Skip to main content

             กฎหมายสมัยใหม่ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ มีสิ่งที่ต้องเข้าใจร่วมกันว่า ได้ให้อำนาจเด็ดขาดแก่รัฐในการบีบบังคับประชาชนในรัฐ และลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายโดยการใช้ความรุนแรงนับตั้งแต่ การประหารชีวิต การจำคุก การควบคุมตัว ริบทรัพย์ ในระบบกฎหมายอาญา  ไปจนถึงการลบล้างผลของสัญญา หรือให้ชดใช้ค่าเสียหาย ในทางแพ่งฯ   หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ กฎหมายและรัฐเข้าไปบังคับคนให้ทำหรือไม่ทำอะไรได้ โดยมี “ผลทางกฎหมาย” เป็นอาวุธหลัก

เนื่องจากการเกิดรัฐสมัยใหม่นี้มาพร้อมกับกฎหมายที่มีผลบังคับอย่างชัดเจน แน่นอน รุนแรง นี่เอง ที่ได้ทำลายกองกำลังเถื่อน และกลุ่มอาชญากรรมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนรัฐกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการควบคุมให้คนในรัฐทำตามนโยบายและกฎหมาย   การฝ่าฝืนกฎหมายจึงเป็นเรื่องร้ายแรงในรัฐที่จะต้องโดนกำหลาบด้วยกฎหมาย เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีเพียงรัฐเท่านั้นที่จะใช้อำนาจได้เหนือกลุ่มอื่นๆ

ดังนั้นใครที่ละเมิดกฎหมายก็จะต้องได้รับผลร้ายทางกฎหมาย ไม่ว่าโทษจะร้ายแรงแค่ไหนหากกฎหมายกำหนดไว้ล่วงหน้า ประชาชนก็ปฏิเสธมิได้  ประชาชนจึงต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของรัฐอย่างเด็ดขาด   แต่อย่างที่เราก็ทราบกันดีว่า การทำให้ผู้ฝ่าฝืนกฎหมายรับโทษตามกฎหมายก็อยู่ที่ “กระบวนการยุติธรรม” ด้วย ที่จะสืบหาผู้กระทำความผิด และนำพยานหลักฐานมายืนยันการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อให้เกิดการตัดสินผิด/ถูก และบังคับผลให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด

แต่ต้องไม่ลืมว่า หากใครตกเป็นผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นจำเลย โดยเฉพาะเป็นนักโทษทางอาญาแล้ว จะต้องเผชิญกับโทษที่ร้ายแรงมาก คือ เสียชีวิต เสียอิสรภาพ หรือสูญเสียทรัพย์สิน เงินทอง โดยไม่อาจโต้แย้งได้  ต้องก้มหน้ารับผลคำตัดสินไป   และที่แย่ไปกว่านั้น คือ ตราบาปที่ถูกประทับไว้ให้กลายเป็น จำเลยสังคม อาชญากร ผู้ก่อการร้าย ผู้ทำลายชาติ ที่สร้างผลสะเทือนต่อไปในอนาคต หรือติดไปกับครอบครัวลูกหลานอีกด้วย   ดังนั้น “การลงโทษผู้บริสุทธิ์” จึงเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังอย่างมาก   สิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรม จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับโทษทางกฎหมาย

ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมจึงต้องพยายามอย่างยิ่งยวดมิให้คนบริสุทธิ์ต้องโทษ   หรือแม้กระทั่งในคดีแพ่งฯ ที่ผลร้ายทางกฎหมายต่อฝ่ายแพ้คดีจะเป็นเรื่องเงินๆทองๆ ทรัพย์สิน หรือสิทธิทั่วไป ไม่ถึงกับคอขาดบาดตาย แต่ก็มีผลต่อฝ่ายแพ้คดีมาก   กระบวนการยุติธรรมทางแพ่งจึงให้สิทธิแก่คู่กรณีในการต่อสู้คดีอย่างเท่าเทียมกัน  แต่กฎหมายอาญาที่มีโทษร้ายแรงกว่า จะให้สิทธิกับฝ่ายที่ถูกกล่าวหา “จำเลย” มาก เพราะพลาดพลั้งไป อาจตายหรือได้ไปใช้ชีวิตในคุก

คดีสำคัญที่หลายท่านคงเคยได้ยิน คือ คดีเชอร์รี่แอน ดันแคน ที่ในครั้งแรกได้กล่าวหาบุคคลจำนวนหนึ่งเป็นจำเลยและมีคำพิพากษาจำคุกจนทำให้ผู้บริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งต้องตายในเรือนจำ หรือออกจากคุกมาก็ต้องสูญเสียครอบครัว และบางคนก็ติดโรคร้ายจากสภาพความเป็นอยู่ที่โหดร้ายในคุก   คดีนี้สะท้อนให้เห็นว่า หากไม่มีการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ขั้นตอนสืบสวนสอบสวน การทำสำนวน การสั่งฟ้องคดี การพิจารณาคดีจนมีคำพิพากษา และการจำคุก ล้วนมีปัญหาสร้างความคลางแคลงใจให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไปจนถึงสังคมในวงกว้าง   ทำให้ศรัทธาที่มีต่อกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเสื่อมทรามลงเป็นอันมาก

อุทาหรจากคดีนี้ชวนให้คิดไปได้ว่ามีคนอีกจำนวนมากที่ต้องเข้าไปอยู่ในคุกทั้งที่ไม่ได้กระทำผิด เพียงแต่ไม่มีเงินจ้างทนายดีๆ ไม่มีเส้นกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หรือไม่มีความรู้ทางกฎหมาย หรือมีภาพลักษณ์ไม่ดีชวนให้คิดว่าเป็น “โจร”  ดังนั้น ส่งที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันไปด้วยเมื่อเกิดคดีความทางกฎหมาย ก็คือ ความอยุติธรรมทางสังคม ที่สะท้อนผ่านการดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรมกับคนบางกลุ่ม ด้วยเหตุที่เขามีต้นทุนในชีวิตต่ำ เช่น ยากจน ไร้เส้น ไม่มีการศึกษา ไปจนถึงหน้าตาท่าทางไม่ดี

หากกระบวนการแย่ ไม่ให้โอกาสกับคู่ความสู้ได้ดีพอ โอกาสที่จะแพ้ความแล้วติดคุกตารางย่อมมีสูงมาก   ดังนั้นการให้ความสำคัญกับ “กระบวนการ” จึงมีผลต่อ “ผล” อย่างสนิทแนบแน่น  

อย่างไรก็ดี นอกจากในมุมที่สิทธิมนุษยชนในกระบวนการ เป็น “วิธีการ” ที่ทำให้ได้ “ผล” ของคดีที่เป็นธรรมกับคู่ความ สร้างความยุติธรรมทางสังคมแล้ว   ยังมีมุมที่เกี่ยวกับ “ความเป็นธรรม” ระหว่างกระบวนการ เช่น การขอให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราวเพื่ออกไปต่อสู้คดี หรือที่เรียกกันติดปากว่า “การประกันตัว”   ซึ่งเป็นปัญหามาก เนื่องจากรัฐธรรมนูญและหลักกฎหมายบอกชัดว่า ต้องปฏิบัติกับบุคคลที่ยังไม่มีคำพิพากษาเด็ดขาดเสมือนเป็นผู้บริสุทธิ์ นั่นย่อมหมายความว่า การไปควบคุมตัวเขาไว้ในสถานจองจำทั้งที่ยังไม่มีคำพิพากษาในศาลสูงสุดว่าเขาผิด ย่อมเป็นการกระทำกับบุคคลนั้นเสมือนว่าผิดจริงมาตลอด  การไม่ให้ประกันตัวจึงเป็นความรุนแรงต่อผู้ถูกจองจำแล้ว  

กรณี คุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่โดนควบคุมตัวมาตลอด 3 ปี ที่มีการพิจารณาคดีการตีพิมพ์บทความ 2 เรื่องที่มีผู้กล่าวหาว่าหมิ่นประมาทฯ ตาม ม. 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา นั้น ได้สะท้อนให้เห็นว่า   เรื่องการประกันตัวมีลักษณะกลับหัวกลับหาง   คือไม่ให้ประกันตัวไว้ก่อน   ทั้งที่หลักคือ ปล่อย ถ้าจะควบคุมตัวต้องมีการนำสืบของฝ่ายบ้านเมืองว่า จำเลยจะหลบหนี หรือเข้าไปทำลายพยานหลักฐาน หรือฝ่าฝืนกฎหมายเพิ่มเติม   มิพักต้องพูดถึงกรณีของ อากง ที่มีโรคประจำตัวรุมเร้าและเสียชีวิตในขณะอยู่ในเรือนจำเพราะไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว

ดังนั้นการเน้นย้ำ “สิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรม” จึงเป็นการสร้างหลักประกันให้กับ “ผลของคดี” และ สร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนที่ต้องเสี่ยงกับ “ความอยุติธรรมทางสังคม” ไปในคราวเดียวกัน   หากรัฐและสังคมเห็นความสำคัญกับเรื่องนี้ก็จะมีความพยายามของสังคมในการจับตามองความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางของคำพิพากษา เพื่อสร้างที่มาแห่งความชอบธรรมในผลคำพิพากษาที่จะกำหนดว่ารัฐนี้ให้คุณค่ากับ “ความเป็นธรรม” ของ “มนุษย์” อย่างเท่าเทียมกันหรือไม่นั่นเอง

