สายลับพม่า ตอน (1) ...เขาหาว่าหนูเป็นสายลับ

ในแวดวงคนทำงานประเด็นพม่าต่างคุ้นหูกับเรื่องราวของ "สายลับพม่า" กันเป็นอย่างดี เพราะรัฐบาลทหารพม่าให้ความสำคัญกับหน่วยข่าวกรองมากและหน่วยข่าวกรองพม่าก็มีอำนาจมากจนเทียบเท่ากับอีกสามเหล่าทัพ (ทัพบก ทัพเรือ และทัพอากาศ) เลยทีเดียว

สายลับพม่าไม่ได้ทำงานในเขตประเทศพม่าเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่ง "สาย" ข้ามฝั่งมาทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศพม่า หน้าที่ของสายลับพม่า คือ การเก็บข้อมูลความเคลื่อนไหวของบุคคลที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐบาลทหาร

ผู้เขียนเคยถูกสายลับพม่าติดตามความเคลื่อนไหวอยู่เหมือนกัน แต่โชคดีรอดมาได้ทุกครั้ง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อถูกติดตามครั้งแรก ใจยังสั่นไม่หาย...

เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อแปดปีก่อน ซึ่งเป็นการเดินทางเข้าไปในพม่าครั้งแรกในชีวิต เป้าหมายของการเดินทาง คือ การเก็บข้อมูลเรื่องการธำรงอัตลักษณ์ของคนไทยใหญ่ภายใต้ระบอบเผด็จการทหาร เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ปริญญาโทสาขามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์*

ผู้เขียนเดินทางพร้อมกับเพื่อนรุ่นน้องผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งเราทั้งสองยังไม่เคยเดินทางไปพม่ามาก่อนเลย การเดินทางครั้งนี้พึ่งพาคู่มือท่องเที่ยวที่มีขายทั่วไป (บางเรื่องก็เชื่อถือไม่ได้เพราะสถานการณ์การเมืองในพม่าเปลี่ยนแปลงบ่อย) เราเริ่มต้นเดินทางจากกรุงย่างกุ้ง เมืองหลวงเก่า ซึ่งอยู่ทางภาคกลางของพม่าขึ้นเหนือไปยังเมืองต่าง ๆ ของรัฐฉาน อาทิ สีป้อ ล่าเสี้ยว และตองยี เพื่อพูดคุยกับชาวไทยใหญ่ที่ทำงานด้านวัฒนธรรม อาทิ เจ้าของโรงพิมพ์หนังสือภาษาไทยใหญ่ ชมรมภาษาและวัฒนธรรมไทยใหญ่ซึ่งมีอยู่ทุกเมืองในรัฐฉาน เป็นต้น

ด้วยเหตุที่เมืองบางเมืองที่เราเดินทางไปไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากนัก การเดินทางของสองสาวจากเมืองไทยจึงเป็นสิ่งที่น่าสงสัยยิ่งนัก เนื่องจากตอนนั้น ผู้เขียนยังไม่ได้เริ่มทำงานเรื่องพม่าอย่างจริงจังทำให้ไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของสายลับพม่ามากนักและผลจากการขาดข้อมูลทำให้เราประมาท ไม่ทันระวังตัวว่า "สายลับ" มีอยู่ทั่วทุกแห่งที่เราไป ตั้งแต่คนขับรถแท็กซี่ พนักงานเสิร์ฟอาหาร ไปจนถึงเจ้าหน้าที่โรงแรมที่เราเข้าพัก คนเหล่านี้จะทำหน้าที่เก็บข้อมูลบุคคลที่น่าสงสัยแจ้งให้หน่วยข่าวกรองมาตรวจสอบ ซึ่งถ้าหากข้อมูลนั้นเป็นประโยชน์ก็จะได้รับค่าน้ำชาเล็กน้อยเป็นสินตอบแทน

