Skip to main content


ภาพจาก http://www.blogth.com/blog/ddimg/uploadimg/20070514/093435918.jpg


อาจไม่ต้องถึงขั้นเป็นคอบอล เป็นแค่ผู้นิยมกีฬาฟุตบอลก็คงต้องอยากดูเกมระหว่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กับเชลซีเมื่อวันอาทิตย์ที่
21 กันยายน ที่ผ่านมาว่าจะเป็นอย่างไร


เปิดฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก เชลซีเดินหน้าชนะทุกนัดเก็บมาได้เก้าคะแนนเต็ม เป็นการออกสตาร์ทที่สวยงามและทั้งนักเตะทั้งแฟนบอลเต็มไปด้วยความฮึกเหิม ขณะที่แชมป์เก่าอีกทั้งยังเป็นแชมป์ถ้วยฟุตบอลสโมสรยุโรปซะด้วย กลับเก็บมาได้เพียงสี่คะแนน แพ้บ้าง เสมอบ้าง จนแฟนๆ ชักใจคอไม่ดี แม้ฤดูกาลที่แล้วก็ออกสตาร์ทไม่ดีเหมือนกันแต่สุดท้ายก็ได้ถ้วย ทว่าจะให้เอาอดีตมาปลอบใจก็ไม่กล้าอ่ะ

ปีนี้รู้ๆ กันอยู่ว่าหลายทีมกำลังปรับฟอร์มการเล่นและเพิ่มนักเตะประสิทธิภาพสูงเข้ามาเสริมทีมด้วยอัตราการซื้อตัวที่สูงลิบลิ่ว ลงทุนเอาจริงเอาจังขนาดนี้ แฟนแมนยูฯ ใครจะกล้านอนใจ

เมื่อต้องแข่งกับเชลซีซึ่งเป็นคู่ชิงถ้วยฟุตบอลสโมสรยุโรปเมื่อต้นปี แฟนๆ ทุกคนจึงรู้ดีว่าหินแค่ไหน และก็รู้อีกนั่นแหละว่า แม้กุนซือจะออกมาบอกว่าผลแพ้ชนะก็เป็นแค่สามคะแนนธรรมดาๆ แต่ลึกๆ มันไม่ใช่ เพราะถ้าต้องแพ้เชลซี มันหมายถึงขวัญและกำลังใจของทุกคน (ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมโรนัลโด้มีผลต่อทีมและแฟนแมนยูฯ มากมายนัก บางทีฝีเท้านัดที่เขาลงเล่นอาจไม่ได้อันตรายอะไร แต่มันหมายถึงขวัญของเพื่อนร่วมทีมและแฟนๆ แค่เห็นหน้ากระโดดเหย็งๆ ยืนข้างกรรมการถือป้ายเปลี่ยนตัว คนก็เฮแล้ว จะชนะหรือเปล่าไม่รู้ แต่มันใจชื้นขึ้นอักโข)

หลังจากเช็คตารางการถ่ายทอดสด แน่ใจว่ามีแต่ช่องยูบีซีเท่านั้น ฉันก็ตัดสินใจว่าต้องไปหาร้านนั่งแล้วล่ะ แต่ที่โขงเจียมจะมีไหมนี่ เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ไม่เคยเห็นบรรยากาศการดูฟุตบอลเลย มีแต่ค่ำมาปิดบ้านนอน อาจต้องไปที่อำเภอพิบูลมังสาหาร ซึ่งไกลจากที่นี่สามสิบกิโลเมตร แต่จะมีหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจอีกเหมือนกัน เอาให้ชัวร์ก็ร้านข้าวต้มในอุบลฯ ไกลถึงแปดสิบโล จะเว่อร์ไปไหม

อย่ากระนั้นเลย ลองไปถามดูดีกว่า ก็ร้านเหล้าที่ว่ามีเพียงร้านเดียวที่ดนตรีเล่นนั่นแหละ ฉันจึงขับมอเตอร์ไซค์ไปถามว่ามีถ่ายทอดสดฟุตบอลช่องยูบีซีไหม เด็กในร้านตอบชัดถ้อยชัดคำ “มี”

