Skip to main content

เนื่องจากมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับปรัชญากฎหมาย สำนักกฎหมายธรรมชาติ และสำนักกฎหมายบ้านเมือง ในการตอบโต้ทางการเมืองอยู่บ่อยครั้ง   และตำราด้านปรัชญากฎหมายไทยก็มีความเฉื่อยกว่าพัฒนาการด้านปรัชญากฎหมายที่ถกเถียงและพัฒนามาอย่างต่อเนื่องในระดับโลก   จึงขออธิบายให้เข้าใจดังต่อไปนี้

 

สำนักกฎหมายบ้านเมือง ยอมรับอำนาจเผด็จการเป็น รัฐาธิปัตย์ จริงหรือ?

มีความเข้าใจผิดว่าถ้าใครมีอำนาจสูงสุดในรัฐก็จะเป็น "รัฐาธิปัตย์" เป็นองค์อธิปัตย์จะออกกฎหมายมาอย่างไรก็ได้ ซึ่ง “ผิดมหันต์”

สำนักกฎหมายบ้านเมือง เสนอว่าการบัญญัติกฎหมายต้องคำนึงถึงองค์กร/สถาบันที่มีอำนาจในการออกกฎหมายเป็นหลัก แต่นักกฎหมายสำนักนี้ก็ได้สร้างปรัชญาตามพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ รัฐาธิปัตย์ต้องมีที่มาชอบด้วยกฎหมายต่างๆที่มีอยู่ด้วย   ดังนั้นการออกกฎหมายใดๆจะต้องคำนึงถึงวิธีการและ เนื้อหา มิให้ไปละเมิดกฎหมายเดิมที่มีอยู่ เช่น กฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายมหาชน ฯลฯ นั่นก็คือ เรื่องศักดิ์ของกฎหมาย

ยกตัวอย่าง

หากประเทศนั้นจะออกกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งใหม่ ก็ต้องใช้วิธีการและองค์กรที่กฎหมายกำหนดไว้ล่วงหน้า การใช้อำนาจเข้ายึดหรือฉีกกฎหมายเดิมทิ้ง แล้วเขียนกฎหมายขึ้นตามที่กลุ่มตัวเองเห็นว่าดี โดยไม่สนใจว่า กฎหมายเดิมที่ให้ตัวแทนของประชาชนเป็นผู้ออกกฎหมาย จะกระทำมิได้ เป็นต้น  

การมีขบวนการเคลื่อนไหวให้ยกเลิกกฎหมาย ก็ต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย เช่น ยื่นเข้าตามช่องทาง หรือรณรงค์ให้ตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งตามกฎหมาย ขับเคลื่อนต่อไป   หากจะถอดถอนนักการเมืองก็ไปยื่นตามกระบวนการต่างๆที่กฎหมายกำหนดไว้ มิใช่การสร้างความปันป่วนจนนำไปสู่การใช้กำลังดิบเข้ายึดอำนาจแล้วเขียนกฎหมายขึ้นใหม่ตามอำเภอใจ  รวมถึงต้องคำนึงถึงกฎหมายระหว่างประเทศที่รัฐนั้นผูกพันอยู่ด้วย นั่นเอง

 

สำนักกฎหมายธรรมชาติ เพ้อฝันว่า สิทธิเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ กระนั้นหรือ?

