Skip to main content

 

 

ตาน้ำ
แม่เพิ่งรู้ว่า ยามลมพายุพัดระหว่างมีบ้านอยู่กลางหุบเขากับที่ราบโล่ง เสียงสายลมจะหวีดดังไม่เหมือนกัน


ค่ำวันนี้ เมื่อแม่เห็นลูกนอนในเปลผ้าฝ้ายหลับสนิทดีแล้ว แน่ใจว่าลูกหลับลึกพอ แม่ก็เดินเข้าบ้านไปเอาผ้าเช็ดตัวเตรียมอาบน้ำ แต่เมื่อเดินออกมา เสียงสายลมจากทิศตะวันออกไกลก็ทำให้แม่แน่ใจได้ทันทีว่ามีพายุแน่ แม้ว่าก่อนหน้านี้แม่จะอุ้มลูกแนบอก ยังชี้ชวนให้ลูกดูพระจันทร์ครึ่งซีกที่รายล้อมด้วยดวงดาวแจ่มใส สำหรับหน้าฝน ยามฟ้าแจ่ม ก็แจ่มเหลือเกิน ท้องฟ้าโปร่งโล่ง สีท้องฟ้ารอบดวงจันทร์นวลตานวลใจ


แต่ก็นั่นแหละ นี่คือหน้าฝน อะไรๆ มันก็ไม่แน่ไม่นอนทั้งนั้น เมื่อแม่ได้ยินเสียงลมหวีดหวือ แม้รู้ดีว่าเสียงนั้นอยู่ไกล แต่อยู่ไกลขนาดนั้นยังดังให้ได้ยินขนาดนี้ แม่ก็วิ่งมาใต้ถุนบ้าน บอกพ่อว่า “พายุมาแน่”


แล้วแม่ก็รีบอุ้มลูกออกจากเปลใต้ถุนบ้าน ลูกยังหลับสนิทไม่ได้ตกใจตื่นเลย แม่เอาผ้าคลุมหัวลูกไว้ก่อนเดินออกจากเรือน


แม่มีความเชื่อเหมือนคนโบราณเชื่อ เพราะแม่ของแม่บอกแม่มาเช่นนี้ ออกจากเรือนชานให้หาผ้าคลุมกระหม่อมลูกไว้ ขวัญลูกยังไม่แข็งนัก จะทำอะไรแม่ก็หวั่นกลัวเสมอว่าลูกจะตกใจหรือผวากับโลกกว้างใบนี้


แม่ก้าวเดินเพียงสองสามก้าว ลมที่ว่าดังหวือๆ ก็มาถึงเร็วเกินคาด ระลอกแรกที่สายลมพัดมาถึงมันแรงเสียจนพ่อที่ยังดูงงๆ ว่าทำไมแม่อุ้มลูกเข้าบ้านด้วยท่าทีรีบร้อนนักต้องหันมางงกับลมแรงแทน ส่วนแม่วิ่งจ้ำอ้าว ปากก็ท่องคาถาที่ยายของลูกสอนมา “เกศาโลมา นะขาปันต๋านะติ...”


มันเป็นคาถาปกป้องดูแลลูกจ้ะ แปลว่าอะไร แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าท่องแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะคุ้มครองป้องกันภัยให้ลูก แม่ก็ท่อง


เข้าบ้านได้แม่ก็อุ้มลูกไปบนเตียง กางมุ้งให้ ลูกหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่อง ถึงตอนนี้ลมแรงมาก สังกะสีที่วางปิดตุ่มน้ำใบใหญ่ข้างบ้านปลิวลงพื้นดังโคร้งเคร้ง เสียงลมพัดแรงน่ากลัวมาก มองดูลูกที่หลับไหลไม่รับรู้โลกภายนอกแน่ใจว่าลูกคงไม่ตื่นง่ายๆ แม่ก็เดินออกมา ทีแรกว่าจะไปช่วยพ่อเก็บข้าวของใต้ถุนบ้าน แต่ลมพัดแรงจัดจนแม่ต้องวิ่งคืนเข้าบ้าน ตะโกนถามพ่อไปว่า “เก็บเองได้ไหม” ถามไปอย่างนั้นแหละ เพราะรู้ดีว่า พ่อของลูกคงไม่พูดหรอก อยากช่วยก็มา ไม่ต้องถามมาก ในใจพ่อคงจะตอบอย่างนี้มากกว่า


