Skip to main content

ภัยใกล้ตัวอีกเรื่องที่ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็ไม่อยากเจอคงเป็นเรื่องลึกๆ ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนตัวซึ่งเป็นความในไม่อยากให้ใครหยิบออกมาไขในที่แจ้ง แม้ความคิดของคนในสังคมเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์และความบริสุทธิ์จะเปลี่ยนไปแล้ว คือ เปิดกว้างยอมรับกับความหลังครั้งเก่าของกันและกันมากขึ้น   แต่หากต้องเจอกับความหลังอันขมขื่นที่ตามหลอกหลอนไม่ยอมปล่อยให้ไปมีชีวิตใหม่ ก็ต้องหาทางแก้ไขเพื่อให้ภัยเหล่านั้นไม่มากล้ำกลาย   เรื่องนี้มีจิ้งจอกสังคมที่นิยมใช้ประสบกามและกลเม็ดเด็ดพรายล่อหลอกสาวน้อยให้พลีกายเป็นของตน แล้วใช้กลวิธีกดขี่สารพัดเพื่อให้หญิงไม่อาจจากไปทั้งที่ใจรับไม่ได้อีกต่อไปแล้ว   ซึ่งเธอก็ได้เข้ามาปรึกษากับผมที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เพื่อหาทางออกในการป้องกันน้องคนนี้ให้อยู่รอดปลอดภัยและจัดการกับจิ้งจอกสังคมคนนี้

“ตอนที่ฉันเริ่มใช้อินเตอร์เน็ตมันมีโปรแกรมหนึ่งที่เอาไว้หาเพื่อนคุยกันและสามารถลงรูปต่างๆได้ จนมีคนหนึ่งเข้ามาคุยด้วย ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบทุกวัน เมื่อฉันอยู่บ้านไม่มีใครก็ได้เค้าช่วยเป็นเพื่อนให้หายเหงา   เค้าเป็นคนตลกมากหาอะไรบ้าๆบอๆมาให้สนุกได้ทุกวัน   จนวันนึ่งเขาอ้อนขอเบอร์โทรศัพท์ว่าอยากได้ยินเสียงหวานๆน่ารักๆ ของฉันบ้าง  หลังจากนั้นเขาก็โทรมาหาทุกวัน ปลุกตอนเช้า กินข้าวเที่ยงเลิกเรียนเย็น จนส่งเข้านอน จนฉันเริ่มวางใจเพราะเห็นว่าเค้าไม่ใช่คนโรคจิตอะไรแถมไม่ดูคุกคามหรือหื่นใส่เหมือนพวกเพื่อนผู้ชายในวัยเดียวกัน   หลังจากนั้นเค้าขอมาหาฉันบ้างเพราะอยากเจอตัวจริง โดยอ้างว่าคุยกันแบบนี้มันเหมือนพวกเด็กเนิร์ดคุยกันแต่ไม่รู้จักกันในชีวิตจริง ฉันฟังก็เออจริงมันแปลกๆนะคุยกันมาตั้งนานแล้วเขาจึงโทรมาเพื่อนัดแนะกับฉันหลังจากคุยโทรศัพท์กันได้สักสองเดือน ซึ่งตอนนั้นฉันอายุ 14 ปี โดยก่อนที่จะเจอกันเขาเริ่มได้ใจและชวนคุยเรื่องอะไรที่ทำให้ฉันตกใจมากอยู่เหมือนกัน

