Skip to main content

ตลอดระยะเวลาแห่งความขัดแย้งทางการเมือง ได้มีกลุ่มต่างๆ เสนอทางออกของปัญหาด้วยการใช้กฎหมายมากมายหลายมาตรา   แต่มาตราหนึ่งซึ่งเป็นข้อถกเถียงมาก คือ การใช้รัฐธรรมนูญ ม.7 ตั้งแต่เมื่อคราวที่ยังใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เรื่อยมาจนถึง ฉบับปี 2550   คนจำนวนไม่น้อยคงสงสัยมากว่า มาตรา 7 ที่ว่ามันคืออะไร ใช้ยังไง และใช้เมื่อไหร่

                หากดูเนื้อหาของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งฉบับพุทธศักราช 2540และ 2550 ในมาตรา 7 ได้บัญญัติว่า
       “ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

                เอาล่ะครับ ใจเย็นๆ แล้วดูกันทีละประเด็น เรื่องนี้มีอยู่ 2 ประเด็นหลัก คือ

1)      เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด หมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องที่ทะเลาะกันอยู่เลย

2)      ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีฯ คือ ให้นำครรลองการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาปรับใช้ แม้จะไม่มีการเขียนไว้ว่า ครรลองจารีตประเพณีฯ ที่ว่ามันคือเรื่องอะไรบ้าง และเขียนไว้ว่าอย่างไร

 

เอ่อ........ งง ไหมล่ะครับ ท่านผู้อ่าน   ผมก็เคยมึนกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน  แต่ท่านผู้อ่านคงสงสัยอยู่ในใจว่า แล้ว จารีตประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มันคืออะไร และเคยใช้มาแล้วบ้างหรือไม่?

เคย! ครับ จากการสอนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญของ ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม เคยกล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ว่า เมื่อครั้งรัฐบาลได้ผลักดัน พระราชกำหนดโดยอาศัยอำนาจของ “รัฐบาล” นอกสมัยประชุมรัฐสภา แล้วต่อเมือถึงสมัยประชุม ก็ต้องนำพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวเข้าวาระมาขอรับรองจาก “รัฐสภา” อีกครั้ง   เมื่อปรากฏว่า รัฐสภาคว่ำ พระราชกำหนดฉบับดังกล่าวลง รัฐบาลก็ต้องแสดงความรับผิดชอบไปในที่สุด

จากกรณีนี้ มิได้มีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจนในกฎหมายใดว่า หากรัฐบาลออกพระราชกำหนด แล้วรัฐสภาไม่รับรอง รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบด้วยวิธีการใด  แต่เป็นที่รับรู้และนำไปปฏิบัติว่า รัฐบาลจะต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการยุบสภา เนื่องจากเป็นที่ชัดเจนว่า รัฐบาลกับรัฐสภาไม่สามารถทำงานด้วยกัน จนเกิดรอยขัดแย้งปริแยกจนต้องจัดดุลอำนาจทางการเมืองกันใหม่   ซึ่งส่วนใหญ่หัวหน้ารัฐบาลก็มักจะเลือกการยุบสภา เพื่อให้ประชาชานเลือกตัวแทนเข้ามาใหม่ เห็นจำนวนและตัวเลขที่ชัดเจนว่าประชาชนมีความเห็นอย่างไรกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และอยากเลือกใครมาเป็นตัวแทนในรัฐสภา หรือมาจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศต่อไป

ดังนั้น ในกรณีการหาผู้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี จึงไม่มีช่องทางให้หยิบเอา ม. 7 มาใช้ เพราะได้มีมาตราอื่นที่กำหนด คุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีรักษาการ หรื แม้กระทั่ง การขยับผู้ใดมารักษาการนายกรัฐมนตรี จนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่   สรุป ไม่มีภาวะสุญญากาศทางการเมืองเพื่อขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ตามมาตรา 7 นะครับทุกท่าน   

