Skip to main content
"ป้าไฟไหม้ ไฟไหม้ " หลานสาวส่งเสียงอยู่หน้าบ้าน

"ไฟไหม้ที่ไหน" ฉันถาม เดี๋ยวนี้อาการตื่นกลัวเรื่องไฟไหม้ป่าหลังบ้านลดลงไปแล้ว หากเป็นเมื่อสองปีก่อน ฉันจะกลัวมาก กลัวจนตัวสั่นและรีบโทรศัพท์ไปแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายทันที และบางครั้งก็ลงมือดับไฟเองก่อนที่รถดับเพลิงจะมา พร้อมกับบ่นด่าคนที่ทำไฟไหม้ คนที่มาเก็บของกินในสวนร้างแต่ไม่เคยสนใจหน้าแล้งยามที่ไม่ค่อยมีอะไรเก็บกิน และเจ้าของสวนที่ทิ้งสวนตัวเองไว้แล้วไม่มาดูแล  รวมถึงดับเพลิงที่มาช้าไม่ทันใจ

ที่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ปรับตัวง่ายนะเป็นจริง โดยดูได้จากตัวเอง

คืนนี้ฉันเดินออกไปดูไฟไหม้ได้อย่างปกติเหมือนคนอื่น ๆ หย่อมไฟเล็ก ๆ สองกอง อยู่ในสวนร้างห่างออกไปจากบ้านสักสองร้อยเมตร ดูเหมือนไฟจะลุกลามขึ้นเรื่อย ๆ เป็นกองใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น ฉันคิดว่ามันคงจะดับเองไม่ได้เพราะที่ตรงนั้นแห้งมาก เป็นดงไม้ไผ่ เสียงไม้ไผ่แตกกดดันนัก  นอกจากหย่อมบ้านที่เราอยู่กันสามสี่หลังแล้ว ห่างออกไปจากกองไฟอีกด้านมีหย่อมบ้านอีกหย่อมหนึ่ง

ยืนมองไฟอยู่ครู่หนึ่ง ฉันจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปยังหมายเลข 191 เองโดยเลิกรอคนอื่น
"ขอแจ้งข่าวไฟไหม้ค่ะ" ฉันพูดอย่างธรรมดา
"ไหม้อะไรครับ" เสียงถามธรรมดาเหมือนกัน
"ไหม้ป่าค่ะ"
"ที่ไหนครับ"
"หลังโรงเรียนค่ะ" เขาทวนคำหลังโรงเรียนแล้วถามต่อว่าโรงเรียนอะไร ที่ไหน เมื่อฉันบอกสถานที่เขาก็ตอบว่า ครับ ครับ

ฉันยืนดูไฟไหม้และรอรถดับเพลิงอยู่กับหลานสาววัยหกขวบ นานสิบนาที และฉันก็เริ่มกลัวว่า อาจมีลมพัดแรงทำให้ไฟลุกโหมได้ เพราะช่วงนี้กรมอุตุฯประกาศเรื่องระวังพายุฤดูร้อนในภาคเหนือตอนบนด้วย 
"ถ้าป้าทำเสียงตื่นเต้นกว่านี้สักนิด เขาก็คงรีบมาเร็ว ๆ" ฉันพูดกับหลานสาว
"นั่นนะสิ มาช้า เดี๋ยวไฟก็ไหม้หมด" หลานสาวว่า

เมื่อสองปีก่อนไฟไหม้ป่าที่สวนร้างแห่งนี้นับสิบครั้ง ตอนนั้นหลานสาวอายุสี่ขวบ ทันทีที่ไฟไหม้ป่าเธอจะต้องรีบเอาเสื้อกันหนาวมาสวม เธอกลัวจนหนาวสั่นนั่นเอง แต่ปีนี้เธอยืนดูไฟกับฉันได้อย่างที่ไม่ต้องวิ่งหาเสื้อกันหนาว แสดงว่าเธอปรับตัวได้ดีเหมือนกัน