มีความเจ้าใจผิดว่า สิทธิตามธรรมชาติ ผุดขึ้นเองตามธรรมชาติซึ่ง “มิใช่” สิ่งที่สำนักกฎหมายธรรมชาติเสนอ

สำนักกฎหมายธรรมชาติเสนอว่าการบัญญัติกฎหมาย ต้องดูธรรมชาติของมนุษย์แล้วเขียนขึ้นเพื่อรับรองสิทธิความเป็นคนที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด และอาจขยับขยายรับรองสิทธิเพิ่มเติมได้ตามการเรียกร้องของประชาชน เมื่อสังคม เทคโนโลยีต่างๆ เปลี่ยนไป   แต่ก็ยังเป็น “คน” ที่สร้างขึ้นเพียงแต่ต้องรับฟังประชาชน คำนึงถึง “มาตรฐานขั้นต่ำสุด” ในการดำรงชีวิตอย่างมี “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”

ยกตัวอย่าง การสร้างกฎหมายที่รับรอง “เนื้อหา” สิทธิของคนในการดำรงชีพอย่างมีศักดิ์ศรี

สิทธิมนุษยชน ยุคที่ 1 สิทธิที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด พวก Negative Rights เช่น สิทธิในชีวิต เนื้อตัวร่างกาย ไม่ถูกทรมาน

สิทธิมนุษยชน ยุคที่ 2 สิทธิของมนุษย์ที่เชื่อมโยงกับสิ่งอื่น พวก Positive Rights เช่น สิทธิในทรัพย์สิน สังคม วัฒนธรรม

สิทธิมนุษยชน ยุคที่ 3 สิทธิของกลุ่มมนุษย์ Collective Rights เช่น สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองของกลุ่มชน (Right to Self-Determination of Peoples) หรือสิทธิที่นำไปสู่ความเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างแตกต่างหลากหลายตามลักษณะเฉพาะ เช่น สิทธิของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT Rights) เป็นต้น

ส่วนวิธีการในการคุ้มครองสิทธินั้น หลังจากผ่านมานับร้อยปี มีการตกลงร่วมกันจนออกมาเป็นกฎหมายแล้วว่า สิทธิมนุษยชน เป็น “สิทธิขั้นต่ำ” ที่มนุษย์ที่ไหนก็ต้องมีเหมือนกันอย่างเป็นสากล (Universal)   ดังนั้นการคุ้มครองสิทธิจะไม่มีการแยกขาดกันระหว่างวิธีการสร้างกลไกห้ามรัฐมิให้ละเมิดสิทธิแบบ Negative Rights กับวิธีการสร้างมาตรการเพิ่มเติมขึ้นมารับรองสิทธิให้ดีขึ้นแบบ Positive Rights เพราะทุกสิทธิเชื่อมโยงซึ่งกัน และการส่งเสริมสิทธิต่างๆก็พึ่งพิงซึ่งกันและกัน นั่นเอง (Relationship and Inter-Dependence of Rights)   โดยมีการเขียนป้องกันรัฐเผด็จการมิให้มายกเลิกสิทธิเดิมที่มีอยู่ก่อนแล้วด้วย (Non-Alienation of Rights)

 

 

สำนักกฎหมายธรรมชาติ และสำนักกฎหมายบ้านเมือง มีจุดยืนต่างกันไหม?

เมื่อดูข้อเสนอที่สำนักกฎหมายทั้งสองพัฒนา จะเห็นได้ชัดว่า การสร้างกฎหมายต้องคำนึงถึง กฎหมายที่มีอยู่ “ตัวแทนของประชาชน” และเสียงของประชาชน  เพื่อสร้างกฎหมายที่ตอบสนองต่อ “ความจำเป็นพื้นฐาน” ในการดำรงชีพของมนุษย์

สิทธิมนุษยชน จึงเป็น มรดกทางอารยธรรมที่มนุษย์ค้นเจอหลังผ่านสงครามระหว่างเชื้อชาติ ศาสนา ลัทธิการเมือง ฯลฯ ด้วยเหตุนี้สิทธิมนุษยชนจึงเป็น คุณค่าหลัก หากรัฐยังศรัทธาและแสวงหา “สันติภาพอย่างยั่งยืน”    นี่คือ สาเหตุว่าทำไมการเรียนการสอนกฎหมายในอารยประเทศมี “สิทธิมนุษยชน” เป็นแก่นกลางและรากฐานทั้งหมด   เพราะ กฎหมายสร้างขึ้นโดยมนุษย์ เพื่อมนุษย์ และเป็นของมนุษย์ นั่นเอง    (การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม หรือสัตว์ ก็เพื่อให้มนุษย์สามารถดำรงชีพอยู่ได้ในโลกนี้อย่างมีศักดิ์ศรี)     ต่างจากประเทศไทยที่มักเลี่ยงไปใช้คำว่า “สิทธิเสรีภาพ” โดยทำให้ “มนุษย์” หายไป