แม่กลับเข้าไปนอนในมุ้งกับลูก แม่เกรงว่าเสียงฟ้าร้องจะทำให้ลูกตื่นตกใจ แม่นอนชิดลูก กอดลูกไว้เบาๆ เสียงลมตอนนี้ไม่ใช่ดังหวือๆ แล้ว แต่มันดังน่ากลัวมากมันเหมือนจะพัดบ้านไปได้ทั้งหลังจนแม่อดนึกถึงพายุทอร์นาโดในหนัง Twister ไม่ได้ ในหัวจินตนาการไปถึงว่าแม่ควรจะหลบไปอยู่ตรงไหนดีถึงจะปลอดภัย ซุกแอบกับกำแพงบ้านฝั่งไหนที่จะไม่พัง แต่บ้านดินหลังนี้คงพังทั้งหลังแน่ๆ แล้วลมจะพัดแม่กับลูกขึ้นไปอยู่ในวงหมุนของทอร์นาโด แม่คงจะอุ้มลูกไว้แนบอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแม่จะอุ้มลูกแน่น แน่นยิ่งกว่าตอนพาลูกวิ่งเข้าบ้านเมื่อตะกี้เสียอีก


อืมม์... ดูแม่จินตนาการซิ คิดไปได้อย่างไร

แม่หัวเราะให้ตัวเอง

ลมหมุน เราสองคนล่องลอยอยู่บนฟ้า ลูกจะไม่มีวันพลัดพรากจากแม่ และลูกจะไม่มีวันเป็นอะไร แม่จะปกป้องด้วยชีวิตแม่ ลูกรัก


ไม่นาน พ่อของลูกวิ่งเข้าบ้าน เข้ามุ้งมาก็มองดูลูกก่อนอันดับแรก พ่อเข้ามานอนอีกข้างหนึ่งของลูก และพ่อกับแม่ก็แย่งกันกอดลูกเช่นเคย เราสองคนเป็นแบบนี้จนแม่เหนื่อยบ่อยๆ เหนื่อยกับการสงสัยว่าทำไมเราสองคนชอบแย่งกันเลี้ยงลูกจัง


ตาน้ำ

นั่นเป็นเพราะแม่กับพ่อรักลูกจ้ะ

เราอาจจะขัดแย้งเรื่องวิธีเลี้ยงลูกในบางครั้ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นพ่อกับแม่ต่างอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกเท่านั้น


พ่อเข้ามานอนพลางพึมพำว่า ของกินในกระจาดที่แขวนไว้กระจัดกระจายหมดแล้ว ช่างมัน

แม่บอกว่า นี่ถ้าแม่ทันได้อาบน้ำก่อนคงจะดีมากๆ แม่คงจะหลับไปเลยพร้อมลูกท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายเช่นนี้ ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว สถานการณ์อย่างนี้เวลาที่มีพ่ออยู่แม่จะสบายใจมาก เพราะรู้ว่าถ้าพ่อไม่กลัวอะไรก็แปลว่าไม่มีอะไรน่ากลัว แม่สิมักจะตื่นตูมอยู่เสมอ


ฝนลงหนักพักใหญ่ เมื่อพายุหายพ่อก็ออกจากมุ้งกลับไปที่ใต้ถุนบ้าน ไม่นานแม่ก็ตามออกไป ฝนซาลงไปมาก แม่พาดผ้าเช็ดตัวกับบ่าเตรียมไปอาบน้ำ ใต้ถุนบ้านที่เราใช้อาศัยอยู่ช่วงกลางวันบัดนี้พื้นดินมีน้ำเจิ่งนอง พ่อเตรียมกับข้าวไว้แล้ว

กินข้าวก่อนสิ”


แม้ลมพัดเทของกระจาย แต่ก็ยังเหลือกับข้าวไว้บางส่วน แม่บอกพ่อว่า แม่จะอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมากิน แม่มองออกไปทางฝั่งทุ่งนา เห็นดวงไฟส่องแสงตรงโน้นตรงนี้ แม่ได้แต่ยิ้ม ภาพนี้เมื่อปีที่แล้วตอนเห็นครั้งแรกแม่ตื่นเต้นมาก มันเป็นภาพชีวิตที่สวยงามจริงๆ ค่ำคืนที่ฉ่ำชื้น ชีวิตดีดดิ้นไปตามฤดูกาลและความผันแปรของธรรมชาติ พวกเขาออกไปหากบกันจ้ะ ลูก ชาวบ้านเรียกการส่องดวงไฟหาสัตว์นี้ว่า ไต้ ถ้าหากบก็เรียกว่าไต้กบ ถ้าหากะปอม (กิ้งก่า) ก็ไต้กระปอม ไต้อึ่ง ไต้เขียด ไต้แมงจินูน โปรตีนชั้นดี ปลอดสารพิษ ของคนอีสาน ตอนแม่ตั้งท้องลูก แม่ก็ได้กินแมงจินูนและอึ่งสำหรับหล่อเลี้ยงสองชีวิตเราเหมือนกัน