ทางเดียวที่จะไม่ใช้รัฐธรรมนูญ คือ การฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งด้วยคณะรัฐประหารแล้วประกาศคำสั่งคณะรัฐประหารออกมาแล้วศาลรับรองสถานะทางกฎหมายของคำสั่งเหล่านั้น ซึ่งดูเป็นจารีตประเพณีที่ไม่เป็นที่ยอมรับของคนจำนวนมากในสังคมไทย และประชาคมโลกไปเสียแล้ว

เมื่อพูดถึงเรื่อง จารีตประเพณี กับ กฎหมาย แล้วสิ่งที่ชัดเจนมากที่สุด เห็นจะเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศจำนวนไม่น้อยมีลักษณะเป็น “จารีตประเพณีระหว่างประเทศ” คือ ไม่ได้เขียนรวบรวมไว้อย่างชัดเจนเป็น ข้อ มาตรา ว่ามีเนื้อหาทั้งหมดในเรื่องนั้นไว้อย่างไร   แต่กระจัดกระจายไปอยู่ในเอกสารต่างๆ และใช้ระยะเวลายาวนานในการบ่มเพาะจนประชาคมโลกเห็นว่า เรื่องนั้นเป็น “กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ” ที่ต้องยึดถือปฏิบัติ แม้รัฐจะไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาฉบับใดๆก่อนก็ตาม 

ตัวอย่างที่รัฐไทยคุ้นเคย ก็เช่น หลักการห้ามผลักดันผู้ลี้ภัยกลับไปยังพื้นที่เสี่ยงต่อการถูกประหัตประหาร ซึ่งรัฐไทยไม่เคยลงนามเข้าร่วมสนธิสัญญาผู้ลี้ภัยเลยแม้แต่ฉบับเดียว  แต่หลักการนี้ถือเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่ผูกมัดทุกรัฐในประชาคมโลกให้ปฏิบัติตาม รัฐไทยจึงต้องปฏิบัติด้วยอย่างเสียมิได้   ดังนั้นเมื่อเกิดภัยสงครามบริเวณตะเข็บชายแดนจนมีผู้อพยพเข้ามาในพรมแดนไทย รัฐไทยจึงต้องร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศในการให้ที่พักพิงและดูแลชีวิตขั้นพื้นฐานให้กับคนกลุ่มนี้ เพราะหากเร่งผลักดันกลับไป คนเหล่านี้ก็อาจต้องตาย ถูกข่มขืน ปล้นสะดม หรือบังคับใช้แรงงาน หรือเป็นทหารเด็ก

เรื่องสิทธิมนุษยชนพื้นฐานที่สุด เช่น ชีวิต เนื้อตัวร่างกาย กระบวนการยุติธรรม การทรมาน อุ้มหาย จึงกลายเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่ผูกพันทุกรัฐเสมอ เช่นเดียวกับกับเรื่อง มนุษยธรรม เช่น การดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ลี้ภัย ที่ผูกพันรัฐทั้งหลายแม้มิได้ลงนามในสนธิสัญญาใดๆก็ตาม จึงเป็นเหตุว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ของไทยไม่อาจถีบเรือผู้อพยพโรฮิงญาออกไปเคว้งคว้างกลางทะเล นำแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมายไปขังรวมขังลืมโดยไม่ฟ้องคดีสู่ศาล หรือยิงปืนขับไล่ผู้อพยพหนีภัยสงครามที่แตกฮือข้ามแม่น้ำสาละวิน เป็นต้น

เมื่อย้อนกลับเข้ามาในประเทศ มีประเด็น การอุดช่องของกฎหมายโดยอาศัยจารีตประเพณีที่น่าสนใจอยู่ ในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์    เนื่องจากผู้อ่านคงจะทราบจากบทความฉบับก่อนๆดีว่า ประเทศไทยได้เปรียบเทียบกฎหมายตะวันตกมายกร่างเป็นกฎหมายไทย และประมวลกฎหมายภาคพื้นยุโรปโดยเฉพาะประมวลกฎหมายเยอรมันก็มีอิทธิพลต่อประมวลกฎหมายไทยอยู่มากทีเดียว   จึงมีการนำเรื่องการอุดช่องว่างกฎหมายมาใส่ไว้ในมาตรา 4 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วย

โดยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 บัญญัติว่า

“กฎหมายนั้น ต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใด ๆ แห่งกฎหมายตามตัวอักษร หรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้นๆ  เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป”

ประเด็นที่ต้องพิจารณาจึงมีอยู่ 2 ส่วนด้วยกัน คือ

1)      กรณีใดบ้างที่ไม่มีกฎหมายยกมาปรับใช้กับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

2)      จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาปรับใช้ได้เป็นอย่างไร

 

ระบบกฎหมายสมัยใหม่โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีการประกาศใช้กฎหมายหลายพันหลายหมื่นฉบับ ตั้งแต่ พรบ. พรก. เรื่อยไปจนถึง ประกาศฯ คำสั่งฯ ฯลฯ นั้น ยากยิ่งที่จะเกิด “ช่องว่าง” ซึ่งกฎหมายมิได้พูดถึงไว้ ยิ่งในกรณีคดีแพ่งนั้นมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กล่าวถึงกิจกรรมต่างๆไว้อย่างละเอียดถี่ยิบ   การวางมาตรา 4 ไว้โดยไม่เข้าใจที่มาทางประวัติศาสตร์ จึงยากยิ่งที่จะนำมาใช้ได้จริง

หากเข้าใจที่มาของมาตรานี้ในระบบประมวลกฎหมายเยอรมันจะพบว่า เมื่อครั้งมีการจัดทำประมวลกฎหมายแพ่งฯเยอรมันนั้น ได้ใช้เวลายาวนานในการรวบรวมและวิเคราะห์สกัดแก่นในประเด็นพิพาทต่างๆ เช่น ครอบครัว ทรัพย์สิน มรดก สัญญา ฯลฯ จนได้หลักการในแต่ละเรื่องว่า ประมวลกฎหมายของเยอรมันจะเลือกใช้วาทกรรมใด จากวาทกรรมท้องถิ่นในเรื่องนั้นที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น    เช่น   ใน 10 พื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยๆในอาณาเขตปรัสเซีย มีการพูดเรื่องมรดกไป 10 ทิศทาง   ประมวลแพ่งฯของเยอรมันจะเลือกเอาแนวทางของแคว้นบาวาเรีย เป็นหลักในประมวล เป็นต้น   ดังนั้น จึงมีช่องว่างให้เกิดกรณี เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ขึ้นนั่นเอง 

เมื่อย้อนกลับมาที่ประเทศไทย เรื่องใดบ้างที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไทยยอมรับจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ก็เห็นจะเป็น เรื่องจารีตประเพณีอิสลามเรื่อง ครอบครัว ทรัพย์สิน และมรดกของพี่น้องมุสลิมในพื้นจังหวัดชายแดนใต้   ซึ่งอนุญาตให้นำหลักกฎหมายศาสนาอิสลาม และโต๊ะอิหม่ามทำหน้าที่ผู้พิพากษาผู้ชำนัญการ  กับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในระหว่างพี่น้องมุสลิมในพื้นจังหวัดชายแดนใต้   ส่วนจารีตประเพณีอื่นๆ ยากที่จะได้รับสถานะจากกฎหมายไทย เช่น การจัดการทรัพยากรของชาติพันธุ์ต่างๆในที่สูง เรื่องครอบครัวทรัพย์สินของคนเชื้อสายจีน หรือคนเหนือ/อีสาน ฯลฯ

เมื่อดูปรากฏการณ์นี้จะเห็นว่า ประมวลกฎหมายของรัฐ เป็นเครื่องมือหลักในการกำหนดความเปลี่ยนแปลงในอาณาเขตอำนาจของรัฐไทย  โดยใช้พลังทางกฎหมายและอำนาจรัฐเข้าไปบังคับสลายความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆในประเทศไทย  