แม้ในเบื้องต้น สำนักกฎหมายทั้งสอง จะ “เริ่มต้น” มาจากคนละมุม แต่เป้าหมายและวิธีการในปัจจุบันมาบรรจบกัน คือ ที่มาและวิธีการต้องชอบด้วยกฎหมาย และเนื้อหาต้องไม่ขัดกับกฎหมายต่างๆ ที่รับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั่นเอง

ยกตัวอย่างให้เป็นรูปธรรม คือ

สำนักกฎหมายธรรมชาติ อาจจะให้ความสำคัญกับออกกฎหมายตามการเรียกร้องของประชาชนที่มาจากเบื้องล่างมากหน่อย เช่น ประชาสังคม ขบวนการเคลื่อนไหวสังคมแนวใหม่ เพื่อรองรับการออกกฎหมายที่ผลักดันด้วยเสียงประชาชน (Revolution from Below)   แต่ก็มิใช่ไปล้มล้างระบบกฎหมายหรือกลไกรัฐเดิมที่สร้างโดยตัวแทนประชาชน

สำนักกฎหมายบ้านเมือง อาจจะคำนึงถึงการใช้องค์กร/กลไกที่กฎหมายกำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น ใช้รัฐสภา ฝ่ายนิติบัญญัติที่มาจากวิธีการที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือการรับฟังเสียประชาชนที่มาตามช่องทาง เช่น การประชามติ การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย จึงอาจมีลักษณะการปฏิรูป (Revolution from the top down) แต่ก็ต้องคำนึงถึงความชอบธรรมของวิธีการที่ยึดโยงอยู่กับตัวแทนประชาชนหรือการมีส่วนร่วมของประชาชนตามที่กฎหมายรับรองเสมอ

ส่วนเนื้อหา ก็คือ การสร้างรัฐที่ใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชน หรือที่ในสากลโลก กล้าเรียกตรงๆว่า

“สิทธิมนุษยชน”

 

มุขตลก “สิทธิมนุษยชนเป็นของตะวันตก ไม่มีในอารยธรรมตะวันออก”

ข้ออ้างนี้มีมาอย่างยาวนาน ดังที่สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือจีน เสนอว่า ไม่ควรนำความเป็น สากลของสิทธิมนุษยชน มาใช้กับประเทศอื่นที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะเอเชียที่มีระบบคุณค่าแตกต่างไปจากตะวันตก (Asian Value)

คนเอเชียเป็นคนหรือไม่ มีอะไรที่ติดตัวต่างจากคนที่อื่นไหม   คนเอเชียมีความต้องการในการบริโภค หรือใช้สอยทรัพยากรหรือไม่  สังคมและวัฒนธรรมเอเชียไม่เหมือนกับตะวันตกอย่างสิ้นเชิงกระนั้นหรือ?   นี่คือ สิ่งที่ต้องตอบ ก่อนอ้างลอยๆ

ในวัฒนธรรมตะวันออกเอง ก็มีคุณค่าด้าน มนุษยธรรม หรืออาจเรียกรวมๆว่า คุณค่าแบบ “มนุษยนิยม”

วัฒนธรรมและประเพณีของเอเชียจำนวนมากที่มีลักษณะนี้ เช่น ศาสนาสำคัญ คำนึงถึงศักยภาพของมนุษย์ในการพัฒนา

