่อของมัน บ่าวหัวเราะกับชื่อ แปลกๆ แล้วบอกบอยว่าที่บ้านเราเขาเรียกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ วันนี้เราจะเล่นขว้างหัวงูระหว่างทางสู่ศาลากลางหมู่บ้านกระจัดกระจายไปด้วยผีตากผ้าอ้อมขาวไปทั้งทุ่ง  บ่าว นั่งลงจ้องมองอย่างพินิจและยิ้มก่อนที่แดดเช้าจะรีบเก็บผีตากผ้าอ้อมเสียหมดทีละน้อยตั้งแต่เมื่อวานที่เราพากันไปเก็บเม็ดหัวครกหลังบ้านจ้อย เราเลือกเอาผลสุกที่เม็ดจะเป็น สีน้ำตาลเข้มแล้ว …
ปรเมศวร์ กาแก้ว
บนศาลากลางหมู่บ้านวันนี้ไม่มีเสียงเอ็ดตะโรของเด็กๆ  ขณะที่ฟ้าใส ดวงอาทิตย์คล้อยบ่ายทิ้งไว้เพียงเศษเปลือกลูกยางที่แหลกแล้วและ ใบตองห่อขนมเกลื่อนพื้นอีกฟากหนึ่งเป็นถนนสายเล็กๆ เราเดินตามทางนั้นไปเลี้ยวอ้อมป่าละเมาะสู่อีกหมู่บ้านทางตะวันตกตามคำชวนของขาว สองข้างทางเป็นผืนนาไกลสุดตา  ปู่เคยบอกว่าแถวนี้มีที่นาของปู่รวมอยู่ด้วยแล้วช่วงเก็บเกี่ยวจะพาเรามาเที่ยวเล่นกันเด็กๆ ชักย่านเดินตามกันเต็มถนนตัดกลางทุ่งนาไปทางตะวันตกขณะที่แดดบ่ายโดนเมฆขาวบดบังเป็นร่มเงาและลมทุ่งผัดแผ่วๆ  ไล้เนื้อตัวเรา  อีกไม่ไกลข้างหน้าเป็นหมู่บ้านริมธารเล็กๆ ที่ขาวและเพื่อนๆ อาศัยอยู่…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
เหมือนฟ้าดำเก็บดาววิบวาวดวงและเหมือนแดดโชติช่วงกลับหุบหายเมื่อผีเสื้อปีกงามพบความตายและเหมือนฝันเกลื่อนรายเส้นทางจรใต้ใจรู้สึกโลกหมุนกลับขาวพลิกดำขลับใจโหยอ่อนดูสิน้ำตาฉันหลั่งบทกลอนผ่าวแต่ไม่ร้อนอย่างเคยเป็นยินไหม “จเรวัฒน์  เจริญรูป”ใจดั่งจะจูบแม้ทุกข์เข็ญโลกทั้งโลกรู้ความเยียบเย็นใครเล่ารู้ความเป็นของกวีเถิดพรุ่งนี้พบกันบนฟ้ากว้างพบในความอ้างว้างโค้งรุ้งสีฉันจะจำเธอไว้-ใจกวีพบในงามความดี-ฤดีดาล“จเรวัฒน์” จากแล้วเหมือนยังอยู่เหมือนยังนั่งเคียงคู่ ครูเขียนอ่านเรารู้เธอจะเป็นเช่นตำนานผู้สร้างความต้านทานทระนงอาลัยยิ่งกับการจากไปของกวีหนุ่มผู้มุ่งมั่นในงานกวีนิพนธ์ป ร เ ม ศ ว ร์ …