"ป้ามอเตอร์ไชค์มาแล้ว"
"หรือพวกเขาคงจะมาดูก่อนว่าไฟไหม้ไปแค่ไหนแล้ว เรื่องไฟไหม้ป่าพวกเขาคงจะได้รับแจ้งอยู่เรื่อย ๆ จนเลิกตื่นเต้นแล้วเหมือนกัน"
มอเตอร์ไชค์หยุดดู และผ่านเลยไป  อาจจะไม่ใช่ไม่เกี่ยวกับดับเพลิง

เคยพูดคุยกับเพื่อนบ้านเรื่องไฟไหม้ป่า และเคยได้ยินชาวบ้านเขาพูดว่าปล่อยให้ไหม้ไป ให้ไหม้ให้หมดจะได้ไม่ต้องไหม้อีก เพราะถ้าไม่ไหม้ตอนนี้ก็ต้องไหม้สักวันอยู่ดี ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องไฟก็ต่างกันออกไป

ไฟไหม้ป่าแถบนี้ทุกปี ในบริเวณสวนร้างสี่ห้าไร่ ฉันคิดว่าความคิดหลักที่เหมือนกันคือ อย่าให้ไฟไหม้บ้านเป็นใช้ได้ เพราะฉะนั้นถ้าไฟไหม้อยู่ใกล้บ้านไหนมากที่สุดบ้านนั้นก็จัดการไป จะไปดับไฟเองหรือแจ้งดับเพลิงก็ตามใจ   ส่วนปัญหาหมอกควันที่ได้รับกันทั่วถึงเป็นเรื่องหลัง  เพราะมันเป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่งจะวิกฤติเมื่อสองสามปีนี้เอง และปัญหาหมอกควันก็ไม่ได้ทำให้ใครตายในทันทีทันใดด้วยแค่ตายแบบผ่อนส่งไม่ค่อยรู้ตัวยังถือว่าห่างไกล

ไฟป่าไม่ได้เกิดขึ้นเอง ฉันรู้สึกว่า ตัวเองถูกหลอกมานาน สมัยเรียนเด็ก ๆ รุ่นฉันจะท่องว่า ไฟป่าเกิดขึ้นจากการเสียดสีของไม้ทำให้ลุกเป็นไฟ ต่อมาก็ถูกบอกว่า ไฟคุขึ้นจากใต้ดิน มาภายหลังได้รับคำยืนยันว่า ไม่จริงส่วนใหญ่เกิดจากคน ไฟป่าเกิดขึ้นเองหรือเกิดจากไม้เสียดสีเพียงไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์เกิดจากคนทำแน่นอน ทั้งตั้งใจจุดไฟเผา และโดยประมาท

และต่อมาก็ถูกทำให้รู้อีกว่า เกิดจากชาวบ้าน ชาวเขาเผาป่าทำให้เกิดไฟไหม้และเป็นหมอกควันไปทั่ว นานทีเดียวกว่าจะรู้ว่า ไฟไหม้เกิดจากใครก็ได้  เช่นครั้งหนึ่งเพื่อนครูที่เพชรบูรณ์ เขียนจดหมายมาเล่าว่า เขาทำไฟไหม้ไปนับสิบไร่ เหตุเพราะเขาชวนเด็ก ๆ ทำความสะอาดโรงเรียนและกวาดขยะใบไม้เอาไปเผา ลมพัดแรงเพียงไม่นานมันก็ลุกลามไปใหญ่โต เขาถูกสอบ และถูกปรับ หลังจากนั้นก็ต้องย้ายออกจากพื้นที่ ตอนนั้นฉันหัวเราะขำเพราะก่อนทำไฟไหม้เขาได้รับรางวัลเป็นครูดีเด่นสาขาอะไรสักอย่างเป็นเกียรติเป็นศรีแก่เพื่อนฝูงมาก แต่การที่เขาทำไฟไหม้ป่าครั้งนั้นทำให้ฉันเลิกบ่นด่าว่าชาวบ้านชาวเขาว่าเป็นผู้เผาป่าทำไฟไหม้ป่า เพราะตระหนักว่าคนอื่นก็ทำให้ไฟไหม้ป่าได้ เช่นเพื่อนครูก็ทำได้  นักเดินทางนักท่องเที่ยวก็ทำได้