ผลของคดีที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายหนึ่งเสมอ เป็นโทษกับฝ่ายหนึ่งตลอดมา  ชนิดที่ว่าปรากฏคลิปวิดีโอว่า ตุลาการมีการตั้งธงคำพิพากษาไว้ก่อน แล้วหาเหตุผล/ข้ออ้าง มาสนับสนุนสร้างความชอบธรรมโดยไม่สนใจ วิธีการ และกระบวนการ อันขัดหับหลักการพิจารณาคดีที่จะต้องรับฟังพยานหลักฐานให้หมดสิ้นเสียก่อนแล้วจึงตัดสินคดีจากข้อเท็จจริงที่อยู่ในศาล มิใช่ ข้อเท็จจริงที่ตุลาการรับรู้ผ่านสื่อ  ได้สร้างความคลางแคลงใจให้ฝ่ายที่เสียประโยชน์มาก

                ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการตัดสินคดีก็น้ำท่วมปาก แต่ก็ไม่ยากนักที่จะหาสารพัดเหตุผลมากลบเกลื่อนไปแบบเสียมิได้   แต่ก็มิได้ทำให้ความทรงจำของฝ่ายที่เสียประโยชน์หายไป    เพราะความสงสัยยังคงอยู่  แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือ “ความเดือดดาล” ที่ทับถมทวีคูณอยู่ทุกวัน จนมันก่อให้เกิดสำนึก “สองมาตรฐาน” อย่างแพร่หลายในสังคม

หลักฐานจาก การดำเนินคดีฝ่ายหนึ่งด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน อีกฝ่ายเร่งรัดรวดเร็ว    การไม่ให้สิทธิคู่ขัดแย้งอย่างเท่าเทียม ฝ่ายหนึ่งได้ประกัน อีกฝ่ายเหมือนจะถูกขังลืม     การดำเนินคดีด้วยนโยบายแบบพิเศษ เช่น คดีความมั่นคงที่ลิดรอนสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของจำเลย     ผลของคำพิพากษาไปเข้าทางฝ่ายเดียว ดังปรากฏคลิปผู้พิพากษาคุยกำหนดธงคำพิพากษาล่วงหน้า    การไม่ให้โอกาสคู่ความให้เหตุผลหรือแสดงหลักฐาน ไปจนถึงการรวบรัดพิจารณาคดีเหมือนไม่ได้ฟังความอีกข้าง 

คดีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและความมั่นคง ที่อยู่ในการรับรู้ของสังคมตั้งแต่ปี 2549 นั้นประจานความสั่นคลอนของเสาหลักแห่งรัฐไทยที่เรียกว่า “ศาลไทย” มิใช่เพราะผลของ “คำพิพากษา” เท่านั้น   แต่ที่ได้สร้างความเจ็บช้ำใจให้คนจำนวนมากก็เพราะ “กระบวนการ” ที่ส่อว่าเป็นการกำหนด “วิธีการ” เพื่อให้ได้ “ผล” ที่ฝ่ายหนึ่งต้องการเท่านั้น

ปัญหาเหล่านี้ไม่ยากเกินการแก้ไข เพราะ "กฎหมายไทย" นั้นวางหลักเรื่องวิธีการ/กระบวนการ ได้ดีอยู่แล้ว เหลือเพียงการ "ปฏิบัติ" ของบุคคลและการปรับโครงสร้างอำนาจการบริหารงานยุติธรรมให้เอื้อต่อการประกันสิทธิของประชาชน ก็เท่านั้นเอง!???

