Skip to main content


สส.เพื่อไทยผ่านนิรโทษเหมาเข่งสุดซอยวาระสามแบบลักหลับตอนตีสี่ วันศุกร์ที่ 1 พย.ที่ผ่านมา แดงหลายคนอาจรู้สึกผิดหวัง เจ็บปวดหรือแม้แต่ถูกทรยศ แต่นี่ก็เป็นอกาสที่สังคมจะเรียนรู้อะไรบ้างเพื่อมิให้สังคมต้องย่ำอยู่กับที่ต่อไป ผมขอฝากบทเรียนราคาแพงให้เสื้อแดงและสังคมไทยพิจารณามา ณ.ที่นี้

1) บางครั้งฝ่ายตรงข้ามของผู้ที่ผิด คือผู้ที่ผิดอีกแบบนึง บางครั้งสิ่งตรงข้ามความตอแหลก็อาจเป็นความตอแหลอีกชุดหนึ่ง บางครั้งนอกกะลาใบหนึ่งก็คือกะลาอีกใบ สิ่งที่เป็นศัตรูกับเผด็จการก็มิจำเป็นต้องเป็นประชาธิปไตยเสมอไป หากอาจเป็นเผด็จการอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น

2) ความรักและเกลียดชังนักการเมืองหรือชนชั้นนำแบบเน้นตัวบุคคลทำให้ประชาชนสนับสนุนในสิ่งที่มิควรสนับสนุนได้ และต้านในสิ่งที่มิควรจะต้านได้ การคลั่งตัวบุคคลมิใช่สาระแห่งประชาธิปไตย เพราะมันทำให้สังคมเป็นสังคมพึ่งพาตัวบุคคล มองตัวบุคคลดีหรือเลวเกินจริงและมิยอมใช้เหตุผลหรือยอมพิจารณาด้านมืดของคนที่ตนรักและบูชา

3) การเมืองเป็นเรื่องการต่อรอง มิใช่เรื่องการบูชาคนดีหรือเกลียดคนชั่ว แต่คนไทยจำนวนมิน้อยยังมุ่งแสวงหาคนที่เขาอยากจะเชื่อและบูชาเป็นฮีโร่ ไม่ว่าฝ่ายไหน และมักมองหาซาตานเพื่อประกอบภาพขาวดำอันไม่ตรงกับความเป็นจริงอันสลับซับซ้อนและมิค่อยมีความจริงใจในหมู่นักการเมือง

4) การเมืองที่ยึดความเกลียดชังทำให้คนตาบอด สองสามวันนี้มีคนที่เกลียดแดงและดูถูกแดงว่าโง่ว่าเป็น ‘ควายแดง’ แสดงความสะใจกับความผิดหวังของเสื้อแดงจำนวนมิน้อยกับการผ่าน พรบ.นิรโทษเหมาเข่งโดย สส.เพื่อไทย พวกเขาหัวเราเยาะเย้ยที่เสื้อแดง โดยเฉพาะกลุ่มแดงก้าวหน้าและนักวิชาการแดงผิดหวังกับทักษิณและ สส.เพื่อไทย

ในฐานะผู้ที่มิใช่เสื้อแดงและมิเคยไว้ใจหรือชื่นชมทักษิณ ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตว่าคนเหล่านี้อาจเกลียดเสื้อแดงจนลืมไปว่าการนิรโทษกรรมเหมาเข่งสุดซอยเป็นการผลักภาระให้คนรุ่นหลังในสังคมเพราะผู้มีอำนาจในอนาคตคงพร้อมที่จะใช้กระสุนจริงยิงประชาชนเพราะย่ามใจว่าในอดีตไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัยก็ได้รับการนิรโทษกรรม มิต้องรับผิดชอบใดๆ แถมความจริงก็ไม่ปรากฎว่าผู้ใดเป็นคนผิด พวกเขาดีใจกับการที่สังคมกำลังไม่ยอมหาคนผิดมาลงโทษเพียงเพราะพวกเขาเกลียดชังและอยากเยาะเย้ยเสื้อแดงทั้งๆที่สังคมกำลังสูญเสียความยุติธรรมและความจริง พวกที่สะใจกับความผิดหวังของเสื้อแดงคงลืมไปว่าการฆ่าโดยไม่รับผิดชอบและการไม่รู้ความจริงจะเป็นมรดกเลือดตกทอดสู่คนรุ่นหลังทั้งสังคม

พูดง่ายๆ พวกเขาเกลียดชังจนมิสามารถมองเห็นสังคมทั้งสังคมได้อีกต่อไป

แถมคนเหล่านั้นจำนวนมิน้อยยังถูกความรักและความเกลียดชังบังตาจนพร้อมที่จะสนับสนุนนักการเมืองที่ถูกตั้งข้อหาว่ามีส่วนต้องร่วมรับผิดชอบกับความตายปี 53 ได้อย่างหน้าตาเฉย

 

 

บล็อกของ ประวิตร โรจนพฤกษ์

ประวิตร โรจนพฤกษ์
หนึ่งในเครื่องมือหลักของการยึดอำนาจของคณะรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 หาใช้อาวุธสงครามเพียงอย่างเดียวไม่ หากรวมถึงการใช้ภาษาที่ก่อให้เกิดความพร่ามัวหรือแม้กระทั่งการมองความจริงแบบที่คณะรัฐประหารหรือที่เรียกตนเองว่า คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ต้องการ
ประวิตร โรจนพฤกษ์
บันทึกนี้ขออุทิศแด่ทุกๆท่านที่รัก เสรีภาพ ความเสมอภาค และประชาธิปไตย 
ประวิตร โรจนพฤกษ์
  เรื่องปัญหาการเซ็นเซอร์ เหมือนเป็นหัวข้อที่ไม่ต้องอธิบายว่าเป็นปัญหาถ่วงความเจริญทางการรับรู้และสติปัญญาของสังคมอย่างไร
ประวิตร โรจนพฤกษ์
ไม่ว่าคุณจะเอา ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ หรือไม่ คุณควรออกไปใช้สิทธิวันพรุ่งนี้ เพราะมันได้กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างเลือกตั้งกับลากตั้งโดยปริยาย
ประวิตร โรจนพฤกษ์
 วิกฤติการเมืองปัจจุบันอาจทำให้หลายคนหน้ามืดตามัวตกหล่มความเกลียดชัง แต่สำหรับผม ผมถือว่ามันช่วยให้ผมได้คิดและเข้าใจสังคมไทยดีขึ้น
ประวิตร โรจนพฤกษ์
ความหมายของสัญลักษณ์และชื่อกลุ่มต่างๆ เป็นสิ่งที่ดิ้นได้ และในกรณีของการโบกธงชาติ เป่านกหวีดและเรียกขานตนเองของม็อบ กปปส. ว่า 'มวลมหาประชาชน' ก็เช่นกัน
ประวิตร โรจนพฤกษ์
เราทุกคนคงจะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันท่ามกลางความเห็นที่แตกต่างทางการเมืองอย่างสันติและสร้างสรรค์ เคารพเสียงทุกเสียง ยอมรับเสียงส่วนใหญ่และเคารพรับฟังเสียงส่วนน้อย