เหตุการณ์ถูกสายลับพม่าสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ครั้งแรกเกิดขึ้นที่เมืองแห่งหนึ่งในรัฐฉาน (ขออนุญาตไม่เปิดเผยชื่อบุคคลที่ไปพบและสถานที่เพื่อความปลอดภัยของแหล่งข้อมูล) วันนั้น เราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมเพื่อเดินทางไปพบผู้นำด้านวัฒนธรรมไทยใหญ่ท่านหนึ่ง ตามปกติ ทางโรงแรมจะให้นักท่องเที่ยวกรอกสถานที่ที่จะเดินทางต่อไปในเอกสารการเช็คเอาท์ของโรงแรม ซึ่งนักท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องใส่รายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้นก็ได้ แต่เพื่อนร่วมเดินทางของผู้เขียนดันพาซื่อ...เจ้าหล่อนเล่นกรอกชื่อสถานที่ที่เรากำลังจะไปแบบลงรายละเอียด พอพนักงานโรงแรมเห็นชื่อสถานที่เท่านั้น "งานเข้า" ทันที เพราะนั่นมันไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นโรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งมีคุณหมอชาวไทยใหญ่ผู้มีบทบาทสำคัญในชมรมอนุรักษ์ภาษาและวัฒนธรรมไทยใหญ่ประจำอยู่ที่นี่

ไม่นานนัก...ชุดสืบสวนของหน่วยข่าวกรองก็เดินทางไปถึงโรงพยาบาลแห่งนั้น บรรดาพยาบาลและคนไข้ต่างพากันตื่นตกใจ ด้วยบุญเก่าที่สะสมไว้ทำให้จังหวะที่เจ้าหน้าที่มาถึงพวกเราไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาล แต่กำลังเดินเล่นชมความงดงามของวัดใกล้ ๆ ระหว่างรอคุณหมอซึ่งกำลังเดินทางมาจากบ้าน เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่พบตัวสองสาวจากเมืองไทยตามข้อมูลที่ได้รับจากโรงแรมก็เลยมุ่งหน้าไปยังบ้านของคุณหมอชาวไทยใหญ่ท่านนั้นทันที

หลังจากพวกเราเดินเล่นอย่างเบิกบานใจสักพักจึงเดินกลับไปรอคุณหมอที่โรงพยาบาล แล้วก็พบว่า พยาบาลและญาติผู้ป่วยที่เห็นพวกเราเดินกลับเข้ามาทำหน้าตื่นตกใจกันมาก พยาบาลคนหนึ่งพูดภาษาอังกฤษได้รีบเข้ามาบอกกับเราว่า เมื่อกี้มีหน่วยข่าวกรองมาตามหาผู้หญิงไทยสองคน ตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปที่บ้านของคุณหมอชาวไทยใหญ่ !

ได้ยินเพียงเท่านั้น พวกเราก็เริ่มมือเท้าสั่นใจเต้นตึกตัก เพราะไม่คิดว่า จะถูกสายลับพม่าเล่นงานเข้าซะแล้ว ขณะที่กำลังสงสัยว่าเจ้าหน้าที่รู้ได้อย่างไรว่าพวกเรามาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ น้องสาวหน้าใสที่มาด้วยกันก็เริ่มพาลจะร้องไห้แล้วสารภาพว่า "หนูเป็นคนเขียนบอกที่โรงแรมเองว่า พวกเราจะมาที่นี่...ฮือ ฮือ... ทำยังไงกันดี" เนื่องจากขณะนั้นคุณหมอยังมาไม่ถึงโรงพยาบาล นางพยาบาลจึงบอกให้เราไปหลบอยู่ในป่ากล้วยข้างโรงพยาบาลก่อน แล้วจะหาทางติดต่อคุณหมอชาวไทยใหญ่ว่าจะต้องทำยังไงต่อไป

หลังจากพวกเราแอบอยู่ที่ป่ากล้วยด้วยใจระทึกประมาณครึ่งชั่วโมง คุณหมอก็โทรเข้ามาที่โรงพยาบาลแจ้งว่า หน่วยข่าวกรองตามมาพบคุณหมอที่บ้านแล้ว คุณหมอได้บอกไปว่า เราสองคนเป็นคนไข้ที่ต้องการมารักษา โดยคนหนึ่งปวดท้องประจำเดือนมาก และอีกคนหนึ่งปวดหัวไมเกรน คุณหมอได้สั่งให้พยาบาลจัดเตรียมห้องพักผู้ป่วยแบบสองเตียงและทำทะเบียนประวัติผู้ป่วยในของโรงพยาบาลตามอาการที่คุณหมอบอก

