Skip to main content

ข้อกล่าวอ้างสำคัญของรัฐบาลไทยในการเพิ่มศักยภาพในด้านข่าวกรองและออกกฎหมายที่ให้อำนาจสอดส่องการสื่อสารของประชาชน คือ “ถ้าประชาชนไม่ได้ทำผิดจะกลัวอะไร” โดยมิได้คำนึงหลักการพื้นฐานเบื้องต้นว่า แม้ประชาชนมิได้ทำผิดกฎหมายอันใดก็มีสิทธิความเป็นส่วนตัว ปลอดจากการแทรกแซงการสื่อสาร อันเป็นสิทธิพื้นฐานตามกฎหมายอันเป็นหลักประกันความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน


ยิ่งไปกว่านั้นการตกอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองเผด็จการมานานก็ทำให้ประชาชนรู้สึกชินชาต่อการสอดส่องโดยรัฐ และหลงลืมความเป็นส่วนตัวด้วยความคิดที่ว่า “รัฐมองเห็นการสื่อสารอยู่แล้ว” การพยายามสร้างมาตรการทางกฎหมายเพื่อป้องกันการสอดส่องหรือเอาผิดเจ้าพนักงานรัฐที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของประชาชนหาได้จำเป็นไม่ ก็เป็นอีกอุปสรรคหนึ่งต่อการผลักดันการสร้างหลักประกันสิทธิความเป็นส่วนตัว


แนวโน้มทั้งสองประการอาจนำไปสู่การสถาปนารัฐที่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือรับรองอำนาจในการสอดส่องควบคุมประชาชน และนำข้อมูลที่ได้จากการสอดส่องไปประกอบสำนวนฟ้องร้องดำเนินคดีต่อพลเมืองผู้ตื่นตัวทางการเมือง แสดงออกในลักษณะวิพากษ์วิจารณ์และต่อต้านแนวนโยบายของรัฐบาล อันเป็นการบั่นทอนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดอนาคตตนเองและสังคม   รัฐที่จำกัดสิทธิของประชาชนด้วยการสอดส่องนี้มีคำเรียกขานว่า “รัฐตำรวจ”


รัฐตำรวจ (Police State ) คือ รูปแบบทางการเมืองที่รัฐบาลใช้อำนาจควบคุมวิถีชีวิตทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประชาชน โดยมีการใช้อำนาจขององค์กรในกระบวนการยุติธรรมหรือองค์กรทางปกครองด้านความมั่นคงปฏิบัติการที่มีลักษณะละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชานตามกฎหมาย ในลักษณะที่แสดงต่อสาธารณชนว่าเป็นการรวบรวมข้อมูลข่าวกรองขึ้นเป็นพยานหลักฐานทำสำนวนดำเนินคดีฟ้องสู่ศาล ถ้อยคำนี้มีที่มาทางประวัติศาสตร์จากรัฐปรัสเซีย (ระบบกฎหมายเยอรมัน) เพื่อแสดงว่าในศตวรรษที่ 19 มีการสถาปนา “รัฐพลเรือน” ที่ใช้อำนาจในการปกครองประชากรโดยควบคุมกิจกรรมของพลเมืองอย่างเข้มงวดหรือมีลักษณะจำกัดสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญของประชาชน แตกต่างจากการปกครองแบบ “นิติรัฐ” ที่รัฐจะใช้อำนาจปกครองภายใต้กรอบของกฎหมายเพื่อประกันสิทธิเสรีภาพตามกฎหมายของประชน  และมีกลไกตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ


โดยบทความนี้จะนำแนวคิดนี้มาใช้เป็นกรอบวิเคราะห์บทบาทของรัฐบาลไทยในการสอดส่องกิจกรรมของประชาชนโดยอาศัยการเพิ่มศักยภาพทางกฎหมายเพื่อเอื้อให้เกิดปฏิบัติการด้านข่าวกรองและสอดส่องได้ครอบคลุมขึ้นไปจนถึงการนำข้อมูลทำเป็นสำนวนฟ้องคดีในชั้นศาลในหลายกรณี แล้วจึงชี้ให้เห็นความกังวลที่เกิดจากแนวโน้มดังกล่าวเพื่อพยายามเสนอแนวทางในการป้องกันการสอดส่องตามอำเภอใจอันมีลักษณะการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว สิทธิในข้อมูลส่วนบุคคล เสรีภาพในการแสดงออก ชุมนุมและสมาคม ที่สอดคล้องกับพันธกรณีสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี ฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และบั่นทอนความมั่นใจของประชาชนในการมีส่วนร่วมทางการเมือง


ประวัติศาสตร์การพัฒนาศักยภาพด้านการข่าวกรองของรัฐไทยที่เพิ่มอำนาจในการสอดส่องประชาชนผ่านมาตรการทางกฎหมายและกลไกต่าง ๆ ที่ให้อำนาจแก่รัฐบาลในการสอดส่องการสื่อสารและกิจกรรมของประชาชนผ่านเครื่องมือต่าง ๆ ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มาจนถึงยุคหลังการรัฐประหาร พ.ศ.2557 ที่มีการสถาปนา “รัฐตำรวจ” ขึ้นอย่างเข้มแข็ง

แนวโน้มในการสอดส่องกิจกรรมทั้งหลายที่รัฐบาลเห็นว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง ได้แสดงออกมาอย่างต่อเนื่องผ่านการผลักดันกฎหมายที่มีลักษณะติดตามสอดส่อง เก็บข้อมูล เพื่อสืบย้อนหลัง แล้วแสวงหาพยานหลักฐานมาดำเนินคดีทางอาญาต่อเป้าหมายการสอดส่อง  เช่น การผลักดัน ร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือผลกำไรมาแบ่งปันกัน และร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม
ตามที่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 อนุมัติหลักการร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือผลกำไรมาแบ่งปันกัน และร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. …. โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) นำไปประกอบการพิจารณายกร่างกฎหมาย และเปิดรับความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ก่อนเสนอ ครม. พิจารณาอีกครั้ง ซึ่ง ครม. มีมติเห็นชอบเพิ่มเติมหลักการร่างกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (Anti-Money Laundering and Combating the Financing of Terrorism: AML/CFT) เมื่อ สคก. ได้ดำเนินการปรับปรุงเพิ่มเติมร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว จะมีการเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมแสดงความคิดเห็นอีกครั้ง 

ข้อสังเกตที่สำคัญ คือ ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้อำนาจหน่วยงานภาครัฐในการเข้าไปในสำนักงานขององค์กรไม่แสวงหากำไรเพื่อตรวจสอบและยึดข้อมูลการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ขององค์กรเป้าหมาย อันมีลักษณะฝ่าฝืนต่อกระบวนการนิติธรรม (Due Process) ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อการข่มขู่ได้ ทั้งยังเป็นการละเมิดการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของกลุ่มเสี่ยงที่องค์กรดูแลไปจนถึงเกิดภัยคุกคามต่อครอบครัวของพวกเขา เนื่องจากข้อมูลอ่อนไหวจะถูกเก็บเป็นความลับขององค์กรที่ให้ความช่วยเหลือเหยื่อผู้เสียหาย  นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ขององค์กรยังอาจได้รับความเสี่ยงภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขาทำงานในกรณีตรวจสอบการใช้อำนาจโดยมิชอบและการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ


การอ้างว่าการผลักดันกฎหมายดังกล่าวเป็นการทำตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านการต่อต้านอาชญากรรมระหว่างประเทศโดยเฉพาะการฟอกเงินขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและการก่อการร้ายนั้น เป็นการสร้างตราบาปต่อองค์กรพัฒนาเอกชน (Non-Governmental Organization – NGOs) โดยตรงเป็นการปฏิบัติในฐานะผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นอาชญากรตั้งแต่ยังไม่มีคำพิพากษาของศาล การกำหนดภาระหน้าที่ในการต้องจดทะเบียน รายงานที่มารายได้ การใช้งบประมาณ และเก็บข้อมูลไว้ให้ตรวจสอบ หาไม่แล้วจะต้องโทษทางอาญา ล้วนเป็นการบังคับให้ องค์กรพัฒนาเอกชน “เปิดเผย” ข้อมูลเพื่อให้รัฐ “สอดส่อง” การทำงานตั้งแต่ต้น และสามารถ “มองย้อนกลับ” ไปเพื่อแสวงหาพยานหลักฐานมาดำเนินคดีต่อองค์กรพัฒนาเอกชนได้ ตั้งแต่ยังไม่มีการนำเสนอพยานหลักฐานต่อองค์กรตุลาการให้เห็นมูลเหตุที่เป็นการกระทำความผิดกฎหมายเพื่อขอหมายศาลในการตรวจค้นและเก็บพยานหลักฐานภายใต้ระบบควบคุมการใช้อำนาจมิให้ละเมิดสิทธิมนุษยชน

การสลับสับเปลี่ยนสถานะของ “ความเป็นส่วนตัวของประชาชน” ที่พึงได้รับการคุ้มครองปกป้องไม่ให้มีการแทรกแซงสอดส่องการสื่อสารและดักเก็บข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเกิดจากความพยายามของรัฐในการสร้างฐานข้อมูลข่าวกรองโดยอ้างเรื่อง “ความมั่นคงของชาติ” ที่ปราศจากการตระหนักถึง “ความมั่นคงของมนุษย์” ในการสื่อสารภายใต้บริบทของโลกยุคดิจิทัล  เนื่องจากรัฐมุ่งแสวงหาข้อมูลที่เป็น “ความลับของประชาชน” มาบนพื้นฐานของการกล่าวอ้างว่า หากประชาชนไม่ได้มีการกระทำความผิดและบริสุทธิ์ใจก็ควรเปิดให้รัฐมองเห็นกิจกรรมในชีวิตส่วนตัวได้โดยไม่มีการปิดกั้นแบบ “รัฐตำรวจ” เพื่อเสริมศักยภาพในการมองเห็นของรัฐป้องปรามการเคลื่อนไหวของประชาชนเพราะทำให้รู้สึกว่าถูกจับจ้องตลอดเวลา


ในทางกลับกัน “ความโปร่งใสของรัฐ” อันเป็นรากฐานสำคัญของธรรมาภิบาลในการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยและเป็นการยืนยันความรับผิดชอบของรัฐต่อการใช้อำนาจปกครองโดยเคารพสิทธิมนุษยชนของประชาชน กลับถูกปรับเปลี่ยนไปเป็น “ความลับสูงสุดของชาติ” ที่ผู้นำรัฐและองคาพยพด้านความมั่นคงสงวนไว้มิให้ประชาชนมองเห็น เสมือนว่าเป็น “เรื่องส่วนตัวของชาติ” ที่ผู้ทรงอำนาจจะพึงเก็บงำรักษาไว้ไม่ให้ใครเข้าถึง เพื่อคงไว้ซึ่งอำนาจในการปกครองของตนจากหลังม่าน


ดังนั้นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จึงเป็นการทะลายกำแพงด่านแรกเพื่อเปิดให้เห็นการทำงานและผลงานที่แท้จริงของรัฐเพื่อธำรงไว้ซึ่ง “ความมั่นคงของมนุษย์ในรัฐชาติไทย” และคุ้มครอง “สิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชน” อันเป็นรากฐานสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ต้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้เพื่อให้พลเมืองทั้งหลายกล้าที่จะแสดงออกและมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของประเทศได้อย่างปลอดภัยตามครรลองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนภายใต้หลักการ “นิติรัฐ” ที่มีการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจของรัฐบาล

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
ตลอดระยะเวลาแห่งความขัดแย้งทางการเมือง ได้มีกลุ่มต่างๆ เสนอทางออกของปัญหาด้วยการใช้กฎหมายมากมายหลายมาตรา   แต่มาตราหนึ่งซึ่งเป็นข้อถกเถียงมาก คือ การใช้รัฐธรรมนูญ ม.7 ตั้งแต่เมื่อคราวที่ยังใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เรื่อยมาจนถึง ฉบับปี 2550   คนจำนวนไม่น้อยคงสงสัยมากว่า มาตรา 7
ทศพล ทรรศนพรรณ
เอาล่ะครับ พ่อแม่พี่น้อง เรื่องถัดไปนี่คงเป็นความสนใจของเพื่อนพ้องหลายๆพื้นที่นะครับ ผมได้รับแจ้งเข้ามาว่า  เจ้าพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่หนึ่งมีการเพิกเฉย ละเลย ดูแลปัญหาความเดือดร้อนของคนในพื้นที่ แถมยังมีเรื่องราวกินสินบาทคาดสินบนทำให้ชาวบ้านจนปัญญาจะหาทางแก้ไขเข้าไปอีก&n
ทศพล ทรรศนพรรณ
พลังเหนือมนุษย์ ที่จะพูดถึงในครั้งนี้ประกอบไปด้วยสองส่วน คือ พลังธรรมชาติ และพลังลี้ลับ   ซึ่งกฎหมายก็ได้พูดถึงสองสิ่งนี้อยู่ไม่น้อยทีเดียว
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้เป็นสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้แรงงานในยามที่เจอกับภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด เราคงได้ยินเสียงผู้ประกอบการบ่นให้ฟังว่า ยอดสั่งซื้อตก กำไรหด ต้องลดกำลังการผลิตเพื่อให้บริษัทอยู่รอดกันใช่ไหมครับ  แต่ทราบไหมครับว่า ทุกครั้งที่บอกว่าขาดทุนและต้องลดต้นทุนหรือกำลังการผลิตนั้น มันหมายถึงการป
ทศพล ทรรศนพรรณ
             กฎหมายสมัยใหม่ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ มีสิ่งที่ต้องเข้าใจร่วมกันว่า ได้ให้อำนาจเด็ดขาดแก่รัฐในการบีบบังคับประชาชนในรัฐ และลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายโดยการใช้ความรุนแรงนับตั้งแต่ การประหารชีวิต การจำคุก การควบคุมตัว ริบทรัพย์ ในระบบกฎหมายอาญา  ไ
ทศพล ทรรศนพรรณ
ทุกท่านคงทราบกันแล้วนะครับว่าปัจจุบันกฎหมายไทยเกี่ยวกับเรื่องข่มขืนได้มีการปรับปรุงแก้ไขไปให้ทันกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจริง เพราะมิใช่เพียง
ทศพล ทรรศนพรรณ
คงมีหลายคนสงสัยว่าทำไมนักกฎหมายมักย้ำเสมอว่าปัญหาทางกฎหมายต้องตอบในลักษณะ “หนึ่งคำถาม หนึ่งคำตอบ”    กล่าวคือ ในปัญหาเรื่องนั้นจะต้องมีคำชี้ขาดขององค์กรตุลาการหรือองค์กรวินิจฉัยชี้ขาดที่ชัดเจนแน่นอนเพียงหนึ่งเดียว   ห้ามมีคำตอบแตกต่างหลากหลาย   เช่น  
ทศพล ทรรศนพรรณ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับผู้ใช้รถใช้ถนนทั้งในเมืองและต่างจังหวัด เนื่องจากในบางเส้นทางจะมีด่านตรวจของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อถูกกักตัวหรือขอตัวค้นรถตอนถึงด่าน   ทั้งยังสงสัยกับพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ตรงด่านว่าใช่ตำรวจหรือไม่ มีอำนาจหน้าที่อะไ
ทศพล ทรรศนพรรณ
       หลายครั้งที่เราสงสัยกันว่าทำไมเรื่องที่เค้าเถียงกันแทบเป็นแทบตายไม่มีคำตอบที่ชัดเจนสักที ตำรวจก็บอกว่าต้องทำตามกฎหมายข้อนี้ นักกฎหมายก็อ้างว่าไม่ได้ต้องดูกฎหมายอีกฉบับด้วย แล้วพอไปออกรายการทีวีเถียงกันก็ยังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เพราะปัญหาเดียวกันไหงมีกฎหมายมาเกี่ยวข้องต้อง
ทศพล ทรรศนพรรณ
ปัจจุบันมีคนจำนวนมากเข้าไปทำงานตามร้านอาหารหรือสถานบริการต่างๆมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ตามจำนวนร้านรวงที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด จุดไหนมีคนทำงานหรือเรียนหนังสือเยอะๆก็จะมีร้านตั้งมาดักไว้เต็มไปหมด ก็มีคนพูดไว้เยอะว่าร้านอาหารที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นแหล่งมั่วสุมของนักศึกษาหรือว่าคนทำงานในวัยหนุ่มสาว&
ทศพล ทรรศนพรรณ
ตอนนี้เราจะมาดูกันนะครับว่า ทำไมเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นมาในสังคม เราจึงต้องใช้กฎหมายมายุติความขัดแย้ง   เหตุผลของเรื่องนี้ก็ต่อมาจากตอนที่แล้วซึ่งเราบอกว่า กฎหมาย คือ กติกา ที่สังคมกำหนดขึ้นมาร่วมกัน เพื่อชี้ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้น แล้วตกลงกันไม่ได้ จะ “ยุติ” ความขัดแย้งอย่างไรใ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องที่ผมจะเอามาเล่าสู่กันฟังเป็นความเดือดร้อนแสนสาหัสของน้องสองคนซึ่งได้รับผลกระทบจากการประกาศภาวะฉุกเฉิน เคอร์ฟิว ในช่วงที่มีการปราบปรามและสลายการชุมนุม   ซึ่งมันเกี่ยวพันกับชีวิตคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆมากขึ้น เพราะสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2