วิถีประชา ที่คนอยู่ร่วมกับฐานทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องต่างๆในหมู่บ้าน ในชุมชน เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งต่างๆ เช่น ระบบเหมืองฝาย ระบบการจัดการของหน้าหมู่ ฯลฯ

 

การอ้างเรื่อง คุณค่าที่แตกต่าง จึงมักออกจากปากของ “ผู้นำรัฐ” ที่พยายามสร้างระบอบเผด็จการมาควบคุมประชาชนทั้งหมดในดินแดน โดยพยายามยกเลิกกฎอื่นๆที่ต่างไปจากนโยบาย “รวบอำนาจรัฐเข้าสู่ศูนย์กลาง”  ทั้งที่รัฐสมัยใหม่เพิ่งเกิดมาแค่หลักร้อยปี   แต่ชุมชนและคนอยู่กันมานับพันปีโดยมีศาสนาและประเพณี วิถีประชาที่รับรองคุณค่า “ความเป็นคน” ที่หวงแหนเสรีภาพในชีวิตประจำวันของตนมาอย่างยาวนาน

 

วิกฤตของรัฐ เมื่อปะทะกับ “การกำหนดอนาคตตนเอง” ของประชาชน

วิกฤตของรัฐสมัยใหม่จำนวนมากที่พยายามรวบอำนาจทั้งหมดเข้าสู่ศูนย์กลาง ให้ท้องถิ่นหรือชุมชนมีอำนาจเพียงน้อยนิดในการจัดการตนเอง   ย่อมเป็นการบีบคั้นความต้องการพื้นฐานในการกำหนดอนาคตตนเอง   เช่น    ทำไมพื้นที่นี้ผลิตรายได้ขึ้นมามาก แต่ได้รับการแบ่งงบประมาณกลับมาเพียงเล็กน้อย   หรือ   คนที่นี่เคยอยู่อย่างนี้กันมามีกลไกจัดการปัญหากันเองได้ แต่พอเอาระบบราชการเข้ามาทำให้ความสัมพันธ์ในการคลี่คลายปัญหาพัง ทำให้ชุมชนหรือท้องถิ่นไม่น้อยอยากกลับไปฟื้นฟูกลไกเดิม หรืออยากจัดการตนเอง เป็นต้น

ในระดับโลกที่มีความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และเศรษฐกิจที่สลับซับซ้อน ก็เริ่มสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลกลางที่จัดการปัญหาสารพัดอย่างไม่ได้ดั่งใจ ถูกท้าทายโดยคนในพื้นที่ต่างๆ มากขึ้น เช่น การเรียกร้องขอแยกดินแดนไปเพื่อให้รอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจการเมืองในสก็อตแลนด์ หรือการแยกดินแดนออกไปจัดการตามความต้องการของต่างชาติพันธุ์ในคาตาลุนญ่า   และก่อนหน้านั้นในดินแดนเกิดใหม่ เช่น ติมอร์ตะวันออก เชค สโววัก บอสเนีย เฮอร์เซโกวีน่า ฯลฯ

 

อ่านประสบการณ์รัฐที่เคยผ่านปัญหานี้มาแล้ว

เราคงไม่มีโอกาสเห็น คนอเมริกันในมลรัฐใด ลุกขึ้นมาชุมนุมของแยกดินแดนออกจากสหรัฐ   เพราะได้มีการออกแบบระบบ “สหรัฐ” เพื่อแบ่งสรรอำนาจระหว่าง “รัฐบาลกลาง” กับ “มลรัฐ” ไว้แล้วนั่นเอง

ในราชอาณาจักรสเปนที่มีสงครามกลางเมืองต่อเนื่องยาวนาน ในที่สุดก็สามารถยุติสงครามภายในด้วยการ สร้างรัฐธรรมนูญที่ยอมรัฐ   “แคว้นปกครองตนเอง” เพื่อแสวงหาจุดร่วมโดยยังคงสงวนจุดต่างไว้ได้ มิเช่นนั้น คงมีสงครามแยกดินแดนอย่างรุนแรงไปแล้วหากมองย้อนไปในประวัติศาสตร์การสู้รบที่เคยเป็นมา