คืนนั้น พวกเราย้ายที่นอนจากโรงแรมเป็นโรงพยาบาล เป็นคืนแรกในพม่าที่นอนหลับไม่สนิทและอยากให้ถึงรุ่งเช้าเร็ว ๆ เพื่อเดินทางออกจากเมืองแห่งนั้นด้วยรถโดยสารเที่ยวแรกสุด

ก่อนจากลาคุณหมอชาวไทยใหญ่ผู้สามารถทำให้เรารอดพ้นคุกพม่ามาได้อย่างหวุดหวิด เราถามคุณหมอถึงเหตุผลที่หน่วยข่าวกรองติดตามพวกเรามาจนถึงโรงพยาบาลเพื่อให้หายข้องใจ

คุณหมออมยิ้มแล้วตอบว่า

"ช่วงนี้ ทหารไทยใหญ่กับทหารพม่ากำลังรบกันอยู่ที่ชายแดนไทย แล้วกองทัพพม่าเชื่อว่าทหารไทยแอบช่วยทหารไทยใหญ่รบ พวกเขาจึงสงสัยว่า พวกคุณสองคนเป็นสายลับไทยที่มาสืบข่าวเพื่อช่วยกองทัพไทยใหญ่รบกับพม่าน่ะสิ"

พอฟังจบ พวกเราได้แต่นั่งถอนหายใจ เพราะความจริง พวกเราต่างหากที่กลัวสายลับพม่าแทบหัวใจวาย แต่สุดท้าย พวกเขากลับหาว่า พวกเราเป็นสายลับเสียนี่ !

 

หมายเหตุ

* เนื่องจากรัฐบาลทหารพม่าไม่อนุญาตให้มีการเดินทางไปเก็บข้อมูลเพื่อทำการวิจัยหรือเผยแพร่ทางสื่อมวลชนอย่างเสรี การเดินทางเข้าไปในพม่าจำเป็นต้องเข้าไปในรูปแบบนักท่องเที่ยว ผู้ที่ต้องการเดินทางเข้าไปเก็บข้อมูลจำเป็นต้องตั้งคำถามอย่างระมัดระวังไม่ให้เกี่ยวข้องกับการเมืองหรือเรื่องราวที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล

 

 

ความเห็น

Submitted by อ้ายแสงดาวฯ on

อ่านไปก็เสียวตาม ลุ้นให้กำลังใจ เพราะเผด็จการทหารเมียนม่าร์นี่โครตโหดจริงๆ และอยู่ยาวนานด้วย ดีนะที่ผึ้งกะเพื่อนรอดคุก อ่านแล้วก็ให้ความรู้ ข้อคิด ผู้ที่จะไปเที่ยวพม่าจะได้ระมัดระวังตัว รักษาสุขภาพ จ้า หนู ผึ้ง

