Skip to main content

ไม่ได้ตั้งใจจะเลี้ยงเล้ยยยยย... จริงๆ พับเผื่อยซิ

วันประชุมสมัชชาคนจน ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบความเดือดร้อนจากการสร้างเขื่อน ได้มาประชุมปรึกษาหารือกันที่ศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้าน เจ้าแมวตัวนี้นอนซุกอยู่ในรองเท้าเจ้าอ้วน - เด็กอ้วนแห่งรายการวิทยุชุมชน เด็กๆ แถวนี้บอกว่าพี่น้องมันตายไปหมดแล้ว หมาฟัดเรียบ

ฉันได้แต่ฟังเขาพูด ไม่ได้ขึ้นไปฟังเขาประชุมด้วย เลยไม่รับรู้ต่อการมีอยู่ของมัน


แต่ว่าพอบ่ายแก่ๆ ก็มีมือดีจับใส่กระเป๋าเสื้อเดินมาให้ที่บ้านดิน

"อยู่ที่นี่ดีกว่านะ ไม่งั้นเดี๋ยวมันจะถูกหมาฟัดตาย"

เจ้าของเสียงดึงมันออกมา ตัวเล็กๆ อยู่ในอุ้งมือเดียวเท่านั้นของชายหนุ่ม

ฉันมองแล้วทั้งยิ้มทั้งถอนใจ



จะไหวไหมเนี่ย ฉันเองก็กำลังจะมีลูกน้อย จะกลับไปคลอดที่บ้านหรือที่นี่ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน เกิดฉันไม่อยู่ใครจะเลี้ยงมันต่อเล่า


แต่พวกเด็กหนุ่มทั้งหลายพากันเล่าเหตุการณ์วันนี้เซ็งแซ่ด้วยความเอ็นดู

"ผมนึกว่ามันตายแล้วนะพี่!"

"พี่น้องมันตายหมดแล้ว"

"อยู่ที่นี่ดีแล้ว หมามันเกรงใจพี่ มันไม่กล้าหรอก"


เจ้าลูกแมวถูกปล่อยออกจากอุ้งมือลงพื้นดิน มันก็เดินเร็วปร๋อ แข็งแรงกว่าที่คิดเยอะ ท่าทางมันจะชอบที่นี่ด้วยสิ สักพักก็วิ่งหยองแหย็งกับพื้นหญ้า แต่เผลอแป๊บเดียว ก็หายไปไหนไม่รู้ คนพามาเดินไปที่สระน้ำและก้มหยิบเหมือนหยิบก้อนหิน จับมาด้วยมือเดียวเห็นแต่ลูกตาและตัวสั่นงันงก ขนเปียกลู่ ทุกคนพากันหัวเราะ

"ซ่านะเรา"


จับมันมาวางบนผ้าขี้ริ้วเก่าๆ มันก็นอนสั่น หมดฤทธิ์ แต่ก็นั่นแหละแป๊บเดียวเท่านั้นจริงๆ มันก็ลุกมาสะบัดตัวใหม่ เริ่มเดินและซุกซนไปมาตามพงหญ้า ขณะที่หนุ่มๆ พากันจับกลุ่มคุยถึงการวางแผนงาน แต่ก็ชำเลืองตามองมันและเอามันมาเป็นหัวข้อสนทนาเป็นระยะๆ

  

 

มันเป็นแมวซ่าจริงๆ ตัวมันเล็กแค่นี้ ฉันยังนึกว่ามันจะยังเดินไม่เก่ง ต้วมเตี้ยมๆ และหวาดกลัวต่อโลกใหม่ด้วยซ้ำ แต่หาใช่เช่นนั้น มันเดินด้วยท่าทางที่เหมือนตัวมันเป็นแมวผู้ใหญ่เต็มที ครั้นเมื่อหมาๆ ผู้ไม่สมัครรักใคร่จะอยู่ด้วยกันทั้งวัน แต่จะมาเฉพาะยามหิว (จะว่าหมาจรก็ไม่เชิง แต่มันก็ไม่ยอมให้ใครเป็นเจ้าของ) ราวสองสามตัวเวียนมา เจ้าลูกแมวตัวจึ๋งเดียวนี้เองก็ยกหลัง ขนพอง ทำเสียงขู่ฟ่อ เล่นเอาทุกคนหัวร่อหัวเราะร่วน

