Skip to main content

เรื่องที่ผมจะเอามาเล่าสู่กันฟังเป็นความเดือดร้อนแสนสาหัสของน้องสองคนซึ่งได้รับผลกระทบจากการประกาศภาวะฉุกเฉิน เคอร์ฟิว ในช่วงที่มีการปราบปรามและสลายการชุมนุม   ซึ่งมันเกี่ยวพันกับชีวิตคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆมากขึ้น เพราะสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมามีการชุมนุมทางการเมืองถี่ยิบอย่างที่เราทราบกันดี และตั้งแต่ประเทศไทยมีกฎหมายความมั่นคง 3 ฉบับ คือ กฎอัยการศึก พรก.สถานการณ์ฉุกเฉินฯ พรบ.ความมั่นคง   รัฐบาลก็มักประกาศใช้กฎหมายเหล่านี้เพื่อควบคุมและสลายการชุมนุมในหลายพื้นที่เป็นเวลานานๆ จนเกิดผลกระทบกับคนทั่วไปที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ จึงขอนำมาวิเคราะห์เผื่อว่าเกิดปัญหากับท่านจะได้รู้แนวทางแก้ไข เนื่องจากไม่ง่ายเลยที่จะหลุดพ้นออกจากปัญหาเมื่อต้องมาเผชิญกับคดีความมั่นคง

เหตุการณ์แรกเกิดจาก น้าสะใภ้ของนักศึกษาได้เขียนเช็คเงินสดไว้ล้วงหน้าให้แก่ลูกค้าและลูกน้องอีกจำนวน 4-6 คนตามธรรมดาของการประกอบธุรกิจ   โดยตัวน้าของเขาเป็นคนเชียงใหม่มีกิจการส่วนใหญ่อยู่ที่นี่แต่ก็มีลูกค้าและเจ้าหนี้อยู่ที่กรุงเทพ รวมถึงลูกน้องส่วนหนึ่งที่ส่งไปเฝ้ากิจการและขนส่งสินค้าที่กรุงเทพฯ   การเขียนเช็คเหล่านี้ก็เป็นธุรกรรมธรรมดาที่นาสะใภ้มักจะทำอยู่แล้วทุกเดือนตามประสาคนทำธุรกิจ โดยไม่ทราบว่าจะเกิดเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงขึ้นในเดือนมีนาคมปี 2553  และไม่ทราบว่ากลุ่มลูกค้าเหล่านั้นจะนำเช็คเงินสดไปขึ้นธนาคารเป็นช่วงเวลาพร้อมๆกัน แต่ก็เดาได้ว่าเป็นช่วงก่อนหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ลูกค้าคงอยากจะนำเงินออกมาเพื่อไปใช้จ่ายหรือแจกจ่ายลูกน้องก่อนจะไปพักผ่อนเหมือนกับคนทั่วไปที่มักจะปิดร้านยาวๆเพื่อให้ทุกคนกลับบ้านหรือไปเที่ยวต่างจังหวัด จึงทำให้ยอดรวมของจำนวนเงินที่เกิดจาการทำธุรกรรมผ่านในช่วงนั้นเกินยอดจำกัด 2,000,000 บาท    

น้าสะใภ้ของนักศึกษาจึงถูกรัฐสั่งอายัดเงินทั้งหมดในทุกธนาคารของน้าสะใภ้ไม่ให้สามารถทำธุรกรรมใดๆได้   จนกว่ายอดเงินที่เกิดการถ่ายเทในวันนั้นจะได้รับการตรวจสอบสอบจากทาง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)  แล้วว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้ชุมนุม จนกระทั่ง ณ ขณะที่เข้ามาปรึกษาก็เป็นเวลากว่าสองปีแล้วทางรัฐบาลก็ยังตรวจสอบไม่เสร็จ ทำให้ธุรกิจของน้าสะใภ้ต้องปิดกิจการลงไปโดยไม่รู้ว่าจะแก้ไขยังไงเนื่องจากได้พยายามชี้แจงอย่างถึงที่สุดแล้วแต่ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือหรือแก้ไขให้เลย   เพราะน้าสะใภ้ก็ได้หาหลักฐานบิลชำระเงินในการทำธุรกิจกับลูกค้าเหล่านั้น รวมถึงเอาสำเนาการส่งแฟ็กซ์ที่ใช้ทำธุรกิจมารับรองความบริสุทธิ์ และไปขึ้นศาลเพื่อแจ้งความบริสุทธิ์ใจต่อศาลตามการนัดหมายของศาลทุกครั้ง แต่เรื่องก็ยังไม่สิ้นสุด กลายเป็นกิจการของน้าสะใภ้ต้องจบลงแทน โดยไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือหรือชดเชยความเสียหายให้เลย

