วันที่ 3 พฤษภาคมนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีหลังไซโคลนนาร์กีสถล่มภาคอิรวดีของพม่า หนึ่งปีที่ล่วงผ่านมีปรากฏการณ์ที่น่าสนใจเกิดขึ้น ซึ่งทำให้เราได้รู้จักและเข้าใจเพื่อนบ้านติดพรมแดนตะวันตกของเรามากขึ้น
\\/--break--\>
ปรากฏการณ์แรก คือ สงครามสื่อระหว่างรัฐบาลและภาคประชาชนพม่า อานิสงส์จากเทคโนโลยีการสื่อสารยุคโลกาภิวัตน์ทำให้มือถือสัญญาณดาวเทียมและ อินเทอร์เน็ตส่งภาพข่าวสด ๆ ร้อน ๆ ออกมาให้โลกภายนอกได้เห็นในรูปแบบคลิปวีดีโอและภาพถ่าย เราจึงได้เห็นภาพซากศพไหม้เกรียมเกลื่อนทุ่งนา บ้านเรือนพังราบเป็นหน้ากลอง และแววตาหิวโหยรอคอยความช่วยเหลือปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของสำนักข่าวทั่วโลก รวมถึงเว็บไซต์ดังอย่าง youtube ทำให้ธารน้ำใจไหลหลั่งสู่ประเทศพม่าจากทุกสารทิศ (แต่จะไปถึงผู้ประสบภัยหรือไม่นั้นเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที) งานนี้ต้องยกความดีความชอบให้กลุ่มข่าวภาคประชาชนของพม่า อาทิ สำนักข่าว Democratic Voice of Burma (DVB) สำนักข่าว Mizzima และสำนักข่าว Irrawaddy กลุ่มข่าวเหล่านี้มีนักข่าวท้องถิ่นลงพื้นที่เก็บภาพและข้อมูลส่งผ่านสัญญาณ ดาวเทียมออกมายังสำนักงานนอกประเทศพม่าเพื่อส่งข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ไปยังทั่วโลกอย่างที่เราได้เห็น
ทางด้านสื่อของรัฐบาลพม่า ทั้งทีวีและหนังสือพิมพ์กระบอกเสียงรัฐบาลต่างนำเสนอภาพทหารนั่งเฝ้าคูหาลง คะแนนประชามติร่างรับธรรมนูญพร้อมกับผู้นำยิ้มแย้มเดินเข้าคูหาเลือกตั้ง ไม่มีภาพความสูญเสียของประชาชนในภาคอิรวดีให้เห็น มีเพียงภาพทหารในกรุงย่างกุ้งตัดต้นไม้ที่ขวางถนนกีดขวางการจราจรหรือทำความ สะอาดพื้นที่รอบบ้านพักนายพลตานฉ่วยหรือนายทหารระดับสูง รวมไปถึงภาพการแจกจ่ายสิ่งของให้กับประชาชนที่รัฐบาลพม่า “อ้างว่า” เป็นผู้ประสบภัยอาศัยอยู่ในเต็นท์สีฟ้าใหม่เอี่ยมด้วยความช่วยเหลือจากจีน ผลจากการปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร ทำให้ประชาชนพากันหาซื้อซีดีประมวลภาพความสูญเสียที่คนทั่วโลกได้ดูกันจาก ตลาดมือจนขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยทีเดียว
ปรากฏการณ์ต่อมา คือ ทั่วโลกได้ร่วมเป็นประจักษ์พยานถึงความ “เลือดเย็น” ของรัฐบาลทหารพม่า จากการสกัดกั้นธารน้ำใจที่หลั่งไหลสู่ผู้ประสบภัยชาวพม่าทุกรูปแบบ ตั้งแต่การเข้มงวดในการให้วีซ่ากับชาวต่างชาติ (ต่างจากช่วงเกิดสึนามิ ประเทศที่ประสบภัยต่างประกาศต้อนรับทุกชาติที่ต้องการช่วยเหลือโดยไม่ต้องขอ วีซ่า) การ “เลือก” รูปแบบในการให้ความช่วยเหลือ โดยเน้น “เงินดอลลาร์” มากกว่าสิ่งของ หากได้รับเป็นสิ่งของ ส่วนหนึ่งจะถูกนำไปขายในท้องตลาดหรือไม่ได้แจกจ่ายให้ประชาชนฟรี ๆ ทั้งหมด เมื่อความช่วยเหลือจากภายนอกถูกปิดกั้น ประชาชนท้องถิ่นจึงช่วยเหลือกันเอง ทั้งผู้นำชุมชน พระสงฆ์ นักแสดง และนักกิจกรรมเพื่อสังคมในพม่าต่างพากันรวบรวมสิ่งของบริจาคเดินทางไปช่วย เหลือผู้ประสบภัยถึงลุ่มอิรวดี แต่ทว่า ระหว่างทางต้องเจอทหารตั้งด่านเก็บค่าผ่านทางซะยังงั้น ! เท่านั้นยังไม่พอ รัฐบาลทหารยังตามจับกุมประชาชนที่ออกมานำทีมช่วยเหลือให้เข้าไปนอนอยู่ในคุก มาจนถึงวันนี้ อาทิ ซาร์กานาร์ ตลกชื่อดัง และนักกิจกรรมเพื่อสังคมชาวพม่าอีกหลายคน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ใครบางคนถึงกับเปรยว่า “ผู้นำพม่าเลือดเย็นเสียจริง ๆ” และสามารถทำสิ่งไร้มนุษยธรรมที่กลับตาลปัตรกับโลกภายนอกได้อย่างไม่สะทก สะท้านกับเสียงประณามจากทั่วโลก ความทุกข์ยากทั้งหลายจึงตกอยู่ที่ประชาชนตาดำ ๆ ให้ก้มหน้ารับชะตากรรมอย่างโดดเดี่ยวกันต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้ความช่วยเหลือจะถูกสกัดกั้นหลายทิศทาง แต่ความพยายามของหลายหน่วยงานก็สามารถเข้าไปช่วยบรรเทาความทุกข์ยากของผู้ ประสบภัยลงได้บ้าง อาทิเช่น การทำงานของกลุ่ม Emergency Assistance Team (EAT-Burma) นำทีมโดยคุณหมอซินเทีย หม่อง แพทย์หญิงชาวกะเหรี่ยงจากพม่า ผู้ก่อตั้งคลินิกแม่ตาวที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ทีมช่วยเหลือนี้ได้รับเงินบริจาคจากคนทั่วโลกที่ “ไม่เชื่อใจ” รัฐบาลพม่า แต่ “เชื่อใจ” ผลงานของคุณหมอซินเทียที่ช่วยเหลือประชาชนชาวพม่ามานานกว่าสิบห้าปี ทีมช่วยเหลือนี้ทำงานเหมือนกองทัพมด คือ นำเงินและสิ่งของบริจาคขนส่งจากพื้นที่ชายแดนส่งต่อไปยังพื้นที่ประสบภัย ทั้งทางรถ เรือ และเท้า
หลังจากการทำงานผ่านไป ทีมช่วยเหลือได้ร่วมกับมหาวิทยาลัย จอนส์ฮอปกินส์ สหรัฐอเมริกา ออกรายงานเรื่อง “AFTER THE STORM: VOICES FROM THE DELTA.” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ทีผ่านมาเพื่อเผยแพร่ผลการทำงานและสถานการณ์ที่เกิด ขึ้นในพื้นที่ประสบภัยนาร์กีส
รายงานชิ้นนี้ระบุว่า ทีมช่วยเหลือสามารถเข้าถึงหมู่บ้านได้ถึง 87 หมู่บ้านใน 17 เมืองที่ประสบภัยนาร์กีส รวมทั้งได้ออกมาประณามรัฐบาลทหารพม่าว่าได้กระทำการก่อ “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” (Crime against humanity) ในหลายรูปแบบ ทั้งสกัดกั้นความช่วยเหลือต่าง ๆ ที่จะส่งไปถึงมือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที ส่งผลให้ผู้ประสบภัยจำนวนมากต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากการขาดน้ำ อาหาร และความช่วยเหลือพื้นฐานที่จำเป็น โดยเรียกร้องให้สภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติยื่นเรื่องสืบสวนผู้นำทหารพม่า ที่กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้ประสบภัยนาร์กีสเพราะสิ่งที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นความไร้มนุษยธรรมของผู้นำทหารพม่าเกินกว่าที่คนทั่วไปจะรับได้
สำหับสังคมไทย ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลังพายุนาร์กีสมีแง่มุมงดงามที่จดจำ เพราะหลายคนที่เคยชิงชังประเทศพม่าได้แปรเปลี่ยนทัศนคติเป็นความเห็นอก เห็นใจและเข้าใจชะตากรรมของชาวพม่าที่อาศัยอยู่ใต้อำนาจเผด็จการแบบเข้มข้น มากขึ้น ผลจากความเข้าใจทำให้องค์กรภาคประชาชนไทยหลายหน่วยงานส่งผ่านความช่วยเหลือ ให้ผู้ประสบภัยในหลากหลายรูปแบบทั้งในแง่การฟื้นฟูเกษตรกรรม การบำบัดเยียวยาจิตใจ การบริจาคสิ่งของเงินทอง รวมไปถึงการตั้งกลุ่มรณรงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยชาวพม่า อย่างเช่น การจัดงานระดมทุนโดยกลุ่มเพื่อนเชียงใหม่ฟื้นฟูผู้ประสบภัยนาร์กีสซึ่งเกิด ขึ้นจากความเห็นใจเพื่อนชาวพม่าผู้ทุกข์ยาก โดยจนถึงปัจจุบันกลุ่มคนทำงานเหล่านี้ได้สานต่อเจตนารมณ์สร้างความเข้าใจต่อ เพื่อนชาวพม่าและตั้งเป็นกลุ่มทำงานกันต่อไปในชื่อว่า “เพื่อนพม่า” สะท้อนให้เห็นว่า เมล็ดพันธุ์แห่งความเข้าใจข้ามพรมแดนกำลังเติบโตงอกงามในสังคมไทยเพิ่มมาก ขึ้น
อาจกล่าวได้ว่า ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นาร์กีสครั้งนี้ทำให้ทั่วโลกประจักษ์ ร่วมกันว่า ผู้นำพม่าดำรงอยู่ในอำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม ความทุกข์ยากของประชาชนจึงไม่ใช่วาระสำคัญของประเทศมากเท่ากับการโปรยกลีบ กุหลาบบนถนนการเมืองให้ทหารได้ก้าวเดินอย่างนุ่มนวลเพื่อสืบทอดอำนาจต่อไป ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่อาจตั้งความหวังถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง ที่จะมาถึงในปีหน้าได้ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคงมีเพียงภาพผู้นำทหารคนเก่าภายใต้ “เสื้อคลุมประชาธิปไตย” ตัวใหม่เอี่ยมโบกมือยิ้มรับชัยชนะจากการเลือกตั้งที่พวกเขาปูทางเอาไว้หมด แล้วเท่านั้นเอง
หมายเหตุ
ท่านติดตามสถานการณ์ผู้ประสบภัยนาร์กีสได้จาก www.maetaoclinic.org, www.dvb.no, www.mizzima.com, www.irrawaddy.org