ผลที่เกิดขึ้น คือ มีหลายกรณีที่กฎหมายไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชนหลายพื้นที่   เช่น กรณีป่ารุกคน  ซึ่งกฎหมายป่าไม้และอุทยานไทยได้ขีดเส้นกำหนดเขตป่าสงวนทับพื้นที่ไร่หมุนเวียนของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่กับป่าเขาและน้ำมานับร้อยๆพันๆปี   หรือการล่มสลายของระบบกงสีเพราะไม่มีกฎหมายรับรอง  หรือ ลูกคนสุดท้องที่ดูแลพ่อแม่ไม่รับความเป็นธรรมเมื่อแบ่งมรดกหลังจากพ่อแม่ตายเพราะกฎหมายแพ่งฯบอกให้แบ่งเท่ากัน

ความยุ่งยากเหล่านี้ได้มีการพยายามแก้ไขโดยนำเรื่องการ บังคับใช้กฎหมายให้สอดคล้องกับ กติกาที่ซ้อนทับกันอยู่หลายชั้นในพื้นที่เดียวกัน หรือที่เรียกว่า  “พหุนิยมทางกฎหมาย”  คือ ในเรื่อง ครอบครัว/มรดก ประมวลแพ่งฯ บอกให้แบ่งเท่ากัน  จารีตประเพณีคนภาคเหนือกลับบอกให้น้องคนสุดท้องที่ดูแลพ่อแม่มากสุด   ธรรมเนียมกงสีจีนอาจบอกให้พี่ชายคนโตดูแลแทนคนทั้งตระกูล เป็นต้น   จะเห็นว่ามีจารีตประเพณีซ้อนกับกฎหมายอยู่ แต่ในปัจจุบัน กฎหมายใหญ่สุด ทุบจารีตประเพณีแบนติดดิน

ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐยิ่งยุ่งยากเพราะอำนาจถูกดึงไปอยู่ในมือรัฐ เช่น กรณีกฎหมายดิน น้ำ ป่า   จึงเกิดกระแสการผลักดันให้ชุมชนกลับมามีอำนาจในการจัดสรรทรัพยากรตามวิถีชีวิตของชุมชนในท้องถิ่นนั้น   จนเกิดการบัญญัติเรื่อง “สิทธิชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม” ในรัฐธรรมนูญ 2540 ขึ้นแต่ยังไม่มีกฎหมายระดับ พระราชบัญญัติมารองรับคัดง้างกับกฎหมายป่าสงวน อุทยาน ของรัฐ   ในปี 2550 ได้มีการขยายการส่งเสริมสิทธิชุมชนเพิ่มเติมในรัฐธรรมนูญให้ครอบคลุม “ชุมชน” โดยไม่ต้องออกกฎหมายลูกมารองรับอีก  

แต่ก็ไม่ง่ายเลย เนื่องจากเมื่อชาวบ้านจำนวนหนึ่งไปเก็บเห็ด เก็บหน่อ หรือทำไร่หมุนเวียนตามวิถีชีวิต ที่เก็บด้วย บำรุงรักษาด้วย กลับถูกจับกุมคุมขังด้วยกฎหมายระดับพระราชบัญญัติของรัฐเกี่ยวกับป่าสงวนและอุทยาน ทั้งที่ประชาชนใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญที่มีศักดิ์สูงกว่า พรบ.  