เดือนที่ผ่านมาไฟไหม้ดอยหลวงเชียงดาวครั้งใหญ่ คนที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า เพียงห้านาทีไฟก็ลุกไปถึงยอดดอยแล้ว และต่อมามีนักพัฒนาในพื้นที่คนหนึ่งเดินขึ้นไปดูร่องรอยไฟไหม้ เขากลับลงมาบอกว่า ต้นเพลิงน่าจะมาจากกลุ่มนักท่องเที่ยวนักเดินทางหุงหาอาหารกินเพราะเขาพบว่ามีร่องรอยมีเตาไฟด้วย หากเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นความประมาทโดยแท้ เพราะในช่วงที่ร้อนแล้งขนาดนั้นพวกเขาไม่ควรก่อไฟบนดอย เพราะมีกฎห้ามอยู่แล้วว่าห้ามก่อไฟ นักท่องเที่ยวนักเดินทางก็ควรจะรู้หรือบอกว่าไม่รู้ไม่ได้เลย และที่สำคัญพวกที่เอาเตาไฟขึ้นไปก็ต้องเป็นพวกผู้นำทาง ลูกหาบเพราะนักเดินทางนักท่องเที่ยวจะไม่แบกขึ้นไปดังนั้นที่บอกว่าผู้นำทางเชี่ยวชาญมีความรับผิดชอบและลูกหาบผ่านการอบรมมาอย่างดีก็ต้องคิดใหม่แล้วว่าจริงหรือไม่



ภาพดอยหลวงหลังไฟไหม้
จาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=rosymirror&month=03-2009&date=27&group=1&gblog=8

ฉันเคยเดินทางสู่ยอดดอยหลวงเชียงดาวในช่วงแล้ง แต่ไม่แล้งมากเหมือนปีนี้ ตอนนั้นเรามีแก๊สเล็ก ๆ ขนาดกระเป๋าหิ้วไปด้วย แต่พวกลูกหาบและผู้นำทางก็ยังก่อไฟหุงหาอาหารให้เรากินกัน ซึ่งโชคดีที่ไม่มีไฟไหม้ป่าในช่วงนั้นจากการจุดไฟครั้งนั้น ไม่เช่นนั้นจะรู้สึกผิดบาปและฝันร้ายไปจนตายทีเดียว แต่ที่คิดขึ้นมาแล้วน่าตกใจก็คือ ตัวเองเดินทางไปโดยไม่มีความรู้เรื่องใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่รู้วิธีการจัดการกับไฟเลยแม้แต่นิดเดียว และ เรามอบความไว้วางใจให้กับผู้นำทางและลูกหาบ ดังนั้นเราจึงไม่ห้ามเขาเมื่อเขาจุดไฟ และไม่ได้ดูด้วยว่าพวกเขาดับไฟสนิทหรือไม่  แต่ก็โชคดีอีกที่เราได้ผู้นำทางที่ดี นั่นเป็นการเดินทางในหน้าร้อนครั้งแรกและถือว่าทำผิดกฎระเบียบแม้ไม่ทำเองก็ปล่อยให้ผู้ร่วมทางทำผิดเพราะยอมให้มีการก่อไฟทั้งที่เป็นช่วงแล้วและแห้งมาก อีกทั้งเราก็ไม่ควรเดินทางไปในหน้าแล้งด้วย

ฉันใช้คำว่า โชคดี แน่นอนเมื่อมีคำว่า โชคดี ก็ต้องมีคำว่า โชคร้าย ซึ่งเราไม่น่าจะอยู่กับคำว่าโชคดีหรือโชคร้าย แต่ในความเป็นจริงชีวิตเราอยู่กับสองคำนี้มาโดยตลอด เมื่อรอดเราก็จะรู้สึกว่าโชคดี เมื่อไม่รอดก็จะเป็นโชคร้าย เช่นเมื่อสองวันก่อน เพื่อนเช่ารถขึ้นดอยรถไปเสียระหว่างทาง  เราบอกกันว่า โชคดีที่ไม่เสียบนดอยไม่เช่นนั้นรถตกดอยตายแน่ แต่ความจริงก็คือเราไม่ได้ดูสภาพรถให้ดีก่อนใช้และเป็นเช่นนี้มาหลายครั้ง และเราเอาโชคดีมาเป็นที่ตั้ง