กลับกันการพยายามรวมอำนาจทั้งหมดรวมศูนย์แล้วให้ระบบราชการจัดการสารพันปัญหาต่างหาก ที่เป็นการตั้งระเบิดเวลาโดยรวมทุกอย่างให้วิ่งเข้าหาศูนย์กลาง

 

การป้องกันความขัดแย้งที่สำคัญ คือ การสร้างสมดุลระหว่างการ คงอยู่ของรัฐ กับ การกำหนดอนาคตตนเองของประชาชน   โดยการออกแบบขีดขอบเขตในรูปของ “กฎหมาย” ระหว่างอำนาจรัฐ กับ สิทธิมนุษยชน นั่นเอง

 

ดังนั้น   ใครก็ตามที่บอกว่า สิทธิมนุษยชน ไม่มีจริง ก็คือ คนที่บอกว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์ ไม่ว่าจะ เหนือกว่าคนอื่นเป็นเทพเจ้า หรือ ชั่วร้ายกว่าคนอื่นเป็นอมนุษย์   

 

 

*สนใจอ่าน นิติปรัชญารุ่นประชาธิปไตย เบื้องต้น ได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/H._L._A._Hart และ http://en.wikipedia.org/wiki/John_Rawls  ที่ทำให้แม่น้ำสองสายมาบรรจบกันเพื่อ มนุษยชาติ