Submitted by วันอะไรครับ on

ตอนนี้ เวลานี้ และช่วงนี้ ที่ค่ายอพยพแม่หล่ะ แบเกลาะจังหวัดตากมีสายลับทหารพม่าแอบเข้ามาปนกับผู้ลี้ภัยราวประมาณ สามสิบกว่าคน ที่ถูกจับได้ประมาณ สิบกว่าคนแล้วครับ เหตุการณ์กระจ่างขึ้นมาเมื่อปลายเดือนที่แล้ว เมื่อมีคนแอบใส่ยาพิษลงไปในบ่อน้ำบริเวณของผู้ลี้ภัยตามบ่อที่ผู้ลี้ภัยใช้อาบ ดื่มและทำอาหาร ทำให้มีคนตายไปหลายคน และมีปลาตายเกลื่อน สายลับทหารพม่าถูกจับได้เมื่อมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในแคมป์แอบซุ่มดักรอกลางคืนและจับได้ในเวลาต่อมาสิบกว่าคน และที่ยังจับไม่ได้ประมาณยี่สิบกว่าคน คนเหล่านี้จะถูกสอบสวนและสารภาพออกมา ในปีสองพันเก้ามีชาวพม่าเชื้อสายคะฉิ่นแอบมาหลบพักที่แคมป์ปนกับผู้ลี้ภัยกะเหรี่ยงเพื่อฉวยโอกาสไปประเทศที่สามในขณะเดียวกันก็มีสายลับทหารพม่าปนมาด้วย นี่แหละครับสายลับทหารพม่า และยูเอนต้องมีความรอบคอบในการรับผู้ลี้ภัยไปประเทศที่สามที่ผ่านมายูเอนไม่มีความรอบคอบในเรื่องนี้ เป็นการสนับสนุนให้ผู้ฉวยโอกาสที่มาจากประเทศพม่าที่ไม่เดือร้อน ร่ำรวย เดินทางมาอยู่ที่แคมป์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆครับ ยูเอนต้องรับบุคคลที่ตรวจสอบได้และลำบากจริงๆ

ขอบคุณที่เข้ามาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันนะคะ ใครมีประสบการณ์อะไรจะมาแบ่งปันกัน หรือสงสัยอะไรเกี่ยวกับประเด็นนี้ก็เขียนมาเลยนะคะ

Submitted by อนันต์ เลี่ยวเจ... on

ตื่นเต้นครับ ลุ้นมากด้วย คุณหมอคนนั้นฉลาดมากเลยครับ ที่สำคัญเป็นห่วงคุณทั้งคู่ แต่อย่างว่าครับ คนดีตกน้ำไม่ไหล ตดไฟไม่ไหม้ ครับผม.............

สายลับพม่า (จบ)

ความเดิมตอนที่แล้ว ผู้เขียนเล่าถึงภัยที่อาจเกิดจากการใช้อินเทอร์เน็ตในพม่าแบบไม่ระมัดระวังเพราะที่ร้านอินเทอร์เน็ตอาจมีสายลับเฝ้าสังเกตบุคคลที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยแล้วส่งข้อมูลให้เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองติดตามบุคคลนั้น ในตอนนี้ ผู้เขียนอยากถ่ายทอดบทเรียนความผิดพลาดจากการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปเก็บข้อมูลในพม่าให้ผู้อ่านรับรู้ไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์และเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นหากต้องการเข้าไปเก็บข้อมูลในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองหรือสร้างภาพพจน์เชิงลบให้รัฐบาลทหาร (ถ้าเก็บข้อมูลเพื่อโปรโมทการท่องเที่ยวจะไม่มีปัญหา เพราะรัฐบาลทหารได้ผลประโยชน์จากการท่องเที่ยว)

สายลับพม่า (3)...แหล่งรวมสายลับ

 อ่านเรื่องสายลับพม่ากันมาสองตอนแล้ว คนที่เคยเดินทางไปเที่ยวพม่าตามสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังต่าง ๆ อย่างเจดีย์ชเวดากอง หรือพระธาตุอินทร์แขวนอาจบอกว่า ไม่เห็นเคยเจอสายลับติดตามเลย  ผู้เขียนอาจเป็นพวก "คิดไปเอง" หรือเปล่า  อันที่จริง ถ้าผู้เขียนไม่ได้เดินทางไปพม่าในฐานะ "นักข่าว" ที่ต้องการเก็บข้อมูลปัญหาในพม่าออกเผยแพร่  ผู้เขียนก็คงจะเดินทางอย่างไร้กังวล ไม่ต้องเป็นโรคหวาดระแวงอย่างที่เห็น เพราะตามสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังจะไม่มีสายลับมาติดตามหรือถ้ามีสายลับอยู่ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเพราะตราบใดที่ยังไม่มี "พฤติกรรมนอกกรอบ" นักท่องเที่ยว  พวกสายลับก็จะไม่สนใจเฝ้าติดตาม