"ซ่านะซ่า"


เหมือนรู้ว่ามันเป็นแมวมีเส้น มีบิ๊กๆ อยู่ข้างหลังมันเพียบ มันเลยไม่กลัว

เราปล่อยให้มันเดินเล่น นอนเล่น กินอาหาร อยู่นอกบ้าน จนดึกเมื่อจะเข้านอน ฉันอาบน้ำตัวเย็น จัดการปูผ้าบุใยฝ้ายจากหมู่บ้านโนนตาลกับพื้นเสื่อ เจ้าแมวน้อยตัวนี้ก็ร้องเมี้ยว เมี้ยว เดินเตาะแตะโผล่มาจากหลังเข่งเก็บของของฉัน


ฉันคิดว่ามันคงจะนอนในที่ที่ของมันที่มันเลือกไว้แล้ว เพราะก่อนนี้เห็นมันเดินหาที่นอนและดูเหมือนจะได้แล้ว มันซุกตัวอยู่ในซอกลึก ฉันยังนึกว่ามันคงรู้สึกปลอดภัยกับที่ตรงนั้น แต่ที่ไหนได้มันกลับพยายามจะมานอนใกล้ๆ ฉัน ฉันเองไม่เคยเลี้ยงแมวมาก่อน เคยก็แต่เห็นเพื่อนเลี้ยง รู้อยู่ว่ามันชอบนอนกับคน แต่ว่า นี่ฉันเพิ่งรู้จักกับมันไม่กี่ชั่วโมงเอง แถมยังไม่ได้คลอเคลียหรือโอบอุ้มมันสักครั้ง พยายามห่างๆ ด้วยซ้ำ เพราะกลัวมันติด ข้าวก็ยังไม่ได้เอาให้มัน แต่มันก็ร้องเมี้ยวๆ เข้ามาใกล้


ฉันจัดแจงหาหมอนนิ่มๆ ใบหนึ่งให้มันนอนซุก เอาปลายปลอกหมอนที่ยาวเหลือใช้ห่มมันอีกที แต่มันก็ยังดูไม่พอใจพยายามไต่ขึ้นหน้าฉัน

"เฮ้ย! อะไรนี่ ชักจะมากไปแล้วนะ"

เล็บมันแหลมเปี๊ยบ เจ็บไม่เบา


ฉันจับมันนอนที่เดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้ดึงหมอนใบนั้นมาชิดพุง กอดมันเบาๆ ด้วยการเอามือแตะมันไว้ คราวนี้ดูมันจะพอใจ แหงนหน้าขึ้น หลับตา ครางคร่อกๆ

ท้องฉันมีวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ เจ้าแมวน้อยนอนใกล้ท้องป่องนี้ ท่าทางจะเข้าใจว่ามีเพื่อน มันหลับสบายไป แต่หากเมื่อไหร่ฉันพลิกตัวนอนตะแคงไปอีกด้านมันก็จะตื่นด้วยแล้วก็ลุกขึ้นมาปีนป่ายบนตัวฉัน ฉันต้องหอบหมอนของมันยกมานอนฟากเดียวกัน นอนด้วยกันในท่าเดิมอีกครั้ง ซึ่งเป็นแบบนี้ไปทั้งคืน


ตื่นเช้ามาก็นึกอยู่ว่า ถ้าต้องนอนกันอย่างนี้ทุกคืนท่าจะลำบาก เพราะฉันจะต้องตื่นบ่อย ไม่ดีต่อสุขภาพเลย แต่ก็ยังคิดหาวิธีไม่ออก เพราะนี่เพิ่งคืนที่สองที่มันมาอยู่