โอ! โล่งใจ


ฉันไม่ต้องถ่อสังขารไปไหนไกลแล้ว กลับมารีบอาบน้ำ แต่งตัว ชวนน้องที่ศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านไปดูด้วยกัน ถึงร้านทุ่มครึ่งก็ครึ้มใจ เลือกนั่งข้างบน จะได้ไม่ต้องมีเสียงดนตรีรบกวน โต๊ะข้างบนมีโต๊ะหนึ่งที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว พวกเขามารอดูบอลคู่เดียวกันเลย เลยพากันยิ้ม อารมณ์ครึกครื้น ระหว่างรอให้ถึงสองทุ่มก็มองหน้าปิยะพงษ์ ผิวอ่อน, อิสรพงษ์ ผลมั่ง พากย์คู่อะไรไม่รู้ก่อนหน้านี้ไปก่อน มองไปครึ้มใจไป เอ้า ตัดโฆษณาอะไรก็ไม่รู้ ไม่เป็นไร เย็นใจ เย็นใจ


จวบเวลาล่วงเลยไปกว่าสิบนาที แขกโต๊ะแรกเริ่มกระสับกระส่ายเรียกเด็กมาให้เปิดคู่เชลซี-แมนยูฯ หน่อย เด็กจึงลงไปหาผู้จัดการร้านนานอีกหลายนาทีกว่าจะกลับมาบอกว่า คู่เชลซี-แมนยูฯ ไม่มีให้ดู (เข้าใจว่าทางร้านอาจจะซื้อแพ็คเก็จยูบีซีไม่ครบทุกช่อง) โต๊ะข้างๆ ทำหน้าผิดหวังเต็มแก่ พวกโต๊ะข้างล่างก็บ่นกันอุบจนได้ยินมาถึงข้างบน คืนนี้แขกในร้านแทบทุกโต๊ะต่างอยากมาดูบอลคู่นี้


ฉันไม่รู้จะบอกอย่างไรดีว่าเซ็งในอารมณ์แค่ไหน เรียกเด็กมาคิดตังค์และห่ออาหารให้หมด รวมทั้งเบียร์สดก็จัดใส่ถุง น้ำแข็งก็ใส่ถุง เก็บเรียบ เดี๋ยวไปหาดูที่อื่น


น้องขับรถวนในเมืองเผื่อว่าอาจจะมีร้านอื่นหรือว่ามีบ้านไหนเปิดดู อันที่จริง ฉันทำใจแล้ว กะว่าจะไปเปิดเน็ตมือถือที่ใช้อยู่แล้วฟังคลื่น FM 99.5 เอา แต่ระหว่างขับวนๆ ไปเรื่อยนั้นเองก็เห็นห้องแถวบ้านหนึ่ง รถมอเตอร์ไซค์จอดเรียงรายและรถปิกอัพสองคัน เหลือบตามองระหว่างขับผ่านไปช้าๆ ก็ยิ้มออกทันที เสื้อสีแดงวิ่งกันให้พล่านเต็มหน้าจอ


เราจอดรถและขอดูอย่างหน้ามึนเข้าไว้ อายก็ตอนแรกๆ เท่านั้นแหละ แป๊บเดียวเกมอันสนุกลุ้นระทึกก็ทำให้เราลืมเวลานาทีไป ไม่นานนัก น้องผู้ชายใส่ชุดนักศึกษาก็ขับมาจอดริมถนน ถามฉัน

พี่ มีใครนำหรือยัง”

แมนยูฯ”

เท่าไหร่”

หนึ่งศูนย์”

ใครยิง”

ปาร์ค จี ซอง”

น้องชายยิ้มแล้วขับจากไป ไม่ยอมหน้ามึนลงมาดูด้วย

คนดูวันนั้นมาจากหลายที่หลายทางเกือบยี่สิบคน ทั้งยืนทั้งนั่ง พวกยืนนอกบ้านก็พากันสูบบุหรี่ ฉันเองก็นั่งนอกบ้าน เผอิญหนุ่มๆ ใจดีให้เก้าอี้นั่ง


