คราวนี้เราจะกล่าวถึงเรื่องใด?
ครั้งนี้ เราจะยกเรื่อง เวลาที่มีผลกับกฎหมายมาชำแหละครับ โดยเราจะมาพูดถึงเรื่อง กาละ หรือ “เวลา” ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายอย่างครอบคลุม เพื่อให้เห็นว่าเวลามีผลกับกฎหมายอย่างไร หรือกฎหมายกำหนดเกี่ยวกับเรื่องเวลากันไว้อย่างไรบ้าง หลังจากที่เคยพูดเรื่อง กฎหมาย กับเวลาพิเศษ(รัฐประหาร) ไปแล้ว
แต่ ครั้งนี้จะเล่าเรื่องเบาๆ ที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของทุกท่านมากขึ้นครับ
เมื่อเริ่มเป็นคน กฎหมายก็ไปกำหนดเลยว่า สภาพบุคคลจะมีขึ้นเมื่อคลอดและอยู่รอดเป็นทารก ครับลักษณะการกำเนิด ผมได้ยินคนที่ไม่ได้เรียนกฎหมายมาท่องให้ฟังประจำเลยฮะว่า เรียนกฎหมายเบื้องต้นมาเหลืออยู่ในหัวแค่นี้ ไม่เป็นไรครับ รู้ว่าเราเป็น “บุคคล” ก็สำคัญที่สุดแล้วครับ เพราะมันจะนำมาซึ่ง “สิทธิ” และ “หน้าที่” เหมือนกับประชาชนคนอื่น แต่จะแตกต่างกันอย่างไร อาจต้องดูเงื่อนเวลาที่จะว่าต่อไปนี้ครับ
วันเวลาสร้างผลทางกฎหมาย
เวลากลางวัน กลางคืนนี่มีผลกับคดีทางอาญามากเลยนะครับ ความผิดบางฐานจะต้องได้รับโทษเพิ่มขึ้นเมื่อกระทำในเวลากลางคืน เช่น การบุกรุก ก็เข้าใจได้ง่ายๆเลยนะครับ เพราะการบุกรุกในยามวิกาลเนี่ย อันตรายมันก็เยอะ ความเสี่ยงต่อเจ้าของบ้านก็สูง ใครเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ต้องรับโทษมากกว่ากลางวัน
การเข้าตรวจค้นของเจ้าพนักงานก็เหมือนกันนะครับ โดยหลักแล้วจะต้องเข้าขอตรวจค้นตามหมายศาลในเวลากลางวัน คือ ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน และหลังพระอาทิตย์ขึ้น ไม่อย่างนั้นการเข้าตรวจค้นจะไม่มีผลทางกฎหมาย และอาจนำไปสู่การฟ้องร้องให้เจ้าพนักงานรับผิดเพิ่มเติมด้วย
นอกจากนี้ วันที่เรานับตามสากลตั้งแต่ 00:01-24:00 น. ก็ยังเป็นการนับจำนวนวัน 1 วัน ด้วย ไม่ใช่เริ่มที่ 6:00 น. แบบการดูดวงไทยนะครับทุกท่าน ดังนั้นการนับวัน สัญญา จำคุก คุมขัง ที่มีระยะเวลาก็จะนับกันตามนี้
หากมีการเขียนว่า เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 ก็จะครบเดือนใหม่ในวันที่ 6 ของเดือนถัดไปครับ หากจะครบปีก็จะนับถึงวันที่ 6 เดือนเดียวกันของปีถัดไป นะครับ ก็เข้าใจกันง่ายๆอย่างนี้
กฎหมายมากำหนดเวลา