เขาเริ่มมีการพูดคุยว่าอยากจะกอดจูบฉัน และได้โทรมาพูดเรื่องทำนองนี้หลายครั้งจนฉันเริ่มหวาดกลัวต้องบอกเค้าไปว่าอย่าทำอะไรอย่างนี้นะ ฉันจะไม่ไปเจอแล้วเพราะกลัวเขาจะทำอะไรไม่ดีไม่งามแต่เขาก็ปลอบกลับมาว่า ไม่ต้องกลัวเขาแค่อยากเสียตัวให้กับผู้หญิงที่เขารัก รู้ไหมเค้าก็ยังไม่เคยมีอะไรกับใคร ไม่เคยมีแฟนเลยนะ ฉันจะได้เป็นแฟนและผู้หญิงคนแรกของเขาเลย ที่พูดมาทั้งหมดเป็นจินตนาการที่เขาใฝ่ฝันว่าจะได้ทำกับคนที่เขารักที่สุดในชีวิต และบอกว่าคุยกันมานานขนาดนี้ยังไม่ไว้ใจ ไม่เห็นใจเขาบ้างเลยเหรอ     ในที่สุดก็ถึงวันที่นัดหมายก็มาถึง เขารีบโทรมาปลุกฉันตั้งแต่เช้าบอกว่าเขาจะไปรอที่นัดหมายตั้งแต่ตอนนี้เลยนะ อีกสองชั่วโมงเมื่อฉันแต่งตัวเสร็จก็มาที่นัดได้เลย “อย่าลืมใส่กระโปรงหวานๆตัวนั้นนะ น่ารักสุดๆ พี่ชอบมาก”  ฉันก็นึกขึ้นได้ว่า อ๋อเขาเคยมาทักตอนแรกไงว่าฉันสวยจังเพราะกระโปรงบานพริ้วสีชมพูอ่อนที่ใส่ไปถ่ายรูปในงานพืชสวนโลก   ก็ดีจะได้ไม่ต้องคิดอะไรมากว่าจะใส่อะไรไปถึงจะสวย แถมกระโปรงตัวเก่งนี้ก็ฉันชอบใส่อยู่แล้ว   พอใกล้เวลานัดฉันก็ออกไปเจอเขาที่ห้างฯซึ่งนัดกันไว้   เราทานข้าว กินขนมและเดินดูของนิดหน่อย  เขาก็ชวนหนูดูหนังต่อแต่ก็กลัวว่าเพิ่งรู้จักกันจะให้เข้าไปอยู่ในที่มืดๆสองต่อสองได้ยังไง แต่เค้าก็รบเร้าว่าหนังเรื่องนี้ไงที่คุยกันไว้ว่าอยากดู จะปล่อยให้เขาไปดูหนังโรแมนติกคนเดียวอีกแล้วเหรอ เค้าเหงานะอยากมีคนไปดูด้วยจะได้มาคุยกันว่าชอบตอนไหนรู้สึกยังไง จะได้แบ่งปันกันไง   ฉันเห็นว่าเวลาก็ยังไม่เย็นมากหากดูหนังจบเลยตกลงเข้าไปดูด้วย

หนังเร้าอารมณ์ด้วยพระเอกที่รักนางเอกจนวันสุดท้ายของชีวิตทำเอาฉันคิดหวั่นไหวอยากจะมีใครมอบหัวใจให้ทั้งชีวิตบ้าง บวกกับอากาศหนาวของต้นเดือนกุมภาพันธ์ของเชียงใหม่ ยิ่งทำให้ฉันไม่อยากกลับไปเหงาอยู่ที่บ้านคนเดียว เลยนั่งรถเขาเที่ยวดูบรรยากาศรอบเมืองที่ประดับไปด้วยดอกไม้หน้าหนาวก็ยิ่งกระตุ้นให้รู้สึกดีๆ เพราะมีคนที่รู้สึกดีด้วยอยู่ใกล้ๆ เขาพาฉันขึ้นไปดูวิวเมืองเชียงใหม่ที่จุดชมวิวเมืองเชียงใหม่ซึ่งฉันไม่เคยไปมาก่อนด้วย มันสวยมากเหมือนมีใครเอาไฟมาประดับทั้งเมืองที่อยู่เบื้องล่าง   แต่ลมบนนี้พัดหวิวทำให้ฉันหนาวสั่น เขาถอดเสื้อแจ็คเก็ตมาคลุมตัวให้ฉันแล้วเข้ามาโอบกระชับฉันเข้าหาอ้อมกอด บอกตามตามตรงฉันตกใจแต่ก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นทั้งจากกายและหัวใจที่สั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต   แต่ไม่ได้แล้วฉันคิดว่ามันมากเกินไปที่เราจะปล่อยให้อะไรเกินเลยทั้งทีเพิ่งจะได้เจอกันครั้งแรก   ฉันจึงรบเร้าให้เขารีบพาไปส่งที่ห้างฯเดิมเพื่อเดินทางกลับบ้าน ดึกแล้วเดี๋ยวคนที่บ้านว่าเอา