ฉันกลับมานั่งคิดและเขียนเล่น ๆ หลังจากที่รถดับเพลิงมาดับไฟไหม้ป่าในสวนร้างหลังบ้านแล้ว และเหลือทิ้งไว้แต่กลิ่นไหม้ ตอนนี้ฤดูแล้งยังไม่หมดไฟยังไหม้ต่อไป และฉันก็ต้องคิดว่าจะโชคดีต่อไป 

 

บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
นี้ไม่ใช่เรื่องสั้นหรือเรื่องแต่งแต่เป็นเรื่องจริง และนี้เป็นเรื่องน่าเศร้า ไม่ใช่เรื่องตลกแต่ถ้าคุณจะหัวเราะก็มีสิทธิที่จะทำได้ เพราะฉันก็หัวเราะไปแล้ว  เรื่องจริงที่จะเล่าให้ฟัง ...เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ  ที่เชียงใหม่ ยามค่ำคืน มีหญิงสาวคนหนึ่งขับรถโฟล์คสีบานเย็น อยู่บนถนนสายหางดงเชียงใหม่ ในขณะขับรถไปนั้น น้ำมันหมด เพราะที่วัดระดับน้ำมันเสีย เธอรีบโทรศัพท์ไปหาน้องสาว บอกเส้นทางที่ตัวเองอยู่ แต่โทรศัพท์แบต หมดก่อนที่จะทันคุยกันรู้เรื่อง
แพร จารุ
"สงสารท่านผู้นำ" นาน ๆ ฉันถึงจะได้ยินคำพูดแบบนี้ ฉันจึงหยุดมองเธอคนพูด และเห็นว่าในมือของเธอถือหนังสือพิมพ์การเมืองรายสัปดาห์ที่หน้าปกมีรูปท่านผู้นำของเธอ "ทำไมถึงสงสาร" ฉันเสี่ยงถาม "ก็เขาไม่ได้กลับบ้าน"ฉันพยักหน้ารับคำแบบสงวนท่าที่ ไม่ผลีผลามแสดงความคิดเห็น แต่ก็รู้สึกประทับใจในเหตุผล เพราะไม่ว่าจะเป็นใครที่ไม่ได้กลับบ้านน่าสงสารทั้งนั้น ฉันเองก็เป็นหนึ่งคนที่ไม่ได้กลับบ้านในช่วงปีใหม่ คนไม่ได้กลับบ้านน่าสงสารจริงๆ ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรมาก
แพร จารุ
เมื่อฉันดูข่าวสารบ้านเมืองในปัจจุบันนี้ ทำให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวัยเยาว์ และอยากจะเล่าเอาไว้ เพราะพฤติกรรมของผู้ใหญ่ส่งผลต่อเด็กจริง ๆ ค่ะ ใครบางคนอาจจะไม่ทันคิดว่า การแสดงพฤติกรรมบางอย่างของผู้ใหญ่ เป็นได้มากกว่าการสอนเด็ก ๆ พฤติกรรมของผู้ใหญ่บางอย่างอาจส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของเด็กในอนาคตได้
แพร จารุ
ไนท์ซาฟารีที่อยู่ของสัตว์กลางคืน ฉันไม่เคยไปที่นั่นสักครั้งเดียว แม้ว่าจะมีงานเปิดอย่างยิ่งใหญ่ ใครต่อใครก็เดินทางไปที่นั่น และฉันถูกถามบ่อยๆ ว่า “ไปไนท์ซาฟารีมาหรือยัง” “ทำไมไม่ไป” ฉันได้แต่ยิ้มๆ ไม่ได้ตอบอะไร นอกจากว่า คนถามมีเวลาจริง ๆ ฉันก็จะอธิบายให้เขาฟังว่า ที่ไม่ไปเพราะไม่เห็นด้วยกับการสร้างไนท์ซาฟารีตั้งแต่ต้นและเห็นด้วยกับกลุ่มคัดค้านมาโดยตลอด ไปประชุมสัมมนากับเขาเสมอ
แพร จารุ