วันเวลาก็เดินไปเรื่อยๆ หากไม่มีการกะเกณฑ์อะไรเลย ก็จะมีผลต่อการนับและกำหนดผลของการกระทำหลายๆอย่าง เช่น ใครจะมีอำนาจตัดสินใจเต็มในชีวิต เราจะมีเวลานานเท่าไหร่ในการตัดสินใจ หรือคู่ความจะมีเวลามากน้อยเพียงไรในการฟ้องร้องกัน กฎหมายแต่ละประเทศจึงต้องกำหนด “เวลา” ตามแต่วัฒนธรรมของตน แต่ก็ยังมีเวลาบางอย่างที่ทั่วโลกพยายามผลักดันให้เป็นสากล เช่น ไม่ควรมีโทษประหารชีวิตผู้เยาว์ที่อายุไม่เกิน 20 ปี เป็นต้น
การบรรลุนิติภาวะในประเทศไทยกำหนดไว้ที่ 20 ปี มีผลให้คนปลดแอกตัวเองจากพ่อแม่ผู้ปกครอง อยากจะเข้าผับดื่มเหล้าอะไรก็ได้เต็มที่ แต่ก็มีกฎหมายมากำหนดเวลาในการประกอบกิจการเหล่านั้นด้วย แต่นั่นก็เป็นเรื่องเล็กๆ เมื่อเทียบกับกิจกรรมทั้งหลายอีกมากมายที่เปิดโอกาสให้ผู้บรรลุนิติภาวะได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง
สงสัยอยู่หน่อย คือ ทำไม อายุ 18 ปี เลือกตั้งกำหนดอนาคตประเทศและชีวิตคนอื่นได้แต่ยังกำหนดอนาคตตนเองหลายๆ เรื่องไม่ได้ ตั้งแต่แต่งงานเอง ทำสัญญา ซึ่งเกี่ยวกับการทำมาหากินเลี้ยงชีพ
แต่ที่ต้องระมัดระวังสำหรับสุภาพบุรุษ คือ การคบหาดูใจแล้วอาจจะชักนำหญิงหายไปจากผู้ปกครอง แม้จะได้รับความยินยอมจากเจ้าตัว แต่อาจมีคดีพรากผู้เยาว์ติดตัวได้ หากอายุยังไม่เกิน 18 ปี แต่ก็เห็นคดีต่อเนื่องเกี่ยวกับเพศ ก็ยังมีการยกเหตุ “ภาพลักษณ์” เกินผู้เยาว์มาสู้อยู่เนืองๆ บอกว่าเรื่องของเรื่อง เนื้อตัวร่างกายอาจเข้าใจผิดได้ว่า อายุเกินแล้ว
เวลาไม่คอยท่า อย่าทำอะไรเมื่อสายเกินไป
หากอะไรต่อมิอะไรอยู่ยั้งยืนยงตลอดกาล ก็คงสับสนอลหม่านน่าดู เพราะอะไรที่ดูเป้นอดีตก้จะกลับมามีผลในปัจจุบัน ทั้งที่เจ้าตัวผู้ประกาศคำมั่นอาจจะลืมสัญญาไปเสียแล้ว
กฎหมายจึงมากำหนดระยะเวลาในการ “ให้คำมั่น” เสนอข้อสัญญา และบอกว่าจะต้องใช้โอกาสภายในวันเวลาที่เหมาะสมในการตอบสนอง หากปล่อยเนิ่นนานไปจะมาขอทำสัญญา ก็อาจจะต้องเริ่มข้อเสนอใหม่เพื่อให้อีกฝ่ายตัดสินใจอีกครั้ง เพราะเมื่อเวลาเปลี่ยนใจคนก็เปลี่ยนไปตามเงื่อนไขทั้งหลายที่แวดล้อมไปด้วย เช่น ต้นทุนเปลี่ยน หรือมีคนอื่นมาตัดหน้าทำสัญญาไปก่อนแล้ว
เหมือนที่ไข่ย้อยดันมาบอกว่า
“ดา กานดา ชั้นรักแกว่ะ” ในวันที่ช้าเกินไปจน เธอต้องตอบกลับไปว่า
“แล้วแกมาทำอะไรเอาตอนนี้” เพราะว่าเธอมีแฟนไปแล้วนั่นเอง เฮ่อออ... มาคิดได้ก็สายเกินไปไม่ทันแล้วล่ะครับ