เขาออดอ้อนให้อยู่กับเขาก่อนเดี๋ยวจะพากลับไปส่งที่บ้านไม่นานหรอก ระหว่างทางที่ขับรถกลับบ้านเขาได้จอดแอบข้างทางมืดเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ฉันซึ่งเริ่มตกใจเพราะกลัวเขาจะทำอย่างที่ได้พูดไว้ในโทรศัพท์ ไม่ทันจะตั้งหลักเขาก็ผลักตัวฉันให้เอนลงตามการปรับเบาะ แล้วฉกลิ้นเข้าตะหวัดเข้าที่ซอกคอทำให้ฉันสะดุ้งเฮือกแต่มีความรู้สึกบางอย่างที่สะกดไว้จนไม่อาจขัดขืนเขาได้อีกต่อไป หมดความพยายามจะใช้แรงผลักไสเขาออกไปเพราะน้ำหนักตัวเขากดไว้ไม่ให้ขยับได้เลย มือไม้เขาป่ายไปตามร่างกายจนความรู้สึกมากมายมันถาโถมเข้าเกาะกุมใจ ร่างกายไม่อาจขัดขืนเขาได้อีกต่อไปจนเขาได้ความบริสุทธิ์ของฉันไปด้วยการกระซิบบอกว่า ยอมเป็นของเขาเถอะนะเพราะเขาก็อยากให้ฉันเป็นคนแรกของเขาเหมือนกัน  และมันก็เกิดขึ้น ฉันร้องไห้เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะตัวฉันเอง เขาก็กอดฉันไว้

หลังจากนั้นฉันจึงได้คบหากับชายคนนี้มาโดยเพิ่งจะรู้ว่าเขาอายุแก่กว่าฉันอยู่ 9 ปีและเลิกเรียนนานแล้วเพราะที่บ้านฐานะดีและไม่ต้องขวนขวายอะไร แต่สามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้และมีเวลาดูแลเทคแคร์ฉันได้ตลอดเวลา และเราก็มีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งกันมาเรื่อยๆ ครั้งหนึ่งเขาถ่ายรูปฉันในสภาพเปลือยเปล่าเก็บเอาไว้โดยบอกว่าเขากลัวว่าถ้าต้องห่างกันไปจะไม่มีอะไรไว้คิดถึงกัน ขอเก็บภาพฉันไว้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเวลาเขาต้องไปต่างประเทศตามที่พ่อแม่เขาบังคับ จนเวลาผ่านไป 4 ปี ฉันเรียนจบม.6 และเลิกคบหากันเพราะเขาโดนบังคับให้ไปเรียนต่อ ส่วนฉันคิดว่าต้องตัดใจและเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ได้ ฉันได้ไปพบเขาแล้วขอรูปถ่ายฉันคืน แต่เขากลับไม่ยอมคืนให้และไม่ยอมเลิกกับฉัน ฉันก็ตกใจอยู่เหมือนกันและไม่อยากให้เขามารังควาญอีกต่อไป จึงหนีไปอยู่กรุงเทพซักพักเป็นเวลา 1 เดือน    อยู่มาวันหนึ่งเขาก็โทรมาหาถามสารทุกข์สุขดิบ หลังจากที่ฉันกลับมาจากกรุงเทพแล้ว พอเปิดเทอมฉันก็มาเรียนหนังสือตามปกติ เขาโทรมาหาฉันแล้วนัดพบกันไปกินข้าวที่ร้านแห่งหนึ่ง โดยบอกว่าขอเจอเป็นครั้งสุดท้ายเพราะเขาจะต้องไปต่างประเทศแล้ว ขอเจอหน้าเป็นครั้งสุดท้าย และฉันก็คิดว่าจะไปขอรูปคืนเพื่อความสบายใจ