แต่ถ้าคุณมีนิสัยชอบซักถามข้อมูลและถ่ายภาพที่ "ไม่พึงประสงค์" ในสายตาของรัฐบาลพม่า เช่น ถ่ายภาพที่ทำการพรรคเอ็นแอลดีของนางอองซาน ซูจี หรือพูดคุยกับขอทานข้างถนน  ชาวบ้านในสลัม เป็นต้น  พฤติกรรมแบบนี้จะเป็นที่จับตามองของบรรดาสายลับพม่าซึ่งมักแฝงตัวรวมกับคนทั่วไป โดยเฉพาะร้านน้ำชา ซึ่งมีอยู่ทั่วทุกมุมเมือง อาทิ ร้านน้ำชาฝั่งตรงข้ามที่ทำการพรรคเอ็นแอลดี  ว่ากันว่า บรรดาสายลับพม่าจะต้องนั่งประจำการอยู่ที่นี่เพื่อเก็บข้อมูลคนเข้า
-ออก  หากมีนักท่องเที่ยวคนไหนยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปที่ทำการพรรคแห่งนี้ละก็  บรรดาสายลับก็จะปฏิบัติงานทันที

ผู้เขียนเคยเข้าพักที่โรงแรม Yusana ห่างจากที่ทำการพรรคเอ็นแอลดีแบบเดินถึงภายในห้านาที  เวลาเดินผ่านหน้าที่ทำการพรรคฯ ขนาดไม่ได้ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูป เพียงแค่ยืนมองป้ายด้านหน้าเฉย ๆ  สายตาหลายคู่จากร้านน้ำชาฝั่งตรงข้ามยังเปล่งรัศมีข้ามมาถึงจนทำให้ต้องรีบเดินจ้ำอ้าวผ่านไปเร็ว ๆ  ถ้าขืนยกกล้องขึ้นมา งานนี้สวรรค์คงไม่เมตตาแน่ ๆ เพราะหาเรื่องใส่ตัวเอง  ผู้เขียนได้แต่แกล้งทำทีซ่อนกล้องไว้ในกระเป๋าสะพายให้เลนส์โผล่ขึ้นมาเล็กน้อย เวลาเดินผ่านเป้าหมายก็กดชัตเตอร์มั่วๆ ไปโดยไม่ยกกล้องขึ้นมา  ผลปรากฎว่า มองไม่เห็นอะไรเลยเพราะรีบเดินจ้ำอ้าวเร็วเกินไป!

เพื่อนช่างภาพชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เขาถูกสันติบาลพม่าติดตามหลายครั้งในระยะกระชั้นชิดและรู้แน่ชัดว่าถูกติดตาม  เขาจึงแกล้งไปสถานที่ทั่ว ๆ ไป เช่น ร้านน้ำชา พอเห็นสันติบาลมานั่งโต๊ะติดกันบ่อย ๆ ในที่สุด เขาก็หันไปยิ้มให้แล้วชักชวนให้มานั่งด้วยกันเสียเลยดีไหม  เขาบอกกับสันติบาลคนนั้นว่า "ผมเข้าใจดีว่า คุณกำลังทำตามหน้าที่ อยากตามก็ตามเถอะ"  อีกเหตุการณ์หนึ่ง เพื่อนชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่งเล่าว่า เธอนัดคุยกับชาวพม่าท้องถิ่นเรื่องการพานักข่าวมาอบรมนอกประเทศพม่าที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง  เวลาคุยกัน  เด็กเสิร์ฟน้ำชามักจะมายืนใกล้ ๆ แล้วคอยบริการเติมน้ำชาให้กับเธอบ่อย ๆ เหมือนต้องการแอบฟังเรื่องราวที่คุยกัน ถึงขนาดที่ว่า เธอเพิ่งจิบน้ำพร่องไปนิดเดียว เด็กหนุ่มก็รีบเข้ามาเติมชาให้เต็มแก้วทันที  ฟังแล้ว.. บางคนอาจท้วงว่าเพื่อนคนนี้ขี้ระแวงมากไปหรือเปล่า เพราะนี่อาจเป็นบริการสุดประทับใจที่ทางภัตตาคารมอบให้ลูกค้าทุกคนก็เป็นได้ !