นอกจานั้น กฎหมายยังป้องกันการเกิดคดีล้นโรงล้นศาลจนภาระงานของกระบวนการยุติธรรมมาเกินไปจนจัดการไม่ไหว ด้วยการกำหนดให้ประชาชนผู้มีปัญหา ต้องนำคดีความมาฟ้องร้องตามเงื่อนเวลาที่กฎหมายกำหนด แม้จะเคยพูดก่อนหน้านี้ว่ามีกรณีอาชญากรรมระหว่างประเทศที่ไม่มีอายุความ ก็ด้วยเหตุที่มันเป็นการละเมิดสิทธิร้ายแรง แต่คดีส่วนใหญ่ในโลกนี้มี “อายุความ”
กฎหมายกำหนดอายุความในหลายกฎหมาย เช่น กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มักจะบอกว่า คู่ความต้องฟ้องร้องภายใน 1 ปีนับจากวันที่รู้ หรือ 10 ปีนับแต่วันที่เหตุการณ์เกิด หรือกฎหมายอาญาบอกว่าความผิดฐานนี้มีอายุความ 20 ปีเป็นต้น จนมีคนนำไปแต่งเป็นนิยายขายดี ว่าด้วยนักโทษหนีคดีที่มามอบตัวในวันสุดท้ายก็มีอยู่ประจำ เพราะถ้ามันผ่านไปกฎหมายก็ทำอะไรไม่ได้
หากมีการฟ้องร้องกันในคดีแพ่งฯ หรือมีการชำระหนี้บางส่วน หรือเริ่มชดเชยความเสียหายไปแล้วอายุความก็จะสะดุดหยุดลง หากมีปัญหาเบี้ยวกันก็เริ่มนับอายุความกันใหม่
ถ้ามีการฟ้องร้องในคดีอาญา หรือเข้าสู่กระบวนการระงัข้อพิพาททางเลือกต่างๆทางแพ่งฯ อายุความก็จะสะดุดหยุดอยู่ ไม่ต้องนับเวลาต่อไปจนหมดอายุความนั่นเอง
ดังนั้นคดีความต่างๆ จึงต้องระมัดระวังการฟ้องร้องให้อยู่ในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดอายุความไว้
ต่างจากคดีอาชญากรรมร้ายแรงพวก ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมสงคราม อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ ที่ผู้ก่ออาชญากรรมทำความผิดเมื่อไหร่ ก็ยังตกอยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลไปตลอดกาล
อดีต ปัจจุบัน และอนาคต
กฎหมาย เป็น กติกา ที่ต้องตกลงกันไว้ล่วงหน้า เพื่อว่าคนในสังคมจะได้รู้ว่าหากทำอะไรจะมีผลทางกฎหมายอย่างไร เพื่อชั่งใจก่อนตัดสินใจกระทำ เพราะหากทำลงไปแล้ว เขาจะต้องรับผลของกฎหมายเอง โดยเฉพาะกฎหมายที่มีผลร้าย
คนทั้งสังคมจะคาดเดาได้ล่วงหน้าว่า “อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ” กฎหมายที่มีโทษ(ผลร้าย)ทั้งหลายจึงสร้างขึ้นไว้เพื่อที่จะบอกคนในสังคมด้วยว่า “ถ้าไม่ห้ามหรือกำหนดโทษไว้ก็ทำได้ แต่ต้องไม่ทำอะไรที่กฎหมายบอกว่าผิดและกำหนดโทษ” ดังนั้นจึงมีสุภาษิตกฎหมายว่า “ห้ามอ้างว่าไม่รู้กฎหมาย” แม้หลายกรณีอาจจะมีข้อโต้แย้งว่า ใครจะรู้กฎหมายทั้งหมดล่ะ ก็ใช่ครับ มันคือปัญหาของการแพร่ข้อมูลทางกฎหมาย
