สายลับพม่าไม่ได้ทำงานในเขตประเทศพม่าเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่ง "สาย" ข้ามฝั่งมาทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศพม่า หน้าที่ของสายลับพม่า คือ การเก็บข้อมูลความเคลื่อนไหวของบุคคลที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐบาลทหาร
ผู้เขียนเคยถูกสายลับพม่าติดตามความเคลื่อนไหวอยู่เหมือนกัน แต่โชคดีรอดมาได้ทุกครั้ง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อถูกติดตามครั้งแรก ใจยังสั่นไม่หาย...
เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อแปดปีก่อน ซึ่งเป็นการเดินทางเข้าไปในพม่าครั้งแรกในชีวิต เป้าหมายของการเดินทาง คือ การเก็บข้อมูลเรื่องการธำรงอัตลักษณ์ของคนไทยใหญ่ภายใต้ระบอบเผด็จการทหาร เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ปริญญาโทสาขามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์*
ผู้เขียนเดินทางพร้อมกับเพื่อนรุ่นน้องผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งเราทั้งสองยังไม่เคยเดินทางไปพม่ามาก่อนเลย การเดินทางครั้งนี้พึ่งพาคู่มือท่องเที่ยวที่มีขายทั่วไป (บางเรื่องก็เชื่อถือไม่ได้เพราะสถานการณ์การเมืองในพม่าเปลี่ยนแปลงบ่อย) เราเริ่มต้นเดินทางจากกรุงย่างกุ้ง เมืองหลวงเก่า ซึ่งอยู่ทางภาคกลางของพม่าขึ้นเหนือไปยังเมืองต่าง ๆ ของรัฐฉาน อาทิ สีป้อ ล่าเสี้ยว และตองยี เพื่อพูดคุยกับชาวไทยใหญ่ที่ทำงานด้านวัฒนธรรม อาทิ เจ้าของโรงพิมพ์หนังสือภาษาไทยใหญ่ ชมรมภาษาและวัฒนธรรมไทยใหญ่ซึ่งมีอยู่ทุกเมืองในรัฐฉาน เป็นต้น
ด้วยเหตุที่เมืองบางเมืองที่เราเดินทางไปไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากนัก การเดินทางของสองสาวจากเมืองไทยจึงเป็นสิ่งที่น่าสงสัยยิ่งนัก เนื่องจากตอนนั้น ผู้เขียนยังไม่ได้เริ่มทำงานเรื่องพม่าอย่างจริงจังทำให้ไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของสายลับพม่ามากนักและผลจากการขาดข้อมูลทำให้เราประมาท ไม่ทันระวังตัวว่า "สายลับ" มีอยู่ทั่วทุกแห่งที่เราไป ตั้งแต่คนขับรถแท็กซี่ พนักงานเสิร์ฟอาหาร ไปจนถึงเจ้าหน้าที่โรงแรมที่เราเข้าพัก คนเหล่านี้จะทำหน้าที่เก็บข้อมูลบุคคลที่น่าสงสัยแจ้งให้หน่วยข่าวกรองมาตรวจสอบ ซึ่งถ้าหากข้อมูลนั้นเป็นประโยชน์ก็จะได้รับค่าน้ำชาเล็กน้อยเป็นสินตอบแทน
เหตุการณ์ถูกสายลับพม่าสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ครั้งแรกเกิดขึ้นที่เมืองแห่งหนึ่งในรัฐฉาน (ขออนุญาตไม่เปิดเผยชื่อบุคคลที่ไปพบและสถานที่เพื่อความปลอดภัยของแหล่งข้อมูล) วันนั้น เราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมเพื่อเดินทางไปพบผู้นำด้านวัฒนธรรมไทยใหญ่ท่านหนึ่ง ตามปกติ ทางโรงแรมจะให้นักท่องเที่ยวกรอกสถานที่ที่จะเดินทางต่อไปในเอกสารการเช็คเอาท์ของโรงแรม ซึ่งนักท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องใส่รายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้นก็ได้ แต่เพื่อนร่วมเดินทางของผู้เขียนดันพาซื่อ...เจ้าหล่อนเล่นกรอกชื่อสถานที่ที่เรากำลังจะไปแบบลงรายละเอียด พอพนักงานโรงแรมเห็นชื่อสถานที่เท่านั้น "งานเข้า" ทันที เพราะนั่นมันไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นโรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งมีคุณหมอชาวไทยใหญ่ผู้มีบทบาทสำคัญในชมรมอนุรักษ์ภาษาและวัฒนธรรมไทยใหญ่ประจำอยู่ที่นี่
ไม่นานนัก...ชุดสืบสวนของหน่วยข่าวกรองก็เดินทางไปถึงโรงพยาบาลแห่งนั้น บรรดาพยาบาลและคนไข้ต่างพากันตื่นตกใจ ด้วยบุญเก่าที่สะสมไว้ทำให้จังหวะที่เจ้าหน้าที่มาถึงพวกเราไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาล แต่กำลังเดินเล่นชมความงดงามของวัดใกล้ ๆ ระหว่างรอคุณหมอซึ่งกำลังเดินทางมาจากบ้าน เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่พบตัวสองสาวจากเมืองไทยตามข้อมูลที่ได้รับจากโรงแรมก็เลยมุ่งหน้าไปยังบ้านของคุณหมอชาวไทยใหญ่ท่านนั้นทันที
หลังจากพวกเราเดินเล่นอย่างเบิกบานใจสักพักจึงเดินกลับไปรอคุณหมอที่โรงพยาบาล แล้วก็พบว่า พยาบาลและญาติผู้ป่วยที่เห็นพวกเราเดินกลับเข้ามาทำหน้าตื่นตกใจกันมาก พยาบาลคนหนึ่งพูดภาษาอังกฤษได้รีบเข้ามาบอกกับเราว่า เมื่อกี้มีหน่วยข่าวกรองมาตามหาผู้หญิงไทยสองคน ตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปที่บ้านของคุณหมอชาวไทยใหญ่ !