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
ตลอดระยะเวลาแห่งความขัดแย้งทางการเมือง ได้มีกลุ่มต่างๆ เสนอทางออกของปัญหาด้วยการใช้กฎหมายมากมายหลายมาตรา   แต่มาตราหนึ่งซึ่งเป็นข้อถกเถียงมาก คือ การใช้รัฐธรรมนูญ ม.7 ตั้งแต่เมื่อคราวที่ยังใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เรื่อยมาจนถึง ฉบับปี 2550   คนจำนวนไม่น้อยคงสงสัยมากว่า มาตรา 7
ทศพล ทรรศนพรรณ
เอาล่ะครับ พ่อแม่พี่น้อง เรื่องถัดไปนี่คงเป็นความสนใจของเพื่อนพ้องหลายๆพื้นที่นะครับ ผมได้รับแจ้งเข้ามาว่า  เจ้าพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่หนึ่งมีการเพิกเฉย ละเลย ดูแลปัญหาความเดือดร้อนของคนในพื้นที่ แถมยังมีเรื่องราวกินสินบาทคาดสินบนทำให้ชาวบ้านจนปัญญาจะหาทางแก้ไขเข้าไปอีก&n
ทศพล ทรรศนพรรณ
พลังเหนือมนุษย์ ที่จะพูดถึงในครั้งนี้ประกอบไปด้วยสองส่วน คือ พลังธรรมชาติ และพลังลี้ลับ   ซึ่งกฎหมายก็ได้พูดถึงสองสิ่งนี้อยู่ไม่น้อยทีเดียว
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้เป็นสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้แรงงานในยามที่เจอกับภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด เราคงได้ยินเสียงผู้ประกอบการบ่นให้ฟังว่า ยอดสั่งซื้อตก กำไรหด ต้องลดกำลังการผลิตเพื่อให้บริษัทอยู่รอดกันใช่ไหมครับ  แต่ทราบไหมครับว่า ทุกครั้งที่บอกว่าขาดทุนและต้องลดต้นทุนหรือกำลังการผลิตนั้น มันหมายถึงการป
ทศพล ทรรศนพรรณ
             กฎหมายสมัยใหม่ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ มีสิ่งที่ต้องเข้าใจร่วมกันว่า ได้ให้อำนาจเด็ดขาดแก่รัฐในการบีบบังคับประชาชนในรัฐ และลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายโดยการใช้ความรุนแรงนับตั้งแต่ การประหารชีวิต การจำคุก การควบคุมตัว ริบทรัพย์ ในระบบกฎหมายอาญา  ไ
ทศพล ทรรศนพรรณ
ทุกท่านคงทราบกันแล้วนะครับว่าปัจจุบันกฎหมายไทยเกี่ยวกับเรื่องข่มขืนได้มีการปรับปรุงแก้ไขไปให้ทันกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจริง เพราะมิใช่เพียง
ทศพล ทรรศนพรรณ
คงมีหลายคนสงสัยว่าทำไมนักกฎหมายมักย้ำเสมอว่าปัญหาทางกฎหมายต้องตอบในลักษณะ “หนึ่งคำถาม หนึ่งคำตอบ”    กล่าวคือ ในปัญหาเรื่องนั้นจะต้องมีคำชี้ขาดขององค์กรตุลาการหรือองค์กรวินิจฉัยชี้ขาดที่ชัดเจนแน่นอนเพียงหนึ่งเดียว   ห้ามมีคำตอบแตกต่างหลากหลาย   เช่น  
ทศพล ทรรศนพรรณ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับผู้ใช้รถใช้ถนนทั้งในเมืองและต่างจังหวัด เนื่องจากในบางเส้นทางจะมีด่านตรวจของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อถูกกักตัวหรือขอตัวค้นรถตอนถึงด่าน   ทั้งยังสงสัยกับพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ตรงด่านว่าใช่ตำรวจหรือไม่ มีอำนาจหน้าที่อะไ
ทศพล ทรรศนพรรณ
       หลายครั้งที่เราสงสัยกันว่าทำไมเรื่องที่เค้าเถียงกันแทบเป็นแทบตายไม่มีคำตอบที่ชัดเจนสักที ตำรวจก็บอกว่าต้องทำตามกฎหมายข้อนี้ นักกฎหมายก็อ้างว่าไม่ได้ต้องดูกฎหมายอีกฉบับด้วย แล้วพอไปออกรายการทีวีเถียงกันก็ยังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เพราะปัญหาเดียวกันไหงมีกฎหมายมาเกี่ยวข้องต้อง
ทศพล ทรรศนพรรณ
ปัจจุบันมีคนจำนวนมากเข้าไปทำงานตามร้านอาหารหรือสถานบริการต่างๆมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ตามจำนวนร้านรวงที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด จุดไหนมีคนทำงานหรือเรียนหนังสือเยอะๆก็จะมีร้านตั้งมาดักไว้เต็มไปหมด ก็มีคนพูดไว้เยอะว่าร้านอาหารที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นแหล่งมั่วสุมของนักศึกษาหรือว่าคนทำงานในวัยหนุ่มสาว&
ทศพล ทรรศนพรรณ
ตอนนี้เราจะมาดูกันนะครับว่า ทำไมเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นมาในสังคม เราจึงต้องใช้กฎหมายมายุติความขัดแย้ง   เหตุผลของเรื่องนี้ก็ต่อมาจากตอนที่แล้วซึ่งเราบอกว่า กฎหมาย คือ กติกา ที่สังคมกำหนดขึ้นมาร่วมกัน เพื่อชี้ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้น แล้วตกลงกันไม่ได้ จะ “ยุติ” ความขัดแย้งอย่างไรใ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องที่ผมจะเอามาเล่าสู่กันฟังเป็นความเดือดร้อนแสนสาหัสของน้องสองคนซึ่งได้รับผลกระทบจากการประกาศภาวะฉุกเฉิน เคอร์ฟิว ในช่วงที่มีการปราบปรามและสลายการชุมนุม   ซึ่งมันเกี่ยวพันกับชีวิตคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆมากขึ้น เพราะสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2