พอกินข้าวเสร็จเขาบอกว่าจะเอารูปคืนให้แต่ต้องไปเอาคอมพิวเตอร์ที่บ้านและรบให้เห็นว่าไม่เหลืออีกแล้วเขาก็เปิดและลบรูปในคอมพิวเตอร์   หลังจากนั้นเขาก็อาสาขับรถมาส่งฉันที่หอ แต่ระหว่างนั้นเขาพาฉันไปโรงแรม ฉันโวยวายและขัดขืน แต่เขากลับขู่ว่าถ้าไม่ยอมจะนำรูปถ่ายฉันไปอัพโหลดลงเว็บไซต์เพราะยังเหลือรูปในเซิร์ฟเวอร์อื่นอีก ผ่านไป 3 เดือน เขาทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง รวมถึงบางทีเขาโกรธที่ฉันมีแฟนใหม่ก็พาฉันไปขังไว้ในบ้านพักตากอากาศไกลๆถึงสองสามวันก็เคยมี  กระทั่งฉันอึดอัดทนไม่ไหวจึงเล่าให้แฟนฉันฟังทุกอย่าง ซึ่งเขาก็เข้าใจฉัน ทุกครั้งที่ชายคนนั้นโทรมาฉันจะปฏิเสธแต่เขาพยายามพูดหว่านล้อมอ้อนวอน หลังจากวางสายชายคนนี้ส่งรูป mms มาเป็นรูปฉันแล้วบอกว่าจะนำรูปนี้ขึ้นเว็บไซต์ ฉันจึงปิดเครื่องและทำเป็นไม่สนใจ ซึ่งฉันเองก็หวาดกลัว และไม่คิดจะไว้ใจใครอีกต่อไป ไม่รู้จะพึ่งใครไปแจ้งความก็กลัวเรื่องใหญ่ บอกพ่อแม่ก็จะโดนดุด่า เลยไม่รู้จะปรึกษากับใครอีก” น้องเขาจึงมาเล่าเรื่องให้ผมฟังเพราะคิดว่าเป็นนักกฎหมายและรู้จักกันมานาน น่าจะช่วยเหลือได้บ้าง

วิเคราะห์ปัญหา

1.              เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งแรกซึ่งหญิงอายุ 14 ปียอมไปไหนมาไหนกับชายด้วยความยินยอมจนทำให้เกิดเพศสัมพันธ์ถือเป็นความสมัครใจ ซึ่งชายไม่มีความผิดใดๆตามกฎหมายใช่หรือไม่

2.              หลังจากหญิงอายุเกิน 18 ปีมาแล้ว การมีเพศสัมพันธ์กันโดยสมัครใจถือเป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่

3.              การใช้วิธีการเอาภาพโป๊เปลือยของหญิงมาข่มขู่ให้มีความสัมพันธ์ทางเพศถือเป็นความผิดทางกฎหมายหรือไม่

4.              การอนุญาตให้ถ่ายรูปโดยความสมัครใจของหญิง ถือเป็นการยินยอมให้มีการเก็บภาพหรือเผยแพร่ภาพต่อไปใช่หรือไม่

5.              การบังคับกักขังถือเป็นความผิดหรือไม่

การนำกฎหมายมาแก้ไข

1.              เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งแรกซึ่งหญิงยอมไปกับชายด้วยความยินยอมจนทำให้เกิดเพศสัมพันธ์ไม่ถือเป็นความสมัครใจที่คุ้มครองชายเนื่องจากหญิงยังเป็นเด็ก ชายมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อกระทำการชำเรา คือ ผิดเพราะชักชวนและออกไปไหนมาไหนกันจนมีเพศสัมพันธ์

2.              หลังจากหญิงอายุเกิน 18 ปีมาแล้ว การมีเพศสัมพันธ์กันโดยสมัครใจไม่ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย รวมถึงการไปไหนมาไหนหรืออยู่ด้วยกันโดยไม่เป็นที่รับรู้ของพ่อแม่หรือแต่งงาน   กรณีชายอายุต่ำกว่า 18 ปี หญิงอายุกว่า 13 ปี แม้มีความผิดแต่ถ้าภายหลังตกลงแต่งงานกันโดยพ่อแม่ยินยอมก็สามารถกระทำได้

3.              การใช้วิธีการเอาภาพโป๊เปลือยของหญิงมาข่มขู่ให้มีความสัมพันธ์ทางเพศถือเป็นความผิดทางกฎหมายต่อเกียรติยศชื่อเสียงหญิง และความผิดต่อเสรีภาพฐานข่มขืนใจตามกฎหมายอาญา

