Skip to main content

 

วันก่อนพวกคุณได้ร่วมการถกเถียงเรื่องที่ว่าม็อบวันจันทร์ที่ 9 ธันวา ที่ผ่านมามีคนมาร่วมชุมนุมถึงห้าล้านอย่างที่ท่านสุเทพ เทือกสุบรรณ อ้างหรือเพียงแค่แสนห้ากันแน่หรือไม่ -ผมอดนึกมิได้ว่าการถกเถียงอย่างดุเดือดเรื่องนี้ในโซเชียลมีเดียโยงกับความรู้สึกไม่มั่นคงเรื่องความชอบธรรมและข้อสงสัยที่ว่าพวกคุณเป็นคนส่วนน้อยหรือส่วนใหญ่ในสังคมกันแน่

ท่านสุเทพทำผมตาค้างแทบตกเก้าอี้เมื่อผมได้ยินท่านผู้นำสูงสุดของพวกคุณประกาศตอนบ่ายแก่ๆวันจันทร์ว่าอีกไม่นานท่านจะขึ้นมาแถลงบนเวทีหน้าทำเนียบฯในนามของมวลมหาประชาชนไทยทุกคน เอ่อ…คือ… คือผมจำไม่ได้จริงๆว่าผมเคยยินยอมให้ท่านสุเทพหรือผู้นำของพวกคุณเอาหนึ่งเสียงของผมไปอ้างตั้งแต่เมื่อไหร่ และผมก็มั่นใจว่าลึกๆพวกคุณก็คงทราบดีว่าคนไทยอีกหลายสิบล้านก็มิเคยได้มอบอำนาจให้แก่ท่านสุเทพเช่นกัน

แต่ไม่ว่าจำนวนผู้ชุมนุมบนท้องถนนในวันนั้นจะมากถึงห้าล้านหรือแค่แสนห้า ความจริงก็คือว่าไม่มีผู้ใดจะสามารถอ้างว่าตนพูดในนามของประชาชนทั้งประเทศได้ ผมอยากย้ำเตือนชนชั้นกลางและชนชั้นสูงชาวกรุงเทพฯผู้มีอันจะกินอย่างพวกคุณทุกคนที่ได้ออกไปใช้สิทธิทางการเมืองโดยการชุมนุมประท้วงมา ณ ที่นี้ด้วยว่าพวกคุณมิใช่คนส่วนใหญ่ของสังคม และเมืองไทยก็มิใช่สมบัติของชนชั้นกลางและชนชั้นสูงในกรุงเทพฯ เท่านั้น กรุงเทพฯเป็นเพียงส่วนหนึ่งของประเทศไทย และประเทศเป็นของคนไทยทุกคนร่วมกัน

ผมทราบดีว่าพวกคุณคงรู้สึกอกหักช้ำใจ เพราะพรรคการเมืองที่ประกอบไปด้วยนักการเมือง ‘ดีๆ’ ผู้ได้รับการศึกษาจากต่างประเทศมาอย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจาก Oxford Cambridge หรือ Ivy League กลับพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างซ้ำซาก แล้วพวกคุณก็ต้องทนกับนายกรัฐมนตรีที่พูดภาษาอังกฤษห่วยแตก แถมออกเสียงคำภาษาไทยบางคำก็ยังผิด แถมยังต้องมาทนกับพี่ชายแสนดีของเธอที่พยายามบริหารราชการแผ่นดินผ่านโทรศัพท์มือถือไม่รู้กี่เครื่องที่แกมี

ผมทราบดีว่าพวกคุณรู้สึกว่าทักษิณ ยิ่งลักษณ์นั้นชั่ว กร่าง โกง กิน ชอบใช้อำนาจในทางที่ผิด ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ -ในบางแง่ผมก็เห็นด้วย ก็ดูการผลักดันร่างนิรโทษกรรมเหมาเข่งตอนตีสี่ที่่ทักษิณได้ประโยชน์สิ มันหน้าด้านมาก แม้ญาติคนเสียชีวิตปี 53 อย่างแม่น้องเกดหรือคนเสื้อแดงที่ไม่เห็นด้วยเขาก็ไม่แคร์

ผมทราบดีเช่นกันว่าพวกคุณชินกับการชี้นิ้วสั่งลูกน้องสั่งคนขับรถ สั่งเด็กเสิร์ฟ ออเดอร์สาวอาบอบนวดและชนชั้นแรงงานให้ทำโน่นนี่ตามใจชอบ พวกคุณจึงรู้สึกรับไม่ได้ที่บรรดาผู้ที่มีการศึกษาต่ำและคนจนเหล่านั้นดันกลับมีบทบาทชี้ชะตาสังคมผ่านการเลือกตั้ง ผมเคยได้ยินบางคนในกลุ่มพวกคุณพูดแม้กระทั่งว่า เมืองไทยน่าจะมอบสิทธิเลือกตั้งเฉพาะคนที่จบปริญญาตรีหรือจ่ายภาษีรายได้ทางตรงเท่านั้น บรรดา ‘ควายแดง’ คนชนบทที่ด้อยการศึกษามิควรมีโอกาสกำหนดทิศทางการเมืองสังคมไทย เพราะคนพวกนี้โง่ จน และถูก ‘ไอ้เหลี่ยม’ หลอกซ้ำซากไม่รู้จักจบ แต่เวลาผมได้ยินเช่นนี้ ผมกลับอดนึกถึงระบอบเหยียดสีผิวในแอฟริกาใต้สมัยหลายสิบปีก่อนมิได้