ผลบอลวันนั้นเสมอกันที่ 1:1 เป็นเกมที่สนุกแต่ก็อดเซ็งกรรมการหน่อยๆ ไม่ได้ที่แจกใบเหลืองว่อนให้แมนยูฯ ตั้งเจ็ดใบ


คืนนั้นฉันขับรถฝ่าอากาศหนาวเย็น ผ่านป่าดงแมกไม้สูงทะมึน มุ่งสู่โค้งฟ้ากว้างเวิ้งว้างข้างหน้า กลับมาบ้านอย่างสบายอารมณ์ รุ่งเช้า หวนคิดถึงบรรยากาศการดูบอลท่ามกลางคนแปลกหน้า มันคล้ายว่าสังคมเล็กๆ นี้จะขาดแคลน ทว่า โดยแท้จริงมันไม่ได้ขาดแคลนอะไรเลย


เพียงแต่อาจต้องขวนขวายสักหน่อย และการขวนขวายนั้นก็ทำให้ได้เห็นอะไรน่ารักๆ ระหว่างนั้นเสมอ

 

 

บล็อกของ สร้อยแก้ว

สร้อยแก้ว
นุ่มนิ่มเหลือเกิน ลูกแม่เอ๋ย นานวัน เนื้อตัวเจ้าอวบอิ่ม กอดได้แน่นเต็มกอด หอมแก้มเจ้าได้แรงๆ เสียงหัวเราะคิกๆ คักๆ ยามแม่เอาหน้าซุกพุงนิ่ม หรือสีข้างซี่โครงน้อย เจ้าร้องลั่น หัวเราะกรี๊ดๆ จั๊กจี้จั๊กกะเดียม แม่รู้ความลับของเจ้าแล้วสิ ว่าเจ้าเองก็บ้าจี้เหมือนแม่ แต่ยิ่งเจ้าเบี่ยงตัวหนีคิกๆ แม่ก็ยิ่งอยากแกล้ง เพราะอยากยินเสียงคักๆ คิกๆ กรี๊ดกร๊าดๆ
สร้อยแก้ว
ถึง ลุงแสงดาว เช้าวันนี้แม่ตื่นตั้งแต่ยังไม่ถึงตีห้าดี แม่ย่องมาเปิดคอมพิวเตอร์ เปิดอินเตอร์เน็ต (ยามเช้าๆ เน็ตแม่จะเดินได้เร็ว คงเพราะเป็นเวลาที่ไม่ค่อยมีใครใช้งาน คลื่นอากาศเลยเดินทางได้คล่อง) แม่คงคิดว่าจะแอบทำงานตอนหนูหลับล่ะสิ เรื่องอะไร หนูจะยอมให้แม่สนุกอยู่คนเดียวล่ะ หนูไหวตัวทันหรอกน่า เลยกลิ้งซะสองรอบแล้วยันขายันแขนลุกนั่ง ร้อง อื้อๆ แม่ก็หันขวับทันที
สร้อยแก้ว
  ตาน้ำอายุครบ ๗ เดือนในวันนี้แล้ว ลูกมีภาษาของลูก และรู้วิธีสื่อสารกับแม่ ๐ ถ้าลูกเบื่อนอนเล่นหรือการนั่งอยู่กับที่ ลูกอยากให้แม่พาเดินเล่น ลูกจะเงยหน้าร้องอ้อนด้วยการทำเสียงฮือๆ หรือบางทีทำเสียงแงๆ แต่ว่าไม่มีน้ำตาหรอก ลูกแกล้งทำ พอแม่อุ้ม ลูกก็จะยิ้มร่า พร้อมกับตบบ่าแม่แปะๆ เมื่อไหร่ที่ลูกตบบ่าแม่แปะๆ นั่นแปลว่า ไป ไป เหมือนว่าแม่เป็นม้างั้นเหอะ ตบก้นแล้วไปได้
สร้อยแก้ว
  ตาน้ำ ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นเองที่แม่หลบมารดน้ำให้หัวใจ รินลมหายใจแผ่วๆ ช้าๆ ตาน้ำ ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านี้เอง แต่มันทำให้แม่มีความสุข เพราะแม่สงบ ปลอดโปร่ง
สร้อยแก้ว
ตาน้ำ ยามเมื่อลูกนอนหลับ สิ่งที่แม่อยากทำที่สุดคืออะไรนะ เขียนหนังสือ, นอน, อยู่เฉยๆ ว่างๆ เพราะการเลี้ยงลูกเองมันเหนื่อยใช่เล่นเหมือนที่ใครหลายคนว่า แทบไม่ได้หายใจหายคอ ทั้งที่ยามลูกตื่นเราก็เล่นสนุกด้วยกัน มีความสุขเมื่อลูกอยู่ในอ้อมกอด ขำบ้าง ดุบ้างยามลูกยื้อแย่งจะเอาทุกอย่างในมือแม่
สร้อยแก้ว
  ตาน้ำ ลูกรู้สึกอย่างไรบ้างไหมขณะที่ลูกบินอยู่บนฟ้า ตาน้ำ ลูกดูดนมแม่แล้วหลับปุ๋ยขณะแม่กอดลูกไว้แนบอก แม่เหม่อมองท้องฟ้า เห็นเพียงปุยเมฆขาวฟูฟ่อง บนฟ้าช่างเวิ้งว้าง บ่อยครั้งที่แม่ไม่มั่นใจเลยว่าแม่จะเป็นแม่ที่ดีไหม แม่จะเลี้ยงลูกได้คู่ควรหรือไม่ แม่รู้สึกว่าแม่ต่ำต้อยเสมอเมื่อนึกถึงความไว้วางใจจากสวรรค์ให้ดูแลบุตรีน้อยๆ คนนี้
สร้อยแก้ว
    ตาน้ำ แม่เพิ่งรู้ว่า ยามลมพายุพัดระหว่างมีบ้านอยู่กลางหุบเขากับที่ราบโล่ง เสียงสายลมจะหวีดดังไม่เหมือนกัน
สร้อยแก้ว
แต่ก่อนฉันเคยใฝ่ฝันกับการมีบ้านมานาน แต่จนแล้วจนรอดก็มักจะรู้สึกว่ายังไม่ใช่เวลานั้น มันยังไม่ถึงเวลา ฉันยังอยากเดินทางท่องไปอยู่ ยังอยากพบเจออะไรใหม่ๆ อยู่ ดังนั้น หลายครั้งหลายหนเมื่อพบเจอปลอกหมอน ฟูกนอนพื้นบ้าน ผ้าพื้นเมืองลายคลาสสิก แก้ว จาน ชาม เซรามิกที่ถูกใจก็มักจะซื้อเก็บไว้ แต่ก็ไม่ค่อยได้นำเอาออกมาใช้
สร้อยแก้ว
  ฉันได้แต่อมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงดุๆ ของคนขายของชำที่มีต่อเด็กหญิงตัวเล็กๆ คะเนอายุเธอน่าจะประมาณสามขวบคนขายของถามเด็กหญิงว่า "เอาอะไร"เด็กหญิงตอบอ้อมแอ้ม น้ำเสียงลังเล "เอา...เอา... เอานม!"
สร้อยแก้ว
ช่วงปิดเทอม ดาวใจกับไพจิตรได้เข้ามาที่ศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านเกือบทุกวันเพราะพ่อแม่ของเธอมารับจ้างสับมัน (มันสำปะหลัง) กับสหกรณ์ปากมูล (สหกรณ์ปากมูลและศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านอยู่ติดกัน) บางครั้งดาวใจก็รับจ้างด้วย เพราะเธอโตแล้ว อายุสิบสี่ปีกว่า เธอทำงานแบบนี้ได้สบายมาก ส่วนไพจิตรยังคงเป็นเด็กหญิงซนๆ วิ่งไปวิ่งมา ทำงานตามแต่คำบัญชาการของพ่อแม่