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
ตลอดระยะเวลาแห่งความขัดแย้งทางการเมือง ได้มีกลุ่มต่างๆ เสนอทางออกของปัญหาด้วยการใช้กฎหมายมากมายหลายมาตรา   แต่มาตราหนึ่งซึ่งเป็นข้อถกเถียงมาก คือ การใช้รัฐธรรมนูญ ม.7 ตั้งแต่เมื่อคราวที่ยังใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เรื่อยมาจนถึง ฉบับปี 2550   คนจำนวนไม่น้อยคงสงสัยมากว่า มาตรา 7
ทศพล ทรรศนพรรณ
เอาล่ะครับ พ่อแม่พี่น้อง เรื่องถัดไปนี่คงเป็นความสนใจของเพื่อนพ้องหลายๆพื้นที่นะครับ ผมได้รับแจ้งเข้ามาว่า  เจ้าพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่หนึ่งมีการเพิกเฉย ละเลย ดูแลปัญหาความเดือดร้อนของคนในพื้นที่ แถมยังมีเรื่องราวกินสินบาทคาดสินบนทำให้ชาวบ้านจนปัญญาจะหาทางแก้ไขเข้าไปอีก&n
ทศพล ทรรศนพรรณ
พลังเหนือมนุษย์ ที่จะพูดถึงในครั้งนี้ประกอบไปด้วยสองส่วน คือ พลังธรรมชาติ และพลังลี้ลับ   ซึ่งกฎหมายก็ได้พูดถึงสองสิ่งนี้อยู่ไม่น้อยทีเดียว
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้เป็นสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้แรงงานในยามที่เจอกับภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด เราคงได้ยินเสียงผู้ประกอบการบ่นให้ฟังว่า ยอดสั่งซื้อตก กำไรหด ต้องลดกำลังการผลิตเพื่อให้บริษัทอยู่รอดกันใช่ไหมครับ  แต่ทราบไหมครับว่า ทุกครั้งที่บอกว่าขาดทุนและต้องลดต้นทุนหรือกำลังการผลิตนั้น มันหมายถึงการป
ทศพล ทรรศนพรรณ
             กฎหมายสมัยใหม่ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ มีสิ่งที่ต้องเข้าใจร่วมกันว่า ได้ให้อำนาจเด็ดขาดแก่รัฐในการบีบบังคับประชาชนในรัฐ และลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายโดยการใช้ความรุนแรงนับตั้งแต่ การประหารชีวิต การจำคุก การควบคุมตัว ริบทรัพย์ ในระบบกฎหมายอาญา  ไ
ทศพล ทรรศนพรรณ
ทุกท่านคงทราบกันแล้วนะครับว่าปัจจุบันกฎหมายไทยเกี่ยวกับเรื่องข่มขืนได้มีการปรับปรุงแก้ไขไปให้ทันกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจริง เพราะมิใช่เพียง
ทศพล ทรรศนพรรณ
คงมีหลายคนสงสัยว่าทำไมนักกฎหมายมักย้ำเสมอว่าปัญหาทางกฎหมายต้องตอบในลักษณะ “หนึ่งคำถาม หนึ่งคำตอบ”    กล่าวคือ ในปัญหาเรื่องนั้นจะต้องมีคำชี้ขาดขององค์กรตุลาการหรือองค์กรวินิจฉัยชี้ขาดที่ชัดเจนแน่นอนเพียงหนึ่งเดียว   ห้ามมีคำตอบแตกต่างหลากหลาย   เช่น  
ทศพล ทรรศนพรรณ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับผู้ใช้รถใช้ถนนทั้งในเมืองและต่างจังหวัด เนื่องจากในบางเส้นทางจะมีด่านตรวจของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อถูกกักตัวหรือขอตัวค้นรถตอนถึงด่าน   ทั้งยังสงสัยกับพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ตรงด่านว่าใช่ตำรวจหรือไม่ มีอำนาจหน้าที่อะไ
ทศพล ทรรศนพรรณ
       หลายครั้งที่เราสงสัยกันว่าทำไมเรื่องที่เค้าเถียงกันแทบเป็นแทบตายไม่มีคำตอบที่ชัดเจนสักที ตำรวจก็บอกว่าต้องทำตามกฎหมายข้อนี้ นักกฎหมายก็อ้างว่าไม่ได้ต้องดูกฎหมายอีกฉบับด้วย แล้วพอไปออกรายการทีวีเถียงกันก็ยังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เพราะปัญหาเดียวกันไหงมีกฎหมายมาเกี่ยวข้องต้อง
ทศพล ทรรศนพรรณ
ปัจจุบันมีคนจำนวนมากเข้าไปทำงานตามร้านอาหารหรือสถานบริการต่างๆมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ตามจำนวนร้านรวงที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด จุดไหนมีคนทำงานหรือเรียนหนังสือเยอะๆก็จะมีร้านตั้งมาดักไว้เต็มไปหมด ก็มีคนพูดไว้เยอะว่าร้านอาหารที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นแหล่งมั่วสุมของนักศึกษาหรือว่าคนทำงานในวัยหนุ่มสาว&
ทศพล ทรรศนพรรณ
ตอนนี้เราจะมาดูกันนะครับว่า ทำไมเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นมาในสังคม เราจึงต้องใช้กฎหมายมายุติความขัดแย้ง   เหตุผลของเรื่องนี้ก็ต่อมาจากตอนที่แล้วซึ่งเราบอกว่า กฎหมาย คือ กติกา ที่สังคมกำหนดขึ้นมาร่วมกัน เพื่อชี้ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้น แล้วตกลงกันไม่ได้ จะ “ยุติ” ความขัดแย้งอย่างไรใ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องที่ผมจะเอามาเล่าสู่กันฟังเป็นความเดือดร้อนแสนสาหัสของน้องสองคนซึ่งได้รับผลกระทบจากการประกาศภาวะฉุกเฉิน เคอร์ฟิว ในช่วงที่มีการปราบปรามและสลายการชุมนุม   ซึ่งมันเกี่ยวพันกับชีวิตคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆมากขึ้น เพราะสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2