นอกจากร้านน้ำชาแล้ว  ร้านอินเทอร์เน็ตจัดเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สายลับพม่ามักวนเวียนอยู่แถวนั้น  เพราะถือเป็นเครื่องมือสื่อสารสู่โลกภายนอก  เมื่อสมัยที่ผู้เขียนเดินทางเข้าพม่าแปดปีก่อน ยุคนั้นรัฐบาลพม่ายังไม่อนุญาตให้ใช้ฟรีอีเมลใด ๆ ทั้งสิ้น  หากต้องการส่งอีเมลจะต้องใช้อีเมลของร้านอินเตอร์เน็ตที่ขึ้นทะเบียนเปิดขอใช้อีเมลกับทางการเท่านั้น  ดังนั้น เวลาส่งเมลมาหาเพื่อนหรือญาติที่เมืองไทย ชื่อที่ปรากฎบนอีเมลของผู้ส่งจะเป็นชื่อของร้านอินเทอร์เน็ตนั้น ๆ
 

ผู้เขียนจำได้ว่า ตอนนั้นส่งเมลมาหาเพื่อนและต้องใส่ข้อความในชื่อเรื่องว่า "ถึง (ชื่อเพื่อน) นี่ฉันเอง (ชื่อตัวเอง)" เพราะกลัวเพื่อนคิดว่าเป็นเมลขยะแล้วลบทิ้ง แล้วค่าส่งอีเมลไม่ได้นับเป็นชั่วโมง  แต่คิดตามความยาวหน้ากระดาษ คือ "เขียนน้อยจ่ายน้อย เขียนมากจ่ายมาก"  แล้วเวลาจะส่งต้องเรียกพนักงานร้านมาส่งให้เพื่อทำการจัดเก็บข้อความของผู้ใช้บริการส่งให้หน่วยข่าวกรอง  ดังนั้น  ใครหาญกล้าเขียนข้อความล่อแหลมวิจารณ์รัฐบาลก็คงจะได้เข้าไปนอนในคุกแน่ ๆ เพราะหลักฐานมีให้เห็นอยู่โต้ง ๆ

ล่าสุดที่ผู้เขียนเดินทางไปพม่าปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา  อินเทอร์เน็ตเข้าถึงเมืองใหญ่หลายเมืองแล้ว  โดยรัฐบาลพม่าอนุญาตให้ใช้ฟรีอีเมลของ gmail ได้  ส่วน hotmail และ yahoo ยังคงถูกบล็อคไว้  รวมทั้งเว็บไซต็ข่าวต่างประเทศหลายสำนักข่าวก็ถูกบล็อคเช่นกัน  แต่ถึงแม้ประชาชนจะมีฟรีอีเมลใช้ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เสรีภาพในการส่งข้อมูลข่าวสารจะมากขึ้นตามไปด้วย  เพราะร้านอินเทอร์เน็ตที่ไปใช้ต้องขึ้นทะเบียนกับรัฐบาลและคนที่ไปใช้บริการก็ไม่มีความเป็นส่วนตัวในการพิมพ์ข้อความสักเท่าใดนัก เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ร้านเดินไปเดินมาตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ ถ้าใครส่งอีเมลที่มีข้อความ "ต้องห้าม" หรือ "น่าสงสัย" ก็อาจนำมาภัยมาสู่ตัวได้ง่าย เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของสาละวินโพสต์ซึ่งถูกจับได้หลังเก็บข้อมูลและถ่ายภาพผู้ประสบภัยนาร์กิสเมื่อปีที่ผ่านมา

เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามอ่าน "สายลับพม่า (ตอนจบ)" ในครั้งต่อไปนะคะ

สายลับพม่า (2) ... หวิดเข้าคุกพม่า (อีกแล้ว)