4.              การอนุญาตให้ถ่ายรูปโดยความสมัครใจของหญิง ถือเป็นการยินยอมให้มีการเก็บภาพเท่าที่หญิงอนุญาต หากหญิงขอให้ลบหรือคืนต้องทำตามและห้ามทำการเผยแพร่ภาพไม่ว่ากรณีใดก็ตาม เพราะจะเป็นความผิดฐานเผยแพร่สื่อลามกอนาจารเพิ่มด้วย

5.              การบังคับกักขังถือเป็นความผิดฐานกักขังหน่วงเหนี่ยวตามกฎหมายอาญา

ช่องทางเรียกร้องสิทธิ

1.              หญิงหรือผู้ปกครองสามารถแจ้งความให้ดำเนินคดีอาญาได้ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือสถานีตำรวจ เพื่อดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิด

2.              หากเกรงเรื่องชื่อเสียงเกียรติยศและความอึดอัดใจอาจไปแจ้งดำเนินคดีที่แผนกคดีปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็กและสตรีของแต่ละสถานีตำรวจก็ได้ เพื่อดูแลหญิงผู้เสียหายเป็นพิเศษ

3.              คดีนี้จะฟ้องร้องกันในศาลอาญาก่อนเมื่อกำหนดความผิดแล้วอาจเรียกค่าเสียในทางแพ่งฯ ไปในคราวเดียวกันได้ด้วย

สรุปแนวทางแก้ไข

                กรณีนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรกนั้นมีการพรากผู้เยาว์แม้จะมีการยินยอมของเยาวชนก็ยังเป็นความผิดเนื่องจากกฎหมายกำหนดไว้อย่างเด็ดขาด   การติดต่อเจ้าพนักงานให้ดำเนินการร่วมกับพ่อแม่จะถือเป็นวิธีการที่รอบคอบทั้งในแง่ป้องกันสิทธิและการนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีก่อนจะเกิดเรื่องในอนาคต   ส่วนเหตุการณ์ในช่วงหลังให้ใช้หลักความผิดต่อเพศ และความผิดต่อเสรีภาพ ชื่อเสียงเกียรติยศ   ซึ่งกรณีนี้สามารถแจ้งความดำเนินคดีฐานข่มขืน และการทำให้เสียหายต่อเกียรติยศชื่อเสียง กักขังหน่วงเหนี่ยว ต่อเจ้าพนักงานตำรวจแผนกคดีปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็กและสตรี โดยจะมีการประกันสิทธิให้กับผู้เสียหายได้ เพื่อป้องกันการข่มขู่และละเมิดสิทธิซ้ำซากต่อไป   


 