ซ้ำร้ายแม้มีการตัดสินในศาลชั้นต้นยกฟ้องชาวบ้านที่ใช้สิทธิชุมชน ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาให้ลงทาประชาชนตามคำฟ้องของรัฐ โดยมองข้ามการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ และมิได้เข้าใจการนำสืบพยานผู้เชี่ยวชาญในศาลชั้นต้นที่ได้นำสืบผู้ที่เข้าไปฝังตัวศึกษาระบบไร่หมุนเวียนนับสิบปี จนเห็นแล้วว่าเป็นวิธีการใช้สอยและอนุรักษ์ป่าอย่างยั่งยืน มิใช่การพัฒนาแบบเผาผลาญดังคำกล่าวหาว่า “ไร่เลื่อนลอย” ต่างจากลูกไร่ข้าวโพดพันธะสัญญาของบรรษัทใหญ่ กลับไม่ถูกจับกุมดำเนินคดีทั้งที่รุกป่าขนานใหญ่จนเป็นสาเหตุของหมอกควันในภาคเหนือ และน้ำท่วม ในที่ลุ่มภาคกลาง

เมื่อความโกลาหลมาเยือน คงต้องกลับมาคิดและแยกยะกันอีกครั้งว่า จารีตประเพณีใดที่ต้องนำกลับมาใช้อีกครั้ง เพราะสังคมไทยซับซ้อนเกิดกว่าเงื้อมมือของผู้มีอำนาจกลุ่มเล็กๆที่ต้องการทำลายรัฐธรรมนูญของคนทั้งชาติตามใจชอบ

แต่ก็ต้องคำนึงถึงวิถีชีวิตและข้อมูลของกลุ่มคนไร้อำนาจที่ถูกบดขยี้ด้วย กฎหมายบ้านเมืองที่ตนมิได้มีส่วนร่วมสร้างมาตั้งแต่ต้น แต่กลับต้องมาเหยื่อของการสถาปนารัฐสมัยใหม่