คิดอยู่ว่าให้มันนอนปลายเท้าดีไหม กลัวนอนใกล้กันมากๆ เดี๋ยวเป็นโรคหอบหืดเหมือนเพื่อนทั้งสองผู้รักแมว แต่ก็ยังใจแข็งเตะมันไปนอนปลายเท้าไม่ได้ มันยังเล็กมาก เหมือนเด็กน้อยที่ต้องการไออุ่นจากแม่ อยากซุก อยากมีใครหรือตัวอะไรมาสัมผัสมัน


เมื่อคืนตอนนอน ฉันใช้ปลายนิ้วเกาคางมันเบาๆ ดูมันมีความสุขมาก และก็หลับปุ๋ย แต่ดึกๆ พอฉันลุกไปฉี่มันก็ตื่นปั๊บเดินตามออกมาอีก


อืมม์ ใช่ มันเป็นแมว หูไว และปกติมันไม่ค่อยนอนกลางคืนอยู่แล้ว


แต่ใช่ ฉันจะปล่อยมันนอนกับฉันทุกคืนก็ไม่ได้แน่ เพราะถ้าฉันตื่นบ่อย ลูกในท้องก็พลอยจะไม่ได้พักผ่อนด้วย คืนแรกมันคงหิว ราวตีสองตีสามมันก็ลุกมาร้องเงี้ยวๆ เดินไปโน่นนี่ แล้วก็คาบปลาในจานที่เราวางซ้อนถ้วยใบอื่นไว้จนหล่นลงทั้งจาน


แต่จะให้ทำอย่างไรเล่า?

เอาน่า เดี๋ยวคงรู้วิธีจัดการ ถ้ามันโตอีกหน่อยมันคงอยู่กับโลกภายนอกลำพังได้



 

เช้าวันนี้อากาศดี๊ ดี ฉันเปิดเพลงของจรัล มโนเพ็ชร คิดถึงบ้านจับใจ เจ้าลูกแมวร้องเมี้ยวๆ แหงนหน้ามองฉันที่นั่งเก้าอี้ ฉันได้แต่ยิ้ม รู้ดีว่าถ้านั่งกับพื้น มันก็จะปีนขึ้นมานั่งตัก แต่เมื่อฉันกำลังทำงาน ไม่นานนักมันก็ไปนอนหลับกับย่ามที่ฉันวางกับพื้น ลมพัดเข้าบ้านดินเย็นสบาย มันฟังเสียงกีตาร์ของอ้ายจรัลอย่างเคลิบเคลิ้มและหลับไป


มันเป็นชีวิตชีวิตหนึ่ง ไม่ต่างจากคน ต้องการไออุ่น ความรัก ความเอาใจใส่ ดีใจ เสียใจเป็น น่าเสียดายที่ในโลกของเรามีความรักน้อยเกินไป เราจึงเห็นแมวจรจัด หมาจรจัด คนจรจัด อยู่ในโลกใบนี้มากมายไปหมด


โลกก็เป็นเช่นนี้กระมัง?

 

 

 

 

บล็อกของ สร้อยแก้ว

สร้อยแก้ว
นั่งดูบอลคู่นี้อย่างไม่ตั้งใจนัก เผอิญว่ากดรีโมทโทรทัศน์มาเจอเข้าพอดี เลยคิดว่าอยากจะเชียร์บอลไทยสักหน่อย ดูเวลาการแข่งขันตอนนั้นก็เข้าสู่นาทีที่เจ็ดสิบกว่าแล้ว ไทยนำอยู่ 2-1 ดูไปได้ไม่ทันไร ก็มาถึงจังหวะการกระโดดแย่งบอลกันกลางอากาศ นักเตะไทยเป็นฝ่ายกระโดดได้สูงกว่าและโดนลูกบอล แต่เมื่อเท้าแตะถึงพื้น นักเตะไทยวิ่งต่อ ส่วนนักเตะเลบานอนลงไปนอนกับพื้น เอากุมหัว ดิ้นอย่างเจ็บปวดสักพักเมื่อเขาลุกขึ้น สิ่งที่เห็นก็คือเลือดอาบหน้าและสองมือที่กุมเอาไว้ เลือดออกเยอะมากขนาดที่เห็นแล้วต้องเบะปาก ขณะที่เพื่อนร่วมทีมวิ่งมาดู นักเตะไทยเดินยิ้ม ยักไหล่ แพทย์สนามก็มาช้าเหลือเกิน เกมรึ…
สร้อยแก้ว
หลังการจากไปของพี่ปุ๋ย (นันทโชติ ชัยรัตน์) วันหนึ่งของต้นฤดูหนาว พี่แป๊ะ ภรรยาพี่ปุ๋ยก็มีดำริจะปลูกบ้านเป็นของตัวเองเสียที โดยพี่แป๊ะได้ซื้อไม้จากบ้านเก่าหลังหนึ่งไว้ ก่อนการเริ่มต้นปลูกบ้าน พี่แป๊ะจึงต้องหาคนมารื้อเอาไม้จากบ้านเก่าก่อน ซึ่งก็ได้น้องนุ่งแรงดีจากลุ่มน้ำมูนและหนุ่มในเมืองอย่างเอก และผู้อาวุโสแต่หัวใจวัยรุ่นอย่างพ่อถาหนึ่งในแกนนำปากมูน แห่งบ้านนาหว้า มาช่วยกันคนละไม้ละมือ
สร้อยแก้ว
(ขอความกรุณาสวมเสื้อขาว, สีฟ้า หรือสีที่ดูเหมาะสม ยกเว้นอย่าสวมเสื้อสีเหลืองหรือสีแดง เพราะจะทำให้แตกสามัคคี) ข้อความในวงเล็บนี้ทำเอาฉันอมยิ้มจนเกือบเผลอหัวเราะนี่คือจดหมายเชิญเดินเทิดพระเกียรติของชมรมผู้สูงอายุตำบลหารแก้วที่ประธานชมรมถึงกับควบมอเตอร์ไซค์แถดๆ มาหาพ่อถึงบ้าน
สร้อยแก้ว
 ฉันมีโอกาสไปร่วมงานรางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ ๑๐ ปีนี้ เลยทำให้อดคิดไม่ได้ว่า รางวัล มีความหมายอย่างไรต่อชีวิตคนบ้าง ลองเปิดพจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถานดู เขาก็บอกว่ารางวัลคือ สิ่งของหรือเงินที่ได้มาจากความดี ความชอบ หรือความสามารถย้อนทบทวนตอนเด็กๆ รางวัลแรกของฉันมาจากการวิ่งได้ที่ ๓ จากการวิ่งแข่งกันสี่คน (เกือบไป!) โชคดีได้ขึ้นแท่นรับรางวัลกับเขา ยิ้มแก้มแทบปริ และเมื่อถึงบ้านก็รีบเอาสมุดดินสอมาให้พ่อกับแม่ดู
สร้อยแก้ว
ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ภาพของเพื่อนสนิทคนหนึ่งในวันที่เข็นรถเด็กที่มีเด็กหญิงวัยแปดเดือนนั่งยิ้มแฉ่งเดินเล่นยามเย็นนอกเมืองก็โผล่ขึ้นมาในห้วงคำนึงในวันฝนตก ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวกันเลยสักนิด เธอดูมีความสุขปลอดโปร่งใจดีเหลือเกิน เธอบอกฉันว่า แต่ก่อน เธอมองชีวิตแบบเอ็นจีโอ ใส่เสื้อผ้าฝ้าย ใช้ข้าวของอย่างประหยัด หน้าตาไม่แต่ง เธอเชื่อมั่นในวิธีคิดแบบนั้น ศรัทธาคนเหล่านั้น แต่วันเวลาก็ทำให้เธอเห็นว่าคนเหล่านั้นก็เป็นเพียงปุถุชนธรรมดาๆ เท่านั้น พวกเขาไม่ได้ดีอย่างที่เรามอบความศรัทธาให้ เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงใช้ชีวิตตามแนวคิดอย่างนั้นได้อย่างเชื่อมั่นอยู่ตั้งหลายปี…
สร้อยแก้ว
สำหรับนักเขียน ยามคอมพิวเตอร์มีปัญหานับว่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว เพราะแต่ละวันไม่ว่ายังไงก็ต้องได้ลูบๆ เคาะๆ วันละนิดละหน่อยจนเคยชิน ครั้นเมื่อมันเกิดปัญหาขลุกขลัก แม้จะรู้สึกเซ็งๆ แต่ก็ต้องทนหอบหิ้วมันไปหาช่าง – คนที่เราคิดว่าเขารู้ดีกว่าเราแต่การเลือกช่างก็เหมือนการเลือกหมอรักษาอาการป่วยของเรานั่นแหละ หากยามใดเราไปเจอหมอที่วินิจฉัยโรคเราผิด จากที่ไม่ได้เป็นอะไรเลยแต่กลับบอกว่าเป็นโรคร้ายต้องผ่าตัดไปหลายยก เจ็บกาย เสียเวลา เสียเงิน เพื่อที่จะพบว่า ที่แท้เราไม่ได้เป็นอะไรเลย ความรู้สึกโกรธและไม่อาจทำใจยอมรับกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ…
สร้อยแก้ว
ชาวบ้านห้วยสะคามตื่นเต้น ใช้ไฟฟรี ประหยัดกันยกใหญ่! อยากให้พาดหัวข่าวแบบนี้ในหน้าหนังสือพิมพ์บ้างจัง แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กมากของประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ขัดแย้งใหญ่หลวงของบ้านเมืองยามนี้ นโยบายอะไรๆ ของรัฐบาลก็ไม่ดีทั้งนั้น ในฐานะที่ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรมากเกี่ยวกับนโยบายประชานิยม แต่ว่าพอเข้าใจหัวจิตหัวใจของชาวบ้านตาดำๆ ซึ่งเวลาลงคะแนนเลือกตั้งเสียงของเขาก็มีค่าเท่ากับศาสตราจารย์หรือด๊อกเตอร์ในเมืองไทย เขาก็มองเห็นผลดีผลได้เท่าที่จับต้องได้ ไม่ต้องอ้างเอ่ยว่าเขาซื้อเสียงง่ายหรอก แต่เขาเห็นว่าเขาได้อะไรจากรัฐบาลชุดที่แล้ว (ยุคทักษิณ) เขาถึงเลือกและชอบ
สร้อยแก้ว
ภาพจาก http://www.blogth.com/blog/ddimg/uploadimg/20070514/093435918.jpgอาจไม่ต้องถึงขั้นเป็นคอบอล เป็นแค่ผู้นิยมกีฬาฟุตบอลก็คงต้องอยากดูเกมระหว่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กับเชลซีเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมาว่าจะเป็นอย่างไร เปิดฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก เชลซีเดินหน้าชนะทุกนัดเก็บมาได้เก้าคะแนนเต็ม เป็นการออกสตาร์ทที่สวยงามและทั้งนักเตะทั้งแฟนบอลเต็มไปด้วยความฮึกเหิม ขณะที่แชมป์เก่าอีกทั้งยังเป็นแชมป์ถ้วยฟุตบอลสโมสรยุโรปซะด้วย กลับเก็บมาได้เพียงสี่คะแนน แพ้บ้าง เสมอบ้าง จนแฟนๆ ชักใจคอไม่ดี แม้ฤดูกาลที่แล้วก็ออกสตาร์ทไม่ดีเหมือนกันแต่สุดท้ายก็ได้ถ้วย…
สร้อยแก้ว
โขงเจียมคือชื่ออำเภอหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นที่รู้จักกันดีว่า เป็นเมืองที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครในสยามเพราะอยู่ทิศตะวันออกสุดของประเทศ และยังเป็นที่รู้จักอีกในฐานะที่มีแม่น้ำสายสำคัญของอีสานสองสายมาบรรจบคือแม่น้ำมูลและแม่น้ำโขง จุดที่บรรจบกันนั้นเรียกกันอย่างไพเราะว่า แม่น้ำสองสี โขงสีขุ่น มูลสีคราม (แต่ตอนนี้ขุ่นทั้งคู่ หากอยากเห็นมูลสีครามน่าจะเป็นช่วงหน้าแล้ง) โขงเจียมมีฐานะเป็นอำเภอ แต่อำเภอนี้เล็กเหมือนหมู่บ้าน ค่ำมาราวสักสองทุ่มก็เงียบแล้ว บางบ้านเข้านอน บางบ้านอาจจะยังนั่งพูดคุยกันอยู่หน้าบ้าน แต่คุยกันอย่างเงียบๆ ไม่กระโตกกระตาก สงบดีเหลือเกิน…
สร้อยแก้ว
ฤดูฝน นาพ่อสนเขียวไสวด้วยต้นข้าว ยามเช้าน้ำค้างชุ่มหญ้า ชุ่มพุ่มไม้ ครั้นเมื่อแสงแดดโผล่พ้นจากหมู่เมฆ ท้องนาสีเขียวยิ่งดูกระจ่างตา เหลียวมองรอบๆ แสนสบายตาสบายใจ เอ แล้วดอกอะไรกันหนอสีแดงขาว เป็นพุ่มไม้ใหญ่อยู่หน้าเถียงนาอีกแห่งนั่น ? เห็นแล้วก็อดคว้ากล้องเดินย่ำน้ำค้างบนคันนาไปหาดอกไม้นั้นไม่ได้ ไพจิตรเห็นก็วิ่งตามโดยทันใด เธอไม่ใส่รองเท้า ฉันบอกระวังหนาม ไพจิตรเงยหน้าขึ้นมองไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้ม เธอทำให้ฉันอดคิดถึงครั้งหนึ่งเมื่อเราไปเที่ยวช่องเม็ก ด่านชายแดนลาวด้วยกัน
สร้อยแก้ว
ฉันถ่ายรูปไพจิตรไว้หลายรูปทีเดียว จนอดไม่ได้ที่จะเขียนถึงเธออีกครั้ง ด้วยความที่เธอบริสุทธิ์เหลือเกิน บ้านของไพจิตรอยู่ในหมู่บ้าน แต่เธอและครอบครัวมักชอบไปนอนเถียงนาที่มีวัว ควาย หมู หมา ไก่ เป็นเพื่อน ในหมู่บ้าน บ้านเรือนมักจะปลูกติดๆ กัน อันเป็นธรรมดาของสังคมหมู่บ้าน ซึ่งสมัยก่อน บ้านเรือนอาจปลูกไม่ชิดกันมากขนาดนี้ แต่เมื่อลูกหลานสร้างครอบครัวกันขึ้นมาใหม่ เริ่มปลูกบ้านหลังใหม่เพิ่ม ลักษณะหมู่บ้านจึงดูหนาแน่นขึ้น ครอบครัวของพ่อสนซึ่งรักความสันโดษเลยพากันไปนอนเถียงนาที่แสนจะเงียบสงบ อากาศเย็นสบาย และฉันก็มักไปนอนที่นั่นด้วยบ่อยๆ
สร้อยแก้ว
ดาวใจและไพจิตร เป็นชื่อของเด็กหญิงสองพี่น้อง ลูกสาวแม่พร พ่อสน คนดูแลสวน-สถานที่ของศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้าน พ่อสนมีลูกทั้งหมดสิบคน ลูกชายสองคนก่อนหน้าดาวใจ ไพจิตร ชื่อไมโคร และ นูโว นัยว่าพ่อท่าจะชอบเสียงเพลงมากถึงตั้งชื่อลูกเป็นชื่อศิลปินนักร้อง ตอนนี้ลูกๆ ของพ่อสนที่ไม่ได้เอ่ยนามล้วนออกเรือน มีครอบครัว บ้างเสียชีวิต ลูกๆ ที่ยังอยู่กับพ่อสน แม่พร จึงมีสี่คนที่ว่า (ส่วนลูกชายอีกคนหนึ่งของพ่อสนที่เคยโด่งดังในม็อบปากมูนเมื่อหลายปีก่อน จนหนังสือพิมพ์หลายฉบับต่างเขียนถึงและลงบทสัมภาษณ์ คือดาวไฮปาร์คเด็กที่ชื่อ เปาโล ตอนนี้เปาโลโตเป็นหนุ่ม แต่งงานมีลูกแล้ว) ดาวใจกับไพจิตร เป็นเด็กหญิงที่ร่าเริง…