 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนกุลพันธ์

ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
การพัฒนาสิทธิแรงงานรับจ้างอิสระ (Freelancer) ต้องยึดโยงกับหลักกฎหมายสำคัญเรื่องการประกันสิทธิของแรงงานอันมีสิทธิมนุษยชนเป็นพื้นฐาน (Human Rights-Based Approach – HRBA) ไว้ เพื่อเป็นรากฐานทางกฎหมายในการอ้างสิทธิและเสนอให้ภาครัฐสร้างมาตรการบังคับตามสิทธิอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่การประกันรายได้รูปแบบ
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของปัจเจกชนจากการเก็บข้อมูลและประมวลผลโดยบรรษัทเอกชนจำต้องปกป้องคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูลตามมาตรฐานที่กำหนดหน้าที่ของผู้ควบคุมระบบตามกฎหมายด้วย เนื่องจากบุคคลหรือกลุ่มองค์กรเหล่านี้ทำหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิเจ้าของข้อมูลในหลายรูปแบบ อาทิ การให้ความรู้เกี่ยวกับสภาพปั
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
บุคคลแต่ละคนย่อมมีทุนที่แตกต่างกันไปทั้ง ทุนความรู้ ทุนทางเศรษฐกิจ ทำให้การตัดสินใจนั้นตั้งอยู่บนข้อจำกัดของแต่ละคนไม่ว่าจะเป็นการไม่รู้เท่าทันเทคโนโลยี ขาดความรู้ทางการเงิน ไปจนถึงขาดการตระหนักรู้ถึงผลกระทบต่อสุขภาพตนเองและผู้อื่นในระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้นรัฐไทยยังมีนโยบายที่มิได้วางอยู่บนพื้นฐานข
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
บทบัญญัติกฎหมายที่ใช้เป็นรากฐานในการอ้างสิทธิในการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนนั้น จะพบว่ารัฐไทยได้วางบรรทัดฐานทางกฎหมายที่รับสิทธิของประชาชนในการรวมกลุ่มกันเพื่อแสดงออกในประเด็นทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มต้นจากหลักการพื้นฐานสำคัญที่เชื่อมโยงเรื่องสิทธิม
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
เทคโนโลยีด้านการสื่อสารที่เข้ามามีอิทธิพลแทบจะทุกมิติของชีวิต ส่งผลให้พฤติกรรมด้านการปฏิสัมพันธ์ของประชาชนเปลี่ยนแปลงไปตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี มีประชาชนจำนวนมากที่ใช้เทคโนโลยีในการหา “คู่” หรือแสวง “รัก” ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการกระทำความผิดที่เรียกว่า Romance Scam หรือ “พิศวาสอาชญากรรม”&
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
เมื่อถามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนว่าอยากเห็นสังคมไทยเป็นเช่นไรในประเด็นการมีส่วนร่วมต่อการกำหนดนโยบายสาธารณะ หรือมีความคาดหวังให้รัฐไทยปรับปรุงอะไรเพื่อส่งเสริมการพิทักษ์สิทธิมนุษยชนของกลุ่มเสี่ยง   นักปกป้องสิทธิมนุษยชนในไทยได้ฉายภาพความฝัน ออกมาดังต่อไปนี้
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
นักปกป้องสิทธิมนุษยชนผู้คร่ำหวอดอยู่ในสนามมายาวนานได้วิเคราะห์สถานการณ์การคุกคามผ่านประสบการณ์ของตนและเครือข่ายแล้วแสดงทัศนะออกมาในหลากหลายมุมมอง ดังนี้
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
สถานการณ์ในด้านสิทธิมนุษยชนในต่างประเทศนั้น มีความสัมพันธ์กับหลายปัจจัยที่อาจเกิดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาการละเมิดต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนภายในประเทศที่เกิดจากข้อค้นพบจากกรณีศึกษา มีปัจจัยดังต่อไปนี้1. สถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับบริบทภายในประเทศ
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
บทวิเคราะห์ที่ได้จากการถอดบทสัมภาษณ์นักปกป้องสิทธิมนุษยชนมากประสบการณ์ ในหลากหลายภูมิภาคไปจนถึงความแตกต่างของการทำงานกับกลุ่มเสี่ยงที่มีปัญหาสิทธิแตกต่างกันไป   เป็นที่ชัดเจนว่าเขาเหล่านั้นมีชีวิตและอยู่ในวัฒนธรรมแตกต่างไปจากมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนและนิติรัฐที่ปรากฏในสังคมตะวันตก ซึ่งสะ
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
การคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงได้ถูกรับรองไว้โดยพันธกรณีระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ให้ความสำคัญประกอบจนก่อให้เกิดอนุสัญญาเฉพาะสำหรับกลุ่มเสี่ยงนั้น ๆ ประกอบไปด้วย สตรี, เด็ก, เชื้อชาติ และ แรงงานอพยพ รวมถึง ผู้พิการ โดยกลุ่มเสี่ยงมีสิทธิที่ถูกระบุไว้ในปฏิญญาว่าด้วย
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
แนวทางในการสร้างนโยบาย กฎหมาย และกลไกเพื่อคุ้มครองสิทธิประชาชนจากการสอดส่องโดยรัฐมาจาการทบทวนมาตรฐานและแนวทางตามมาตรฐานสากลเพื่อสร้างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายครอบคลุม 2 ประเด็นหลัก คือ
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
ต้นปี 2563 หลังจากการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ บรรยากาศความขัดแย้งทางการเมืองไทยที่ถูกกดไว้มาตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 2557 ก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง เกิดการเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมืองเพื่อต่อต้านรัฐบาลกระจายไปทั่วทุกจังหวัดในรัฐไทย จุดสำคัญและเป็นเรื่องที่ไม่ปรากฏขึ้นมาก่อนในหน้าประว