ได้ยินเพียงเท่านั้น พวกเราก็เริ่มมือเท้าสั่นใจเต้นตึกตัก เพราะไม่คิดว่า จะถูกสายลับพม่าเล่นงานเข้าซะแล้ว ขณะที่กำลังสงสัยว่าเจ้าหน้าที่รู้ได้อย่างไรว่าพวกเรามาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ น้องสาวหน้าใสที่มาด้วยกันก็เริ่มพาลจะร้องไห้แล้วสารภาพว่า "หนูเป็นคนเขียนบอกที่โรงแรมเองว่า พวกเราจะมาที่นี่...ฮือ ฮือ... ทำยังไงกันดี" เนื่องจากขณะนั้นคุณหมอยังมาไม่ถึงโรงพยาบาล นางพยาบาลจึงบอกให้เราไปหลบอยู่ในป่ากล้วยข้างโรงพยาบาลก่อน แล้วจะหาทางติดต่อคุณหมอชาวไทยใหญ่ว่าจะต้องทำยังไงต่อไป
หลังจากพวกเราแอบอยู่ที่ป่ากล้วยด้วยใจระทึกประมาณครึ่งชั่วโมง คุณหมอก็โทรเข้ามาที่โรงพยาบาลแจ้งว่า หน่วยข่าวกรองตามมาพบคุณหมอที่บ้านแล้ว คุณหมอได้บอกไปว่า เราสองคนเป็นคนไข้ที่ต้องการมารักษา โดยคนหนึ่งปวดท้องประจำเดือนมาก และอีกคนหนึ่งปวดหัวไมเกรน คุณหมอได้สั่งให้พยาบาลจัดเตรียมห้องพักผู้ป่วยแบบสองเตียงและทำทะเบียนประวัติผู้ป่วยในของโรงพยาบาลตามอาการที่คุณหมอบอก
คืนนั้น พวกเราย้ายที่นอนจากโรงแรมเป็นโรงพยาบาล เป็นคืนแรกในพม่าที่นอนหลับไม่สนิทและอยากให้ถึงรุ่งเช้าเร็ว ๆ เพื่อเดินทางออกจากเมืองแห่งนั้นด้วยรถโดยสารเที่ยวแรกสุด
ก่อนจากลาคุณหมอชาวไทยใหญ่ผู้สามารถทำให้เรารอดพ้นคุกพม่ามาได้อย่างหวุดหวิด เราถามคุณหมอถึงเหตุผลที่หน่วยข่าวกรองติดตามพวกเรามาจนถึงโรงพยาบาลเพื่อให้หายข้องใจ
คุณหมออมยิ้มแล้วตอบว่า
"ช่วงนี้ ทหารไทยใหญ่กับทหารพม่ากำลังรบกันอยู่ที่ชายแดนไทย แล้วกองทัพพม่าเชื่อว่าทหารไทยแอบช่วยทหารไทยใหญ่รบ พวกเขาจึงสงสัยว่า พวกคุณสองคนเป็นสายลับไทยที่มาสืบข่าวเพื่อช่วยกองทัพไทยใหญ่รบกับพม่าน่ะสิ"
พอฟังจบ พวกเราได้แต่นั่งถอนหายใจ เพราะความจริง พวกเราต่างหากที่กลัวสายลับพม่าแทบหัวใจวาย แต่สุดท้าย พวกเขากลับหาว่า พวกเราเป็นสายลับเสียนี่ !
หมายเหตุ
* เนื่องจากรัฐบาลทหารพม่าไม่อนุญาตให้มีการเดินทางไปเก็บข้อมูลเพื่อทำการวิจัยหรือเผยแพร่ทางสื่อมวลชนอย่างเสรี การเดินทางเข้าไปในพม่าจำเป็นต้องเข้าไปในรูปแบบนักท่องเที่ยว ผู้ที่ต้องการเดินทางเข้าไปเก็บข้อมูลจำเป็นต้องตั้งคำถามอย่างระมัดระวังไม่ให้เกี่ยวข้องกับการเมืองหรือเรื่องราวที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล