Skip to main content

ต่อไปจะกล่าวถึงปัญหาที่เกิดจากวิถีชีวิตและความสัมพันธ์ของคนในสังคมที่เปลี่ยนไปมากจากวันเวลาของพ่อแม่เรา   บางเรื่องอาจจะได้ยินซ้ำๆซากๆและเป็นปัญหาคาราคาซังในสังคมทุกยุคทุกสมันและมีวิธีจัดการต่างกันไปในแต่ละยุค  คือ เรื่องเด็กกำพร้าที่ในอดีตเป็นเรื่องที่ชุมชนหรือสถาบันทางศาสนาเข้ามาโอบอุ้ม   แต่ถ้ากรณีที่มีแม่แต่ไม่มีพ่อ ครอบครัวของหญิงก็มีส่วนโอบอุ้มเอาไว้เสียมาก   แต่หากมองว่าเดี๋ยวนี้มีหญิงจำนวนมากที่สามารถเลี้ยงลูกด้วยตัวเองตามลำพัง ก็ชวนให้คิดว่าแล้วหญิงที่ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้เองจะทำอย่างไร เราคงไม่เลือกที่จะบอกว่าให้ทำแท้งตั้งแต่ต้นเพราะเป็นความผิดตามกฎหมายปัจจุบัน   ส่วนการหาใครมาช่วยเลี้ยงหรือรับเลี้ยงต่อคงต้องดูกันจากเรื่องข้างล่างนี้เพื่อหาทางออกที่ดี ให้เด็กที่เกิดขึ้นมาในสังคมได้มีโอกาสพัฒนาตัวเองและเป็นสมาชิกที่ขับเคลื่อนสังคมต่อไป

น้องคนหนึ่งได้เข้ามาปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับลูกของเธอโดยเล่าว่า ได้มีความสัมพันธ์ทางเพศชายอายุ 19 ปี จนทำให้เธอที่มีอายุในขณะนั้น 17 ปี ตั้งครรภ์ ซึ่งตอนนั้นน้องผู้หญิงยังอยู่ในวัยเรียน เมื่อทราบว่าตนองท้องจึงได้ไปบอกให้ฝ่ายชายทราบ เมื่อผู้ชายทราบเรื่องก็ปัดความรับผิดชอบ โดยอ้างว่าเด็กในท้องมิใช่ลูกของตน สุดท้ายผู้หญิงก็ต้องท้องโดยไม่มีพ่อของเด็กและยอมรับชะตากรรมเลี้ยงลูกด้วยตนเอง โดยที่ไม่คิดที่จะไปเรียกร้องอะไรกับผู้ชายอีกเลย

แต่สถานการณ์นั้นไม่ง่ายเอาเสียเลย เมื่อเธอต้องออกจากโรงเรียนก่อนจะจบชั้นมัธยมปลาย ทำให้หางานทำไม่ง่ายเลย   ไหนจะต้องทนรับความอับอายที่เพื่อนจากโรงเรียนเก่าและญาติพี่น้อง รวมถึงคนละแวกบ้านนินทา   ไม่เพียงการดูถูกเหยียดหยามโอกาสต่างๆที่จะได้ทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงลูกก็ไม่เปิดให้เลย   สุดท้ายเส้นทางสายที่เธอพอจะทำได้ คือ เข้าไปทำงานในร้านอาหารโดยรับงานเป็นสาวเชียร์เบียร์ ทำให้อาเฮียทั้งหลายที่หื่นกระหายกายเธอสั่งเครื่องดื่มเพื่อจะได้เข้ามาทำความรู้จักเธอให้มากขึ้น แต่เธอก็มีไม้ตายด้วยการให้ดูรูปถ่ายรูปน้อยขอเธอ จนเฮียๆ หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ถอยกรูดไปตามๆกัน   แต่เรื่องก็ยิ่งพลิกผันเพราะเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ งานเชียร์เบียร์ก็หาทำยากขึ้น จนเธอต้องทำในสิ่งที่เธอไม่เคยคาดฝันมาก่อนเลย นั่นคือ งานนักร้องในคาราโอเกะ ใช่แล้วครับการเป็นเพื่อนนั่งร้องเพลงกับเหล่าแขกชายหนุ่มที่ไม่ได้มุ่งมาร้องเพลงอะไร เพียงแต่จะหาข้ออ้างให้ได้จับต้องเนื้อกายสาวก่อนจะก้าวมาครอบครองร่างกายของเธอ   แต่เธอก็พยายามเอาตัวรอดไปให้ได้โดยอาศัยลูกและยอมหักในหลายครั้งจนต้องย้ายร้านที่ทำงานไปเรื่อยๆ เนื่องจากเมื่อขัดใจลูกค้า มาม่าซังก็เรียกไปต่อว่าและจบลงด้วยการลาออกหรือไล่ออกไป

จนเมื่อมีคู่รักหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่ง มาพบกับลูกสาวของเธอเมื่อวันที่มีการจัดกิจกรรมของสถานเลี้ยงเด็กของชุมชน คนทั้งคู่รู้สึกถูกชะตากับสาวน้อยที่คอยออดอ้อนพวกเธอมาก ถึงขนาดมาตามหาว่าใครคือ พ่อแม่ของเด็ก จนเช็คข้อมูลแล้วว่าเป็นใครจึงได้ติดต่อมาหาเธอ  พอมาเจอกันคนทั้งสองเข้าใจความยากลำบากของเธอมากและรู้สึกเห็นใจที่ต้องทำในเรื่องที่ขัดกับความรู้สึกเพื่อลูกตัวน้อยๆของเธอ   คนทั้งสองเลยคิดว่าจะขอรับลูกของเธอเป็นบุตรบุญธรรม เพื่อช่วยดูแลกันและกันต่อไป   หลังจากนั้นได้ไปดำเนินการเพื่อขอรับบุตรบุญธรรม เพื่อจะได้ดูแลเด็กคนนี้ได้ แต่กระบวนการก็ไม่ง่ายเลยเพราะต้องมีการพิสูจน์และตรวจสอบอะไรมากมายก่อนจะได้รับเด็กเป็นลูก เพราะหญิงทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในฐานะคู่สมรส เนื่องจากเคยไปขอให้สำนักงานเขตบางรักจดทะเบียนให้ในวันวาเลนไทน์แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะเจ้าหน้าที่ปฏิเสธกลับมา

หลังจากนั้นมาไม่นาน หญิงคนหนึ่งก็ป่วยไม่สบายเป็นโรคไตวาย ทำให้ต้องได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะเข้าไปแทน   ซึ่งจากการพิสูจน์แล้วพบว่าคู่รักของเธอมีลักษณะทางชีววิทยาเข้ากันได้ แต่ก็ไม่สามารถมอบอวัยวะให้เธอได้เนื่องจากไม่ใช่ญาติพี่น้อง หากจะบริจาคอวัยวะต้องให้ไปตามระบบ ส่วนคู่รักของเธอก็ต้องรอรับอวัยวะตามคิวในระบบไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้   สิ่งหนึ่งที่เข้ามาเกาะกุมความรู้สึกของหญิงคู่รักทั้งสองอีกเรื่อง คือ ทรัพย์สินเงินทองที่หามาด้วยกันเมื่อถึงวันที่คนหนึ่งจากไป ของเหล่านั้นจะตกอยู่กับใครเพราะยังไม่ได้ทำกระบวนการรับบุตรบุญธรรมให้เสร็จสมบูรณ์ แถมคู่รักก็ไม่ใช่คู่สมรส คงจะอดได้ทรัพย์สินที่ฝ่ายหนึ่งหามาได้โดยไม่ได้ลงชื่อร่วมกันมาก่อน

คนทั้งคู่และน้องผู้เป็นมารดาตัวจริงของเด็กสาวตัวน้อยจึงเข้ามาปรึกษาปัญหากับดิฉัน

 

                วิเคราะห์ปัญหา

1.             การตั้งครรภ์ของหญิงนั้นสามารถเรียกร้องให้ชายที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยมารับผิดชอบหรือไม่ ทำได้อย่างไร

2.             ถ้าชายไม่รับผิดชอบต่อบุตรจะถือเป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่ มีความรับผิดชอบอย่างไรบ้าง

3.             การรับบุตรบุญธรรมสามารถกระทำได้หรือไม่และมีข้อต้องห้ามหรือกระบวนการอย่างไรไหม

4.             คู่ชีวิตเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสเป็นคู่สมรสตามกฎหมายที่มีสิทธิหน้าที่ต่อกันหรือไม่

5.             มีแนวทางอย่างไรในการจัดการทรัพย์สินระหว่างคู่ชีวิตเพศเดียวกันบ้าง

การนำกฎหมายมาแก้ไข

1.             การตั้งครรภ์ของหญิงนั้นสามารถเรียกร้องให้ชายที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยมารับผิดชอบได้ ทำได้โดยการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ชายมารับตรวจร่างกายและพันธุกรรม โดยอ้างเหตุการณ์ที่ชายมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี

2.             ถ้าชายไม่รับผิดชอบต่อบุตรจะถือเป็นความผิดตามกฎหมาย มีความรับผิดชอบในการดูแลอุปการะเลี้ยงดูบุตรของตน   การทอดทิ้งบุตรจะเป็นการละทิ้งหน้าที่ตามกฎหมายแพ่งฯ ที่ฟ้องบังคับให้ดูแลได้