ธันวาคมเป็นเดือนที่มีญาติพี่น้องผองเพื่อนเดินทางมาเที่ยวบ้าน ดังนั้นเราจะไม่ไปไหนคือตั้งรับอยู่ที่บ้าน พวกเขามักจะมาพักหนึ่งคืนแล้วไปเที่ยวกันต่อ บางกลุ่มก็วกกลับมาอีกครั้งก่อนเดินทางกลับ พวกเขาจะค้างกันอย่างมากก็สองคืน  เรามีบ้านหลังเล็กมากๆ แต่มีบ้านพ่อหลังใหญ่ บ้านที่พ่อสามีทิ้งไว้เป็นสมบัติส่วนกลาง แรกเราคิดว่าจะให้เพื่อนๆ ไปพักชั้นบนของบ้านหลังนั้น แต่เอาเข้าจริงสองปีที่ผ่านมา ไม่มีใครไปพักหลังนั้นเลย
แพร จารุ
คราวนี้เสียงจากคนเชียงใหม่จริง ๆ ค่ะ เธอเขียนมาถึงดิฉัน พร้อมกับจดหมายสั้น ๆ ว่า ขอร่วมเขียนแถลงการณ์คัดค้าน การสร้างประตูระบายน้ำกั้นแม่น้ำปิงด้วยค่ะ เธอแนะนำตัวมาสั้นๆ ว่าเป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด บ้านอยู่ข้างสถานีรถไฟ ข้ามสะพานนวรัตน์ เห็นฝายพญาคำมาตั้งแต่เล็ก ต้องขอโทษด้วยที่ทำจดหมายของเธอตกค้างอยู่นานนับเดือน กว่าจะได้เอามาลงให้ เชิญอ่านได้เลยค่ะ
แพร จารุ
 ฤดูฝนที่ผ่านมา ชาวบ้านตีนผาบ้านในหุบเขา ได้ปลูกต้นไม้บนดอย ครั้งนี้เป็นการปลูกเพื่อเป็นแนวกั้นระหว่างพื้นที่ทำกินกับเขตอุทยาน  เป็นการการทำแนวรั้วต้นไม้ในเช้าวันที่มีการปลูกต้นไม้สำหรับเป็นแนวเขตรั้ว ชาวบ้านตีนผาพร้อมเพรียงและจริงจัง ตั้งแต่เช้า กินข้าวแล้วเตรียมพร้อม มารวมตัวกันอยู่ที่หน้าโบสถ์ เพื่อขนกล้าไม้ไปปลูก มีทั้งผู้ใหญ่และเยาวชนและเด็กเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน  ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานและเจ้าหน้าที่มากันพร้อม ผู้ใหญ่บ้าน นายวรเดช กล่าวว่า"การทำแนวรั้วเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมพื้นฟูรักษาป่านั่นแหละ"
แพร จารุ
 วันนี้ ฉันพบดอกไม้บนดอยสูงมากมาย ดอกไม้เล็ก ๆ เหมือนดาว กระจายอยู่ทั่วหุบเขา หลากสีสดใส ทั้งเหลือง ส้ม และสีม่วง หลายครั้งที่ผ่านทางมา เรามาด้วยความเร็วมาก จุดหมายอยู่ที่หลังดอย หมู่บ้านเล็ก ๆ หมู่บ้านหนึ่ง ความเร็วความรีบเร่งทำให้เราไม่ได้เห็นอะไรมากนักระหว่างทาง  ความหมายไม่ได้อยู่ที่ปลายทางแต่อยู่ที่ระหว่างทางที่ได้พบเจอ การได้ชื่นชมกับบรรยากาศระหว่างทาง นั่นเอง การเดินทางมาครั้งนี้เรามากับทีมช่างภาพสองคนและผู้ติดตามเป็นหญิงสาวน่ารักอีกหนึ่งคน มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเป็นชายหนุ่มสองคน
แพร จารุ