ตาน้ำ คืนนี้ แม่กินข้าวท่ามกลางอากาศที่เย็นสดชื่นยิ่งนัก

เดี๋ยวนี้หลังแม่อาบน้ำแม่แทบไม่ทาแป้งแล้ว เพราะแม่กลัวแป้งเปื้อนอก ทำให้เวลาลูกดูดนมลูกอาจจะกินแป้งเข้าไปด้วย ส่วนเครื่องสำอางต่างๆ แม่ก็ไม่ได้ใช้ อันนี้เป็นเพราะว่าครีมของแม่หมด หมดมาสามเดือนก่อนแม่จะคลอดลูกเสียอีก แล้วแม่ก็ไม่มีเวลาไปซื้อ แต่อย่าว่าเพียงแค่จะหาเวลาไปซื้อเลย เพราะนับตั้งแต่แม่คลอดลูก แค่แม่ได้อาบน้ำก่อนนอนนี่ ก็นับเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว เพราะเดือนแรกนั้นมีหลายคืนมากที่แม่หลับไปทั้งที่ไม่ได้อาบน้ำ แม่เหนื่อยเกินไปและยังอ่อนเพลียเพราะสุขภาพยังไม่เข้าที่ แต่ตอนนี้แม่ทำได้มากกว่านั้นอีกแน่ะ แม่สามารถอาบน้ำได้วันละสองครั้งซึ่งมันหมายถึงว่าความเป็นอยู่ของแม่เริ่มใกล้เคียงวิถีปกติที่แม่เคยเป็นแล้ว เหลืออยู่อีกอย่างที่แม่อยากทำ แต่ยังหาเวลาได้ยากมาก ก็คือ การเขียนหนังสือ แต่แม่ก็พยายามอยู่ อย่างที่แม่กำลังเริ่มต้น ณ เวลานี้ คือเขียนบันทึกถึงลูก

 

ตาน้ำ แม่ว่าตอนนี้แม่คงไม่สวยเอามากๆ แล้วล่ะ เพราะแม่เองก็ไม่ได้ดูกระจกมานานหลายเดือนแล้ว มีบางครั้งเหมือนกันที่แม่เคยคิดว่าหากแม่มีเวลามากขึ้น แม่จะดูแลตัวเองให้มากกว่านี้ แม่ก็ยังอยากสวยอยู่นะ แต่ยังไงลูกก็ต้องมาก่อน


ตาน้ำ ตอนนี้ลูกอายุสองเดือนสามอาทิตย์แล้ว
แม่รู้สึกว่าชีวิตแม่เปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน

 

แม่สร้อย
31
สิงหาคม 52

 

 

บล็อกของ สร้อยแก้ว

สร้อยแก้ว
นุ่มนิ่มเหลือเกิน ลูกแม่เอ๋ย นานวัน เนื้อตัวเจ้าอวบอิ่ม กอดได้แน่นเต็มกอด หอมแก้มเจ้าได้แรงๆ เสียงหัวเราะคิกๆ คักๆ ยามแม่เอาหน้าซุกพุงนิ่ม หรือสีข้างซี่โครงน้อย เจ้าร้องลั่น หัวเราะกรี๊ดๆ จั๊กจี้จั๊กกะเดียม แม่รู้ความลับของเจ้าแล้วสิ ว่าเจ้าเองก็บ้าจี้เหมือนแม่ แต่ยิ่งเจ้าเบี่ยงตัวหนีคิกๆ แม่ก็ยิ่งอยากแกล้ง เพราะอยากยินเสียงคักๆ คิกๆ กรี๊ดกร๊าดๆ
สร้อยแก้ว
ถึง ลุงแสงดาว เช้าวันนี้แม่ตื่นตั้งแต่ยังไม่ถึงตีห้าดี แม่ย่องมาเปิดคอมพิวเตอร์ เปิดอินเตอร์เน็ต (ยามเช้าๆ เน็ตแม่จะเดินได้เร็ว คงเพราะเป็นเวลาที่ไม่ค่อยมีใครใช้งาน คลื่นอากาศเลยเดินทางได้คล่อง) แม่คงคิดว่าจะแอบทำงานตอนหนูหลับล่ะสิ เรื่องอะไร หนูจะยอมให้แม่สนุกอยู่คนเดียวล่ะ หนูไหวตัวทันหรอกน่า เลยกลิ้งซะสองรอบแล้วยันขายันแขนลุกนั่ง ร้อง อื้อๆ แม่ก็หันขวับทันที
สร้อยแก้ว
  ตาน้ำอายุครบ ๗ เดือนในวันนี้แล้ว ลูกมีภาษาของลูก และรู้วิธีสื่อสารกับแม่ ๐ ถ้าลูกเบื่อนอนเล่นหรือการนั่งอยู่กับที่ ลูกอยากให้แม่พาเดินเล่น ลูกจะเงยหน้าร้องอ้อนด้วยการทำเสียงฮือๆ หรือบางทีทำเสียงแงๆ แต่ว่าไม่มีน้ำตาหรอก ลูกแกล้งทำ พอแม่อุ้ม ลูกก็จะยิ้มร่า พร้อมกับตบบ่าแม่แปะๆ เมื่อไหร่ที่ลูกตบบ่าแม่แปะๆ นั่นแปลว่า ไป ไป เหมือนว่าแม่เป็นม้างั้นเหอะ ตบก้นแล้วไปได้
สร้อยแก้ว
  ตาน้ำ ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นเองที่แม่หลบมารดน้ำให้หัวใจ รินลมหายใจแผ่วๆ ช้าๆ ตาน้ำ ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านี้เอง แต่มันทำให้แม่มีความสุข เพราะแม่สงบ ปลอดโปร่ง
สร้อยแก้ว
ตาน้ำ ยามเมื่อลูกนอนหลับ สิ่งที่แม่อยากทำที่สุดคืออะไรนะ เขียนหนังสือ, นอน, อยู่เฉยๆ ว่างๆ เพราะการเลี้ยงลูกเองมันเหนื่อยใช่เล่นเหมือนที่ใครหลายคนว่า แทบไม่ได้หายใจหายคอ ทั้งที่ยามลูกตื่นเราก็เล่นสนุกด้วยกัน มีความสุขเมื่อลูกอยู่ในอ้อมกอด ขำบ้าง ดุบ้างยามลูกยื้อแย่งจะเอาทุกอย่างในมือแม่
สร้อยแก้ว
  ตาน้ำ ลูกรู้สึกอย่างไรบ้างไหมขณะที่ลูกบินอยู่บนฟ้า ตาน้ำ ลูกดูดนมแม่แล้วหลับปุ๋ยขณะแม่กอดลูกไว้แนบอก แม่เหม่อมองท้องฟ้า เห็นเพียงปุยเมฆขาวฟูฟ่อง บนฟ้าช่างเวิ้งว้าง บ่อยครั้งที่แม่ไม่มั่นใจเลยว่าแม่จะเป็นแม่ที่ดีไหม แม่จะเลี้ยงลูกได้คู่ควรหรือไม่ แม่รู้สึกว่าแม่ต่ำต้อยเสมอเมื่อนึกถึงความไว้วางใจจากสวรรค์ให้ดูแลบุตรีน้อยๆ คนนี้
สร้อยแก้ว
    ตาน้ำ แม่เพิ่งรู้ว่า ยามลมพายุพัดระหว่างมีบ้านอยู่กลางหุบเขากับที่ราบโล่ง เสียงสายลมจะหวีดดังไม่เหมือนกัน
สร้อยแก้ว
แต่ก่อนฉันเคยใฝ่ฝันกับการมีบ้านมานาน แต่จนแล้วจนรอดก็มักจะรู้สึกว่ายังไม่ใช่เวลานั้น มันยังไม่ถึงเวลา ฉันยังอยากเดินทางท่องไปอยู่ ยังอยากพบเจออะไรใหม่ๆ อยู่ ดังนั้น หลายครั้งหลายหนเมื่อพบเจอปลอกหมอน ฟูกนอนพื้นบ้าน ผ้าพื้นเมืองลายคลาสสิก แก้ว จาน ชาม เซรามิกที่ถูกใจก็มักจะซื้อเก็บไว้ แต่ก็ไม่ค่อยได้นำเอาออกมาใช้
สร้อยแก้ว
  ฉันได้แต่อมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงดุๆ ของคนขายของชำที่มีต่อเด็กหญิงตัวเล็กๆ คะเนอายุเธอน่าจะประมาณสามขวบคนขายของถามเด็กหญิงว่า "เอาอะไร"เด็กหญิงตอบอ้อมแอ้ม น้ำเสียงลังเล "เอา...เอา... เอานม!"
สร้อยแก้ว
ช่วงปิดเทอม ดาวใจกับไพจิตรได้เข้ามาที่ศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านเกือบทุกวันเพราะพ่อแม่ของเธอมารับจ้างสับมัน (มันสำปะหลัง) กับสหกรณ์ปากมูล (สหกรณ์ปากมูลและศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านอยู่ติดกัน) บางครั้งดาวใจก็รับจ้างด้วย เพราะเธอโตแล้ว อายุสิบสี่ปีกว่า เธอทำงานแบบนี้ได้สบายมาก ส่วนไพจิตรยังคงเป็นเด็กหญิงซนๆ วิ่งไปวิ่งมา ทำงานตามแต่คำบัญชาการของพ่อแม่