3.             การรับบุตรบุญธรรมสามารถกระทำได้โดยบุคคลหรือคู่สมรส แต่ก็มีข้อต้องห้ามหรือกระบวนการในการตรวจพิสูจน์ตามกฎหมายเกี่ยวกับสวัสดิภาพเด็กและเยาวชน

4.             คู่ชีวิตเพศเดียวกันจดทะเบียนสมรสเป็นคู่สมรสตามกฎหมายไม่ได้ จึงไม่มีสิทธิหน้าที่ต่อกันทั้งเรื่องทรัพย์สิน และเนื้อตัวร่างกาย

5.             การจัดการทรัพย์สินระหว่างคู่ชีวิตเพศเดียวกัน ต้องอาศัยกระบวนการทางสัญญาและการจดแจ้งความเป็นเจ้าของในทรัพย์สินร่วมกันไว้ล่วงหน้า  โดยอาจทำพินัยกรรมไว้ด้วยก็ได้

ช่องทางเรียกร้องสิทธิ

1.             การแจ้งความในคดีมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี นั้นต้องแจ้งต่อตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่ การฟ้องเพื่อให้แต่งงานนั้นก็ทำในศาลอาญาต่อเนื่องไปเลยได้ถ้าต้องการ

2.             การฟ้องเกี่ยวกับการรับดูแลอุปการะบุตรต้องยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว

3.             การจัดการทรัพย์สินและสิทธิหน้าที่ต่างๆ สามารถทำสัญญาหรือจดแจ้งต่อเจ้าพนักงานได้เท่าที่กฎหมายอนุญาต ตราบเท่าที่กฎหมายยังไม่อนุญาตให้คู่ชีวิตเพศเดียวกันสมรสตามกฎหมาย

สรุปแนวทางแก้ไข

ใช้หลักกฎหมายบุคคลและครอบครัว ซึ่งกรณีนี้การพิสูจน์จำต้องอาศัยการตรวจลักษณะทางพันธุกรรมเพื่อนำไปฟ้องให้ผู้เป็นบิดารับผิดชอบต่อเด็กที่เกิดมา และหากมีการเพิกเฉยอาจแจ้งความเป็นความผิดทางอาญาเกี่ยวกับการพรากผู้เยาว์เพราะแม้เป็นความยินยอมแต่อายุต่ำกว่า 18 ปียังไงก็เป็นความผิดเพื่อบีบให้ฝ่ายชายเขามาแสดงความรับผิดชอบหรือตรวจพันธุกรรมต่อไป การรับบุตรบุญธรรมทำได้หากไม่มีเหตุต้องห้าม แต่การสมรสโดยคนเพศเดียวกันยังทำไม่ได้ โดยคดีทั้งหลายอยู่ในเขตอำนาจศาลแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว   ส่วนทรัพย์สินของคู่ชีวิตเพศเดียวกันจะไม่ตกทอดสู่คู่ชีวิตถ้าไม่ได้ใส่ชื่อร่วมกันไว้ก่อนหน้าจะเสียชีวิต

 