หลังจากผู้เขียนถูกสายลับพม่าติดตามครั้งแรกทำให้ผู้เขียนเริ่มระวังตัวมากขึ้นในการเดินทางไปพม่าครั้งต่อมา  ประสบการณ์ทำงานประเด็นพม่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้ผู้เขียนเริ่มเข้าใจวิธีการทำงานของสายลับพม่ามากขึ้น  ถ้าจะลองแบ่งประเภทสายลับพม่าจากประสบการณ์ที่เคยพบก็พอจะแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ  (เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน กรุณาอย่านำไปใช้อ้างอิงทางวิชาการ) คือ สายลับแบบทำงานเต็มเวลา (full- time) กับสายลับแบบชั่วครั้งชั่วคราว (Part-time)

สายลับประเภทแรกอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งตามภาษาบ้านเราว่า
"สันติบาล"    สายลับประเภทนี้จะแต่งกายแบบชาวบ้านทั่วไปเพื่อไม่ให้เป็นที่จับตามอง   สิ่งที่สังเกตได้ว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ก็คือ "พฤติกรรมแปลก ๆ" เช่น การเดินตามผู้เขียนในรัศมีที่มองเห็นหรือสัมผัสได้ว่ามีใครบางคน (บางทีก็หลายคน) ติดตามอยู่  การยืนจับกลุ่มกันจ้องมองมาทางผู้เขียนในทิศทางเดียวกันหมด  หรือการนั่งจับกลุ่มกันเงียบ ๆ ในรัศมีใกล้ชิดกับผู้เขียนเพื่อแอบฟังบทสนทนาระหว่างผู้เขียนและเพื่อนร่วมเดินทาง  เช่น เมื่อครั้งเดินทางไปเมืองเมาะละแหม่ง (เมาะลำไย) ทางภาคใต้ของพม่า ผู้เขียนและเพื่อนร่วมทางรวมห้าคนถูกสันติบาลพม่าสามคนตามมาที่โรงแรม

สิ่งที่สังเกตได้คือ ชายทั้งสามคนแต่งกายด้วยชุดโสร่ง ไม่มีกระเป๋าเดินทางเหมือนแขกทั่วไป และคอยจ้องมองมาทางพวกเราตลอดเวลา
  ถ้าพวกเราไปนั่งกินข้าวเช้าในห้องอาหารของโรงแรม  พวกเขาก็จะมานั่งโต๊ะติดกันแบบเงียบสนิท ไม่มีใครพูดอะไรเลย เหมือนกำลังตั้งใจฟังสิ่งที่พวกเราคุยกัน  พวกเราจึงสันนิษฐานว่าชายกลุ่มนี้น่าจะเป็นสันติบาลที่คอยติดตามนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้มากับกรุ๊ปทัวร์ โดยทางโรงแรมคงทำหน้าที่ "ส่งข่าว" ให้เหมือนที่เคยเจอเมื่อครั้งไปรัฐฉานครั้งแรก   และเพื่อความปลอดภัย พวกเราจึงใช้ "รหัสลับ" ที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ในการพูดคุยกันเวลาอยู่ต่อหน้าสันติบาลพม่า  เช่น ใช้คำว่า "สัปปะรด" เวลาต้องการพูดถึง "สันติบาล" หรือใช้คำว่า "พ่อหลวง" แทน "รัฐบาลทหารพม่า"  เป็นต้น 

อ่านมาถึงตอนนี้ หลายคนอาจเกิดคำถามว่า ทำไมต้องใช้รหัสลับในการพูดคุย เพราะสันติบาลพม่าจะเข้าใจภาษาไทยได้อย่างไร
  คำตอบก็คือ สันติบาลจะต้องเรียนภาษาท้องถิ่นในพื้นที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ เช่น เมืองที่อยู่ใกล้ชายแดนไทยก็มักจะมีสันติบาลพม่าที่ฟังภาษาไทยออก  หรือเมืองที่มีประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ อาศัยอยู่ สันติบาลที่อยู่ประจำพื้นที่นั้นก็จะต้องเรียนรู้ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยจะได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นหากสามารถฟังภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ได้ หรือบางครั้งสันติบาลก็อาจเป็นคนจากกลุ่มชาติพันธุ์นั้น ๆ เองก็มี  