นี่มิใช่หนทางรอดหรือทางออกของสังคมไทยสำหรับพวกเรา ผมใช้คำว่า ‘พวกเรา’ เพราะผมก็เป็นคนกรุงเทพฯ และกำพืดก็มิได้ต่างจากพวกคุณที่มักทา sunblock ก่อนออกไปตากแดดชุมนุมหรือชอบหลบไปนั่งร้านกาแฟเย็นๆ ติดแอร์มีลาเต้รสดีให้ดื่มเอาแรงระหว่างรอออกไปเดินขับไล่ทักษิณยิ่งลักษณ์ต่อ ความจริงคือว่า สังคมไทยคงเดินต่อไปลำบากยิ่ง หากเรายังดันทุรังกดหัวคนส่วนใหญ่ในสังคมมิให้พวกเขามีสิทธิมีเสียงเท่าเทียมเรา -มันเหมือนรถสิบล้อที่เคลื่อนที่โดยอาศัยล้อเพียงล้อเดียว

เราควรพยายามสื่อสารกับคนอื่นที่เห็นต่างจากเรามากกว่านี้ หันไปมองมนุษย์เป็นมนุษย์เช่นเดียวกันไม่ว่าการศึกษาในระบบเขาจะน้อยเพียงไร เราควรจะพยายามพูดจากันอย่างสันติด้วยเหตุผล แทนที่จะตะโกนด่าว่ากันด้วยคำหยาบสารพัดอย่างไร้สติและเกลียดชังจนไม่มีใครฟังใคร หรือเกลียดกันจนไม่รู้สึกอะไรเวลาผู้ชุมนุมฝ่ายตรงข้ามถูกทำร้ายจนเสียชีวิต

สังคมต้องการพื้นที่ให้ประชาชนมีสิทธิมีเสียงโต้เถียงกันด้วยเหตุผลอย่างสันติและขันติ ระบอบประชาธิปไตยไทยยังเยาว์และเปราะบางบางนัก แต่ผมหวังว่าทั้งประชาธิปไตยและประชาชนทั้งสังคมจะมีโอกาสได้เดินหน้าเติบโตไปพร้อมกัน และนั่นหมายความว่าเราไม่สามารถปล่อยให้คนไม่กี่คนแอบอ้างเสียงคนทั้งชาติและกำหนดชะตาสังคมอย่างเผด็จการได้ เพราะฉะนั้นอย่าพยายามลากรถถังออกมาอีก และกรุณาอย่าเข้าใจผิดคิดว่าม็อบคน ‘ห้าล้าน’ มีสิทธิตัดสินใจแทนคนทั้งแผ่นดิน

เราทุกคนคงจะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันท่ามกลางความเห็นที่แตกต่างทางการเมืองอย่างสันติและสร้างสรรค์ เคารพเสียงทุกเสียง ยอมรับเสียงส่วนใหญ่และเคารพรับฟังเสียงส่วนน้อย

ผมได้ยินเสียงพวกคุณชัดแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป่านกหวีดบ่อยๆ จนแก้วหูพัง ทีนี้ช่วยกรุณาไปบอกท่านสุเทพด้วยว่า ท่านควรเลิกอ้างเสียงมวลมหาประชาชนคนทั้งประเทศได้แล้ว

ด้วยความจริงใจ

ประวิตร โรจนพฤกษ์
นสพ. The Nation
11 ธันวาคม 2556

 

ปล. ถอดความดัดแปลงจากจดหมายภาษาอังกฤษในหนังสือพิมพ์ The Nation วันที่ 11 ธันวาคม 2556 หน้า 11A ชื่อ A letter to the well-heeled protesters of Bangkok by Pravit Rojanaphruk 
 

บล็อกของ ประวิตร โรจนพฤกษ์

ประวิตร โรจนพฤกษ์
หนึ่งในเครื่องมือหลักของการยึดอำนาจของคณะรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 หาใช้อาวุธสงครามเพียงอย่างเดียวไม่ หากรวมถึงการใช้ภาษาที่ก่อให้เกิดความพร่ามัวหรือแม้กระทั่งการมองความจริงแบบที่คณะรัฐประหารหรือที่เรียกตนเองว่า คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ต้องการ
ประวิตร โรจนพฤกษ์
บันทึกนี้ขออุทิศแด่ทุกๆท่านที่รัก เสรีภาพ ความเสมอภาค และประชาธิปไตย 
ประวิตร โรจนพฤกษ์
  เรื่องปัญหาการเซ็นเซอร์ เหมือนเป็นหัวข้อที่ไม่ต้องอธิบายว่าเป็นปัญหาถ่วงความเจริญทางการรับรู้และสติปัญญาของสังคมอย่างไร
ประวิตร โรจนพฤกษ์
ไม่ว่าคุณจะเอา ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ หรือไม่ คุณควรออกไปใช้สิทธิวันพรุ่งนี้ เพราะมันได้กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างเลือกตั้งกับลากตั้งโดยปริยาย
ประวิตร โรจนพฤกษ์
 วิกฤติการเมืองปัจจุบันอาจทำให้หลายคนหน้ามืดตามัวตกหล่มความเกลียดชัง แต่สำหรับผม ผมถือว่ามันช่วยให้ผมได้คิดและเข้าใจสังคมไทยดีขึ้น
ประวิตร โรจนพฤกษ์
ความหมายของสัญลักษณ์และชื่อกลุ่มต่างๆ เป็นสิ่งที่ดิ้นได้ และในกรณีของการโบกธงชาติ เป่านกหวีดและเรียกขานตนเองของม็อบ กปปส. ว่า 'มวลมหาประชาชน' ก็เช่นกัน
ประวิตร โรจนพฤกษ์
เราทุกคนคงจะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันท่ามกลางความเห็นที่แตกต่างทางการเมืองอย่างสันติและสร้างสรรค์ เคารพเสียงทุกเสียง ยอมรับเสียงส่วนใหญ่และเคารพรับฟังเสียงส่วนน้อย