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
คำถามที่สำคัญในเศรษฐกิจการเมืองยุคดิจิทัล ก็คือ บทบาทหน้าที่ของภาครัฐรัฐท่ามกลางการเติบโตของตลาดดิจิทัลที่ภาคเอกชนเป็นผู้ผลักดันและก่อร่างสร้างระบบมาตั้งแต่ต้น  ซึ่งสร้างผลกระทบต่อชีวิตผู้คนในรัฐให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง   อย่างไรก็ดีความเจริญก้าวหน้าของตลาดย่อมเกิดบนพื้น
ทศพล ทรรศนพรรณ
แนวทางในการส่งเสริมสิทธิคนทำงานในยุคดิจิทัลประกอบไปด้วย 2 แนวทางหลัก คือ1. การระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นภายในความสัมพันธ์ระหว่าง แพลตฟอร์ม กับ คนทำงาน2. การพัฒนารัฐให้รองรับสิทธิคนทำงานอย่างถ้วนหน้า
ทศพล ทรรศนพรรณ
เนื่องจากการทำงานของคนในแพลตฟอร์มดิจิทัลในช่วงก่อนหน้าสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดนั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นทำให้ปริมาณคนที่เข้ามาทำงานมีไม่มากนัก และเป็นช่วงทำการตลาดของเหล่าแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในการดึงคนเข้ามาร่วมงานกับแพลตฟอร์มตนยังผลให้สิทธิประโยชน์เกิดขึ้นมากมายเป็นที่พึงพอใจของผู้เข้าร่วมทำงานกับแพลตฟ
ทศพล ทรรศนพรรณ
รัฐชาติในโลกปัจจุบันไม่เปิดโอกาสให้บุคคลเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน ที่อยู่ แหล่งทำมาหากินได้อย่างอิสระ เสรีมาตั้งแต่การสถาปนารัฐสมัยใหม่ขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก   เช่นเดียวกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่าง ไทย พม่า ลาว หรือกัมพูชา   ก็ล้วนเกิดพรมแดนระหว่างรัฐในลักษณะที
ทศพล ทรรศนพรรณ
นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์ “สีเสื้อ”   สื่อกลายเป็นประเด็นสำคัญที่เป็นตัวสะท้อนภาพของคนและสังคมเพื่อขับเน้นประเด็นเคลื่อนไหวทางสังคมให้ปรากฏเป็นขบวนการทางการเมืองที่มีผู้คนเข้าร่วมอย่างมากมายมหาศาล และมีกิจกรรมทางการเมืองหลากหลายรูปแบบ   ดังนั้นอำนาจในการสื่อสารและการมีส่วนร่วมใ
ทศพล ทรรศนพรรณ
สังคมไทยเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง แตกแยก และปะทะกันอย่างรุนแรงทั้งในด้านความคิด และกำลังประหัตประหารกัน ระหว่างการปะทะกันนั้นระบบรัฐ ระบบยุติธรรม ระบบคุณค่าเกียรติยศ และวัฒนธรรมถูกท้าทายอย่างหนัก จนสูญเสียอำนาจในการบริหารจัดการรัฐ   ในวันนี้ความตึงเครียดจากการเผชิญหน้าอาจเบาบางลง พร้อ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เศรษฐกิจและการเมืองยุคดิจิทัล ใช้ข้อมูลของประชาชนและผู้บริโภคเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจตลาดการเมืองและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดีเจ้าของข้อมูลทั้งหลายได้รับประกันสิทธิในความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกนำไปใช้ตามอำเภอใจไม่ได้ เว้นแต่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กฎหมายยอมรับ หรือได้รับความยินยอมจากเจ
ทศพล ทรรศนพรรณ
หากรัฐไทยต้องการสร้างกรอบทางกฎหมายเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากข้อมูลพันธุกรรมมนุษย์ในช่วงเวลาที่ยังไม่มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติจริยธรรมวิจัยในมนุษย์ มาบังคับกับการวิจัยในพันธุกรรมมนุษย์ ซึ่งถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวจำต้องมีมาตรการประกันสิทธิเจ้าของข้อมูลพันธุกรรมให้สอดคล้องกับมาตร
ทศพล ทรรศนพรรณ
กองทัพเป็นรากเหง้าที่สำคัญของความขัดแย้งเนื่องจากทหารเข้ามามีบทบาทแทรกแซงทางการเมืองมานาน โดยการข่มขู่ว่าจะใช้กำลัง การใช้อิทธิพลกดดันนโยบายของรัฐบาล กดดันเพื่อเปลี่ยนรัฐมนตรี และการยึดอำนาจโดยปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งทหารมักอ้างว่ารัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ระบบการเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยเท่าที่ควรมีการฉ้อ
ทศพล ทรรศนพรรณ
 ปัญหาทางเศรษฐกิจที่มีขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเรียกร้องมาตลอด คือ การผูกขาด ซึ่งมีรากเหง้ามาจากการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจของกลุ่มผลประโยชน์ที่ทรงอำนาจ แล้วนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอันเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ขบวนการความเป็นธรรมทางสังคมเสนอให้แก้ไข   บทความนี้จะพยายามแสดงให
ทศพล ทรรศนพรรณ
การแสดงออกไม่ว่าจะในสื่อเก่าหรือสื่อใหม่ย่อมมีขอบเขตการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิของผู้อื่น ดังนั้นรัฐจึงได้ขีดเส้นไว้ไม่ให้ประชาชนใช้สิทธิเสรีภาพจนไปถึงขั้นละเมิดสิทธิของผู้อื่นเอาไว้ในกรอบกฎหมายหลายฉบับ บทความนี้จะพาชาวเน็ตไปสำรวจเส้นพรมแดนที่มิอาจล่วงล้ำให้เห็นพอสังเขป
ทศพล ทรรศนพรรณ
การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติที่อดอยากหิวโหยที่นั้นดำเนินการได้โดยตรงด้วยมาตรการความช่วยเหลือด้านอาหารโดยตรง (Food Aid) ซึ่งมีทั้งมาตรการระหว่างประเทศ และมาตรการภายใน   ในบทความนี้จะนำเสนอมาตรการและกรณีศึกษาที่ใช้ในการช่วยเหลือด้านอาหารในสถานการณ์ฉุกเฉินเหล่านั้น แต่ความแตกต่างจากการสงเ