เมื่อครั้งที่ผู้เขียนเดินทางไปรัฐฉานครั้งแรก  ผู้เขียนเคยคุยกับครูสอนภาษาไทยใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งถูกบังคับให้เป็นครูสอนภาษาไทยใหญ่ให้กับทหารพม่าที่มาประจำเมืองนั้น เนื่องจากเวลาที่คนไทยใหญ่มีประชุมทางวัฒนธรรมเกินกว่า 5 คนจะต้องยื่นขออนุญาตทางการพม่าก่อนและจะมีสันติบาลเข้าร่วมประชุมด้วยทุกครั้ง

จากประสบการณ์ของผู้เขียน  หากสันติบาลเป็นชาวพม่าแท้ที่ไม่ใช่กลุ่มชาติพันธุ์ท้องถิ่น  คนที่ถูกติดตามจะสังเกตได้ง่ายเพราะมีความแตกต่างกันทางสีผิวและสำเนียงพูด แต่ในกรณีที่สันติบาลเป็นกลุ่มชาติพันธุ์นั้น ๆ เลย  อันนี้น่ากลัว...เพราะหลายคนอาจเผลอไว้ใจ  ไม่ทันระวังคำพูด และอาจถูกจับได้ง่ายกว่า

ผู้เขียนเคยรู้สึกเสียวสันหลังวาบหลังจากที่พูดคุยกับคุณลุงชาวไทยใหญ่ท่านหนึ่งและเผลอไปซักถามเกี่ยวกับเสรีภาพของชาวไทยใหญ่ภายใต้รัฐบาลเผด็จการ  ชาวไทยใหญ่ท่านนั้นหันมาทำหน้าขรึมและพูดว่า "คุณรู้ไหมว่าถ้าอยู่ในพม่า อย่าถามคำถามประเภทนี้กับใคร ไม่ว่าคุณจะสนิทกับคนนั้นหรือไม่ เพราะคุณจะไม่มีวันรู้ว่า คนนั้นเป็นสายลับให้รัฐบาลพม่าหรือเปล่า  และคุณรู้ไหมว่า ถ้าผมเกิดเป็นสายลับให้รัฐบาลพม่าขึ้นมา  คุณจะเป็นอย่างไร...."

ฟังจบ ผู้เขียนรู้สึกใจเต้นตึกตักพาลจะเป็นลม เพราะหากชายตรงหน้าเป็นสายลับพม่าเข้าจริง ๆ   คงถูกส่งเข้าซังเตพม่าแน่ ๆ  ผู้เขียนยกมือไหว้ขอบคุณที่ได้รับคำตักเตือนและขอบคุณสวรรค์ที่ยังเมตตาให้คุณลุงไทยใหญ่ท่านนี้ไม่ใช่สายลับของทางการพม่า

เฮ้อ...หวิดเข้าคุกพม่าอีกแล้วสิเรา      

 

สายลับพม่า ตอน (1) ...เขาหาว่าหนูเป็นสายลับ

ในแวดวงคนทำงานประเด็นพม่าต่างคุ้นหูกับเรื่องราวของ "สายลับพม่า" กันเป็นอย่างดี เพราะรัฐบาลทหารพม่าให้ความสำคัญกับหน่วยข่าวกรองมากและหน่วยข่าวกรองพม่าก็มีอำนาจมากจนเทียบเท่ากับอีกสามเหล่าทัพ (ทัพบก ทัพเรือ และทัพอากาศ) เลยทีเดียว

สายลับพม่าไม่ได้ทำงานในเขตประเทศพม่าเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่ง "สาย" ข้ามฝั่งมาทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศพม่า หน้าที่ของสายลับพม่า คือ การเก็บข้อมูลความเคลื่อนไหวของบุคคลที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐบาลทหาร

มองปรากฏการณ์พม่าหลังหนึ่งปีนาร์กีส

    วันที่ 3 พฤษภาคมนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีหลังไซโคลนนาร์กีสถล่มภาคอิรวดีของพม่า  หนึ่งปีที่ล่วงผ่านมีปรากฏการณ์ที่น่าสนใจเกิดขึ้น  ซึ่งทำให้เราได้รู้จักและเข้าใจเพื่อนบ้านติดพรมแดนตะวันตกของเรามากขึ้น