 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
ตลอดระยะเวลาแห่งความขัดแย้งทางการเมือง ได้มีกลุ่มต่างๆ เสนอทางออกของปัญหาด้วยการใช้กฎหมายมากมายหลายมาตรา   แต่มาตราหนึ่งซึ่งเป็นข้อถกเถียงมาก คือ การใช้รัฐธรรมนูญ ม.7 ตั้งแต่เมื่อคราวที่ยังใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เรื่อยมาจนถึง ฉบับปี 2550   คนจำนวนไม่น้อยคงสงสัยมากว่า มาตรา 7
ทศพล ทรรศนพรรณ
เอาล่ะครับ พ่อแม่พี่น้อง เรื่องถัดไปนี่คงเป็นความสนใจของเพื่อนพ้องหลายๆพื้นที่นะครับ ผมได้รับแจ้งเข้ามาว่า  เจ้าพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่หนึ่งมีการเพิกเฉย ละเลย ดูแลปัญหาความเดือดร้อนของคนในพื้นที่ แถมยังมีเรื่องราวกินสินบาทคาดสินบนทำให้ชาวบ้านจนปัญญาจะหาทางแก้ไขเข้าไปอีก&n
ทศพล ทรรศนพรรณ
พลังเหนือมนุษย์ ที่จะพูดถึงในครั้งนี้ประกอบไปด้วยสองส่วน คือ พลังธรรมชาติ และพลังลี้ลับ   ซึ่งกฎหมายก็ได้พูดถึงสองสิ่งนี้อยู่ไม่น้อยทีเดียว
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้เป็นสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้แรงงานในยามที่เจอกับภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด เราคงได้ยินเสียงผู้ประกอบการบ่นให้ฟังว่า ยอดสั่งซื้อตก กำไรหด ต้องลดกำลังการผลิตเพื่อให้บริษัทอยู่รอดกันใช่ไหมครับ  แต่ทราบไหมครับว่า ทุกครั้งที่บอกว่าขาดทุนและต้องลดต้นทุนหรือกำลังการผลิตนั้น มันหมายถึงการป
ทศพล ทรรศนพรรณ
             กฎหมายสมัยใหม่ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ มีสิ่งที่ต้องเข้าใจร่วมกันว่า ได้ให้อำนาจเด็ดขาดแก่รัฐในการบีบบังคับประชาชนในรัฐ และลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายโดยการใช้ความรุนแรงนับตั้งแต่ การประหารชีวิต การจำคุก การควบคุมตัว ริบทรัพย์ ในระบบกฎหมายอาญา  ไ
ทศพล ทรรศนพรรณ
ทุกท่านคงทราบกันแล้วนะครับว่าปัจจุบันกฎหมายไทยเกี่ยวกับเรื่องข่มขืนได้มีการปรับปรุงแก้ไขไปให้ทันกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจริง เพราะมิใช่เพียง
ทศพล ทรรศนพรรณ
คงมีหลายคนสงสัยว่าทำไมนักกฎหมายมักย้ำเสมอว่าปัญหาทางกฎหมายต้องตอบในลักษณะ “หนึ่งคำถาม หนึ่งคำตอบ”    กล่าวคือ ในปัญหาเรื่องนั้นจะต้องมีคำชี้ขาดขององค์กรตุลาการหรือองค์กรวินิจฉัยชี้ขาดที่ชัดเจนแน่นอนเพียงหนึ่งเดียว   ห้ามมีคำตอบแตกต่างหลากหลาย   เช่น  
ทศพล ทรรศนพรรณ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับผู้ใช้รถใช้ถนนทั้งในเมืองและต่างจังหวัด เนื่องจากในบางเส้นทางจะมีด่านตรวจของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อถูกกักตัวหรือขอตัวค้นรถตอนถึงด่าน   ทั้งยังสงสัยกับพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ตรงด่านว่าใช่ตำรวจหรือไม่ มีอำนาจหน้าที่อะไ
ทศพล ทรรศนพรรณ
       หลายครั้งที่เราสงสัยกันว่าทำไมเรื่องที่เค้าเถียงกันแทบเป็นแทบตายไม่มีคำตอบที่ชัดเจนสักที ตำรวจก็บอกว่าต้องทำตามกฎหมายข้อนี้ นักกฎหมายก็อ้างว่าไม่ได้ต้องดูกฎหมายอีกฉบับด้วย แล้วพอไปออกรายการทีวีเถียงกันก็ยังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เพราะปัญหาเดียวกันไหงมีกฎหมายมาเกี่ยวข้องต้อง
ทศพล ทรรศนพรรณ
ปัจจุบันมีคนจำนวนมากเข้าไปทำงานตามร้านอาหารหรือสถานบริการต่างๆมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ตามจำนวนร้านรวงที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด จุดไหนมีคนทำงานหรือเรียนหนังสือเยอะๆก็จะมีร้านตั้งมาดักไว้เต็มไปหมด ก็มีคนพูดไว้เยอะว่าร้านอาหารที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นแหล่งมั่วสุมของนักศึกษาหรือว่าคนทำงานในวัยหนุ่มสาว&
ทศพล ทรรศนพรรณ
ตอนนี้เราจะมาดูกันนะครับว่า ทำไมเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นมาในสังคม เราจึงต้องใช้กฎหมายมายุติความขัดแย้ง   เหตุผลของเรื่องนี้ก็ต่อมาจากตอนที่แล้วซึ่งเราบอกว่า กฎหมาย คือ กติกา ที่สังคมกำหนดขึ้นมาร่วมกัน เพื่อชี้ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้น แล้วตกลงกันไม่ได้ จะ “ยุติ” ความขัดแย้งอย่างไรใ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องที่ผมจะเอามาเล่าสู่กันฟังเป็นความเดือดร้อนแสนสาหัสของน้องสองคนซึ่งได้รับผลกระทบจากการประกาศภาวะฉุกเฉิน เคอร์ฟิว ในช่วงที่มีการปราบปรามและสลายการชุมนุม   ซึ่งมันเกี่ยวพันกับชีวิตคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆมากขึ้น เพราะสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2