อีกกรณีเป็นกลุ่มน้องๆ ที่พ่อแม่ร้องห่มร้องไห้เข้ามาขอความช่วยเหลือ เนื่องจากน้องๆ โดนรวบจับในวันที่มีการประกาศเคอร์ฟิวตามกฎอัยการศึกในช่วงที่มีการสลายชุมนุมคนเสื้อแดงในเดือนพฤษภาคมปี 2553   สาเหตุที่น้องๆกลุ่มนี้โดนจับกุมก็เพราะพวกน้องๆได้รวมกลุ่มกันประมาณสิบคนมีมอเตอร์ไซค์ห้าคันขับขี่ออกไปรวมกลุ่มกันเป็นประจำเหมือนที่ทำช่วงมาตลอดในทุกช่วงสุดสัปดาห์   แต่คราวนี้ไปเจอด่านของเจ้าหน้าที่ทหารดักไว้ไม่ให้ผ่าน และบอกว่าไม่รู้หรือไงว่านี่เป็นช่วงอัยการศึกห้าออกจากบ้านเวลากลางคืน แถมยังมากันเป็นกลุ่มใหญ่อีก จะไปก่อกวนหรือชุมนุมที่ไหนหรือเปล่า   เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวและส่งไปควบคุมตัวที่สถานีตำรวจเพื่อรอสั่งฟ้องและส่งขึ้นศาล พ่อแม่ของน้องๆในตอนแรกที่ทราบเรื่องก็นึกว่าเป็นการตรวจจับแก๊งค์ซิ่งมอเตอร์ไซค์ของตำรวจที่เคยเห็นข่าวก็จะไปขอประกันตัว   แต่ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ใช่คดีซิ่งมอเตอร์ไซค์ก่อกวนซึ่งเป็นความผิดอาญาทั่วไป แต่กรณีนี้เป็นการฝ่าฝืนกฎอัยการศึก เป็นความผิดฐานภัยต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรจะต้องถูกควบคุมตัวและไปขอประกันตัวในวันรุ่งขึ้นที่จะมีการนำเรื่องไปฟ้องศาล   ซึ่งเรื่องนี้เมื่อไปถึงอัยการน้องๆทั้งกลุ่มก็ถูกสั่งฟ้องและไปขึ้นศาลอาญาทันทีในวันรุ่งขึ้น  

พ่อแม่ก็พากันไปขอประกันตัวลูกแต่ศาลได้ใช้ดุลยพินิจไม่ให้ประกันตัวเนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ของรัฐคัดค้านโดยให้เหตุผลว่าเป็นช่วงประกาศกฎอัยการศึกมีแนวโน้มว่าวัยรุ่นกลุ่มนี้จะออกไปสร้างความไม่สงบจึงขอให้ควบคุมตัวไว้ก่อน   ซึ่งเยาวชนกลุ่มนี้ก็ถูกควบคุมตัวไว้ตลอดช่วงปราศอัยการศึก   จนพ่อแม่เข้ามาร้องให้ทางเราช่วยประสานไปยังองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย รวมทั้งองค์กรที่ช่วยเหลือด้านสิทธิเด็ก และองค์กรระหว่างประเทศ   รวมถึงทนายความที่กลาเข้ามาช่วยทำคดีให้ซึ่งมีน้อยเหลือเกิน  เรื่องนี้เยาวชนกลุ่มนี้ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฝ่าฝืนกฎอัยการศึกและถูกจำคุกอยู่ถึง 6 เดือนกว่าจะได้ออกมา   แม้จะมีความพยายามขององค์กรทั้งไทยและระหว่างประเทศแต่ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย แม้เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าเด็กเหล่านี้เป็นเพียงวัยรุ่นที่ออกไปเที่ยวเตร่ แต่ดูเหมือนกลไกทั้งหลายของรัฐจะไม่สนใจ เพียงแต่บังคับใช้กฎหมายไปตามลายลักษณ์อักษรโดยไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายในการป้องกันการก่อการร้ายดังที่อ้างไว้   แต่ที่อันตรายกว่า คือ เมื่อรัฐต้องเลือกระหว่างจับกุมลงโทษไว้ก่อนด้วยเหตุของความมั่นคงแห่งรัฐ กับ การประกันสิทธิเสรีภาพของบุคคล   รัฐกลับเลือกที่จะลงทัณฑ์กับบุคคลไว้ก่อนโดยมิไดพิจารณาถึงราละเอียดของข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันการลงโทษผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเมือง

วิเคราะห์ปัญหา

1.      รัฐมีอำนาจในการอายัดเงินในบัญชีของเรา หรือตรวจสอบสถานะทางการเงินและธุรกรรมผ่านธนาคารของเราได้หรือไม่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน

2.      ใครเป็นผู้มีหน้าที่ในการนำสืบวาเงินนั้นเกี่ยวข้องกับกับการก่อการร้าย ก่อความไม่สงบ หรือหาหลักฐานมายืนยันว่าเงินนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมาย

3.      หากถูกจับ ถูกควบคุมตัว จะดำเนินการอย่างไรได้บ้างในช่วงที่การประกาศสถานการณ์พิเศษเหล่านั้น

4.      ใครเป็นผู้มีอำนาจในการประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉิน” “สถานการณ์ความไม่สงบ” “ภาวะอัยการศึก” ให้ใช้กฎหมายความมั่นคง จะมีการห้ามหรือตรวจสอบถ่วงดุลก่อนประกาศได้ไหม

5.      หากเราได้รับผลกระทบจากการประกาศภาวะฉุกเฉินทั้งหลายจะทำอย่างไรได้บ้าง

6.      เราจะขอให้มีการปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายความมั่นคงเหล่านี้ไม่ให้มาละเมิดสิทธิของเราได้หรือไม่

การนำกฎหมายมาแก้ไข

1.      รัฐมีอำนาจในการอายัดเงินในบัญชี หรือตรวจสอบสถานะทางการเงินและธุรกรรมผ่านธนาคารของผู้ที่ต้องสงสัยว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่งบต่างๆในสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากชุดกฎหมายความมั่นคงเหล่านี้ให้อำนาจไว้

2.      กฎหมายความมั่นคงทั้งสามรวมถึงกฎหมายต่อต้านการฟอกเงินฯ ได้กำหนดให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาเป็นผู้มีหน้าที่ในการนำสืบวาเงินนั้นเกี่ยวข้องกับกับการก่อการร้าย ก่อความไม่สงบ หรือหาหลักฐานมายืนยันว่าเงินนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมาย

3.      หากประชาชนถูกจับ ถูกควบคุมตัว ในช่วงที่การประกาศสถานการณ์พิเศษเหล่านั้น สามารถขอใช้สิทธิในกระบวนการยุติธรรมทั้งหลายได้ เช่น การมีทนาย การไม่ถูกปรักปรำโดยคำให้การของตนเอง การร้องให้มีการดำเนินคดีโดยปราศจากอคติ และไม่ถูกปฏิบัติเสมือนเป็นนักโทษจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด   นั่นหมายความว่ามีสิทธิขอให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อเตรียมตัวต่อสู้คดีด้วย   หากกลไกภายในรัฐไม่อาจอำนวยความยุติธรรมได้อีกต่อไปอาจร้องทุกข์ผ่านกลไกระหว่างประเทศต่อไป

4.      รัฐบาลโดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้น ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง การรัฐประหาร ก็เป็นผู้มีอำนาจในการประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉิน” “สถานการณ์ความไม่สงบ” “ภาวะอัยการศึก” ให้ใช้กฎหมายความมั่นคง ซึ่งไม่มีกลไกห้ามหรือตรวจสอบถ่วงดุลก่อนประกาศแต่อย่างใด เมื่อประกาศแล้วอำนาจในการสั่งการเจ้าพนักงานจะไปรวมอยู่ที่หัวหน้าศูนย์อำนวยการ เช่น ศอ.ฉ. ศอ.รส. ศอ.อ. เป็นต้น

5.      หากเราได้รับผลกระทบจากการประกาศภาวะฉุกเฉินทั้งหลายจะสามารถฟ้องต่อศาลยุติธรรมเพื่อให้ลงโทษเจ้าหน้าที่และชดเชยค่าเสียหายได้แต่เราต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าการกระทำของรัฐเป็นการใช้อำนาจโดยทุจริต มีอคติ และไม่ชอบด้วยกฎหมาย    ส่วนการฟ้องมิให้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งหลายต้องฟ้องในศาลปกครองเพื่อยกเลิกรายละเอียดของคำสั่งเป็นบางข้อที่ฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญ  

6.      เราจะขอให้มีการปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายความมั่นคงเหล่านี้ไม่ให้มาละเมิดสิทธิของเราได้โดยการฟ้องในศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองเพื่อยกเลิกกฎหมายทั้งฉบับ หรือบางมาตรที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ

ช่องทางเรียกร้องสิทธิ

1.      การใช้อำนาจรัฐมีอำนาจในการอายัดเงินในบัญชี ต้องร้องเรียนต่อ ปปง. หรือ ปปช. หากพบว่ามีลักษณะทุจริต เช่น กลั่นแกล้งโดยปราศจากเหตุน่าเชื่อถือ หรือเรียกรับสินบน

2.      หากประชาชนถูกจับ ถูกควบคุมตัว ในช่วงที่การประกาศสถานการณ์พิเศษเหล่านั้น สามารถขอใช้สิทธิในกระบวนการยุติธรรมทั้งหลายกับเจ้าหน้าที่ปกครองที่จับกุม ตำรวจ อัยการ และศาลอาญาหากใช้กลไกภายในหมดแล้วหรือเป็นที่แน่ชัดว่าจะถูกปฏิเสธการอำนวยความยุติธรรม ก็ให้ร้องเรียนผ่านกลไกระหว่างประเทศ เช่น กระบวนการ 1503, 1235 ของสหประชาชาติ

3.      ผลกระทบจากการประกาศภาวะฉุกเฉิน ผู้เสียหายสามารถฟ้องต่อศาลยุติธรรมเพื่อให้ลงโทษเจ้าหน้าที่และชดเชยค่าเสียหายได้

4.      การฟ้องมิให้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งหลายต้องฟ้องในศาลปกครองเพื่อยกเลิกรายละเอียดของคำสั่งเป็นบางข้อที่ฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญ  

5.      ประชาชนขอให้มีการปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายความมั่นคงเหล่านี้ได้ผ่านกระบนการนิติบัญญัติ คือ ให้พรรคการเมืองรับเรื่องไปผลักดันให้ออกกฎหมายยกเลิกชุดกฎหมายความมั่นคงเหล่านั้น

6.      หาไม่แล้วประชาชนต้องฟ้องในศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองเพื่อยกเลิกกฎหมายทั้งฉบับ หรือบางมาตรที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ

 

สรุปแนวทางแก้ไข

ใช้หลักความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงทางอาญา ซึ่งต้องใช้หลักสิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาและวิธีพิจารณาความอาญาซึ่งต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องสงสัยเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาล  ซึ่งกรณีนี้มีการใช้กฎหมายพิเศษที่มีลักษณะละเมิดสิทธิดังกล่าว และสร้างภาระในการพิสูจน์ให้กับประชาชน จึงต้องมีการฟ้องเพิกถอนการออกคำสั่งอายัดบัญชีของ ปปง. ในศาลยุติธรรมตาม พรบ.การฟอกเงินฯ   แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างเนื่องจาก พรบ.ความมั่นคง พรก.ฉุกเฉินฯ ตัดสิทธิของประชาชนในการฟ้องศาลปกครองให้ตรวจสอบการใช้อำนาจตามกฎหมายทั้งสอง   จึงต้องมีการผลักดันให้มีการแก้ไข หรือยกเลิกกฎหมายทั้งสองฉบับ เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิของประชาชนอีกต่อไป   หากใช้กลไกภายในหมดแล้วหรือมีการปฏิเสธความยุติธรรมก็ร้องไปยังองค์การระหว่างประเทศได้ เช่น กระบวนการ 1235, 1503

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
Nick Srnicek ได้สรุปภาพรวมของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่แตกต่างกัน 5 ประเภท คือ1.แพลตฟอร์มโฆษณา, 2.แพลตฟอร์มจัดเก็ยข้อมูล, 3.แพลตฟอร์มอุตสาหกรรม, 4.แพลตฟอร์มผลิตภัณฑ์, และ 5.แพลตฟอร์มแบบลีน 
ทศพล ทรรศนพรรณ
ผู้ประกอบการแพลตฟอร์มดิจิทัลมีรายได้และผลกำไรจำนวนมหาศาลจากการประมวลผลข้อมูลการใช้งานของผู้บริโภคในระบบของตน แต่ยังไม่มีระบบการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม    เนื่องจากยังมีข้อถกเถียงเรื่องใครเป็นเจ้าของข้อมูลและมีสิทธิแสวงหาผลประโยชน์จากข้อมูลเหล่านั้นบ้าง    จึงจ
ทศพล ทรรศนพรรณ
การบังคับใช้ พรบ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่ผลักดันออกมาในปี พ.ศ.
ทศพล ทรรศนพรรณ
แพลตฟอร์มมักเป็นระบบแบบเปิดให้ทุกคนมีส่วนร่วม ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่นำไปสู่ปัญหา จากการที่ทำให้การเข้าถึงข้ามเขตอํานาจ ในทางกลับกัน กลับมีการกําหนดให้หน่วยงานกํากับดูแลและผู้ออกกฎหมายต้องร่วมมือกันข้ามพรมแดนแห่งชาติเพื่อประสานระบอบกฎหมายและกฎระเบียบในขณะที่จัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นรวมถึงประเด็นกา
ทศพล ทรรศนพรรณ
การวิเคราะห์ปรับปรุงเกระบวนการระงับข้อพิพาทของบรรดาผู้บริโภคในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ยืนยันว่าระบบสามารถใช้เพื่อทำการแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้บริโภคจํานวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน่วยงานระงับข้อพิพาททางเลือก (Alternative Dispute Resolution - ADR) ที่ได้รับการรับรองจากสาธารณะให้เป็นมากกว่ากลไกการระงับข้อพิพาทใน
ทศพล ทรรศนพรรณ
การสร้างความเชื่อถือให้กับผู้บริโภคจึงเป็นผลดีต่อการเติบโตของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ และการตัดสินใจของผู้บริโภคที่จะทำธุรกรรมออนไลน์กับผู้ขายต่อไป ทำให้ประเทศต่าง ๆ  รวมถึงประเทศไทยให้ความสนใจและมุ่งให้เกิดการคุ้มครองอย่างจริงจังต่อปัญหาการละเมิดสิทธิในความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของผู
ทศพล ทรรศนพรรณ
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันทันใดที่ผู้คนจำนวนมากขาดความรู้ความเข้าใจต่อเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่อชีวิตโดยตรง รัฐในฐานะผู้คุ้มครองสิทธิประชาชนและยังต้องทำหน้าที่กระตุ้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย จึงมีภาระหนักในการสถาปนาความ “เชื่อมั่น” ให้เกิดขึ้นในใจประชาชนที่ลังเลต่อการเข้าร่วมสังฆกรรมใน
ทศพล ทรรศนพรรณ
โลกเสมือนจริงเป็นสื่อใหม่ในโลกยุคดิจิทัลที่แสดงด้วยภาพและเสียงสามมิติซึ่งผู้ใช้สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในโลกที่ถูกสร้างขึ้นเหล่านี้ ทำให้เกิดเป็นสังคม (Community) ภายในโลกเสมือนจริงที่ผู้คนสามารถติดต่อสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันได้ แต่มิใช่เพียงการเข้าไปรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสเพียงเท่านั้น นอก
ทศพล ทรรศนพรรณ
การทำธุรกรรมบนอินเตอร์เน็ตมีแนวโน้มที่จะส่งเสริมการเข้าร่วมสัญญาอย่างรวดเร็วสะดวกลดอุปสรรค ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตก็ด้วยไม่ต้องการเดินทางหรือไม่ต้องมีตัวกลางในการประสานความร่วมมือหรือต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับผู้รับรองสถานะของสัญญาในลักษณะตัวกลางแบบที่ต้องทำในโลกจริง ที่อาจถูกกฎหมายบังคับให้ทำตามแบ
ทศพล ทรรศนพรรณ
โลกเสมือนจริง (Virtual World) คือสภาพแวดล้อมเสมือนซึ่งสร้างและปฏิบัติการด้วยซอฟต์แวร์ (Software) ที่อยู่ในเซิร์ฟเวอร์ (Server) ของเจ้าของแพลตฟอร์ม (Platform) สิ่งแวดล้อมเสมือนเหล่านี้ออกแบบมาให้ผู้เล่นหรือผู้ใช้โลกเสมือนจริงสามารถใช้ตัวตนเสมือนหรืออวตาร (Avatar) ในการท่องไปในโลกนั้น โดยสามารถติดต
ทศพล ทรรศนพรรณ
เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ในยุคดิจิทัลตั้งอยู่บนพื้นฐานของเสรีภาพในการแสดงออกบนโลกออนไลน์ โดยมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับประเด็นกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาเนื่องจากกฎหมายลิขสิทธิ์สามารถห้ามปรามการเผยแพร่ความคิดหรือการแสดงออกในงานสร้างสรรค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยอ้างเหตุแห่งการคุ้มครองสิทธิของปัจเจกชนอย
ทศพล ทรรศนพรรณ
ความเฟื่องฟูของเศรษฐกิจดิจิทัลที่สร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการจำนวนมหาศาลแต่นำมาซึ่งความกังขาว่า สังคมได้อะไรจากการเติบโตของบรรษัทขนาดใหญ่ผู้เป็นเจ้าของเทคโนโลยีและควบคุมแพลตฟอร์มเหล่านี้ อันเป็นที่มาของเรื่อง การจัดเก็บภาษีดิจิทัลได้กลายเป็นข้อกังวลที่สำคัญสำหรับหลาย ๆ รัฐบาล ในยุโรป เช่นใน เยอรมนี