  วิถีชีวิตกับไม้ไผ่คู่กัน เมื่อลุงมาบอกว่า วิถีชีวิตปกาเก่อญอกับไม้ไผ่นั่นคู่กัน วันนี้คนรุ่นพะตี(ลุง) จึงต้องสอนให้ลูกหลานรู้จักจักสาน เพราะว่าเด็ก ๆ รุ่นใหม่ ไม่ค่อยรู้เรื่องจักสานแล้ว พะตีมาบอกว่า ถ้าไม่ได้สอนไว้หมดรุ่นพะตีแล้วก็จะหมดรุ่นไปเลย ทั้งที่วิถีปกาเก่อญอกับไม้ไผ่นั่นคู่กัน ฟังพะตีว่า ลูกหลานปกาเก่อญอไม่รู้จักการใช้ไม่ไผ่ ฉันคิดถึงลุงที่บ้านแกว่าลูกชาวเลทำปลากินไม่เป็น ไม่ใช่หาปลามากิน แต่ทำปลากินไม่เป็นนั่นคือเขาหามาให้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะทำกินอย่างไร ขูดเกล็ดปลาออกจากตัวปลาไม่เป็น ดึงขี้ปลาออกไม่เป็น เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร…
แพร จารุ
อยู่อย่างมีสิทธิและศักดิ์ศรี“สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ ชุมชนจะต้องเข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ ลดการพึ่งพาภายนอก ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และอยู่อย่างมีสิทธิและศักดิ์ศรี”แต่นั่นแหละ คำพูดเพราะๆ เช่นนี้จะเป็นจริงไปได้อย่างไร ในปัจจุบันนี้ หมู่บ้านเล็กๆ ในชุมชนหลายแห่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ การดำเนินชีวิตขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก เช่น ขึ้นอยู่กับราคาผลผลิตที่ถูกกำหนดโดยตลาดทุนจากพืชเศรษฐกิจ 
แพร จารุ
พื้นที่ป่าในประเทศไทย เป็นพื้นที่ที่มีคนอาศัยอยู่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะชุมชนชาวเขาทั้งหลายที่อาศัยก่อน ต่อมาพื้นที่ป่าก็ถูกประกาศเป็นพื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติ หลายแห่งที่พยายามเอาคนออกจากป่า ตัวอย่างการย้ายคนออกจากพื้นที่เดิมมีอยู่หลายแห่ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนที่ถูกย้ายและสังคมโดยรวมเป็นอย่างมาก เพราะทำให้เกิดปัญหาการย้ายถิ่นจากชนบทสู่เมือง การอพยพแรงงาน และปัญหาอื่นๆ ติดตามมาอีกมากมาย ทางออกหนึ่งก็คือการสนับสนุนให้คนที่อยู่ในป่าได้อยู่ในพื้นที่เดิมและดูแลป่าด้วยดังนั้น การทำความเข้าใจ ให้คนอยู่กับป่าได้และดูแลป่า น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี มีคำถามว่า…
แพร จารุ
ฉันเพิ่งกลับมาจากหมู่บ้านหลังดอยค่ะ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่ได้คุยกับใครนอกพื้นที่ แต่ทันทีที่ลงมาจากดอย เปิดเมลพบว่ามีรูป ฯพณฯ ท่าน "สมชาย วงศ์สวัสดิ์ " ที่มีหน้าเปื้อนสีเลือดส่งเข้ามา ใต้ภาพเขียนว่า “คนบ้านเดียวกันกับคุณ-งานหน้าไม่ล่ะ” ฉันลบภาพทิ้งทันที และรีบไปที่ก๊อกน้ำล้างหน้า แต่ความรู้สึกสลดหดหู่ไม่ได้จางหาย มันหดหู่จริง ๆ “คนบ้านเดียวกัน” กับ “เสื้อสีเดียวกัน” นอกจากแยกเสื้อแดงเสื้อเหลืองแล้ว ยังแยกคนลูกบ้านไหนกันด้วย