การบอกล่วงหน้าถึงผลของการกระทำตามกติกาของสังคม คือ การบอกว่านับแต่นี้เป็นต้นไปจะต้องเลี้ยงตัวอยู่ในกรอบขอบเขตแค่ไหน ซึ่งนำไปสู่การฝึกฝนขัดเกลา ปรับตัวให้เข้ากับกฎระเบียบสังคม
ถ้าย้อนหลังไป ไม่ได้ตั้งตัว ไม่รู้ว่าเป็นความผิด แล้วเกิดความผิดติดตัว ก็ทำให้สังคมนั้นอยู่ด้วยความ "หวาดกลัว"
ดังที่เคยมีการถกเถียงกันมากว่า การกำหนดผลร้ายทางกฎหมายย้อนหลังไปสู่การการทำกระทำที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต จะเป็นธรรมกับคนที่ไม่รู้มาก่อนว่าการกระทำของตนจะมีผลร้ายขนาดนั้นหรือไม่ เช่น กรณีคณะรัฐประหาร 2549 ออก ประกาศ คปค.ฉบับที่ 27 กำหนดให้กรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบต้องเสียสิทธิในการลงรับสมัครเลือกตั้งไป 5 ปี จึงมีข้อถกเถียงกันมากในประเด็นนี้ว่า สมควรแล้วหรือที่จะให้กฎหมายมาตัดสิทธิมีผลร้ายกับการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนกฎหมายของคณะรัฐประหารเช่นว่า
เปรียบเสมือนคนมีแฟนขี้หึง ที่คู่รักมักจะล้วงลึกกลับไปดึงสิ่งที่เกิดในอดีตมาไล่บี้ ชนิดที่ยังงง และสงสัยว่า อะไรที่เกิดขึ้นก่อนพบกับคุณ ทำไมมันต้องมามีผลตัดสินเราในปัจจุบันด้วย เพราะไม่รู้จะช่วยแก้ไขให้สบายใจอย่างไร ในเมื่อตอนที่เราทำยังไม่รู้เลยว่าจะได้มาคบกับคุณ
หลักกฎหมายสำคัญจึงบอกห้ามบังคับใช้กฎหมายที่มีผลร้ายกับการกระทำในอดีต หรือที่เรียกว่าหลัก “ห้ามใช้กฎหมายย้อนหลัง” ซึ่งเป็นกฎเหล็กที่ต้องยึดถือตลอดเวลาแม้ในยามศึกสงคราม หรือสถานการณ์ฉุกเฉินใดๆก็ตาม
หากอดีตตามมาหลอกหลอนได้ ปัจจุบันก็ต้องอยู่ด้วยความกระวนกระวาย และคงไม่มีกระจิตกระใจไปพัฒนาตัวเองต่อไปในอนาคต
เฉพาะกฎหมายที่เป็นผลดีเท่านั้นจึงมีผลไปในอดีต เพื่อปลดแอกคนได้ เช่น การยกเลิกกฎหมายอาญาแล้วปล่อยนักโทษที่เคยทำผิดกฎหมายข้อนั้น
หรือ การนิรโทษกรรมที่เป็นธรรมกับสามัญชน ที่มีผลในการลดความขัดแย้งทางสังคมแบบ คำสั่งที่ 66/2523 เป็นต้น
ในช่วงบั้นปลายของชีวิต กฎหมายก็จะบอกว่าเวลาในชีวิตของบุคคลจบลงด้วยการ “ตาย” เมื่อก้านสมองไม่ทำงาน
ส่วนกฎหมายก็จะตายเมื่อยกเลิกกฎหมาย หรือมีกฎหมายเรื่องเดียวกันฉบับใหม่ออกมาทับ