Skip to main content

การแสดงออกไม่ว่าจะในสื่อเก่าหรือสื่อใหม่ย่อมมีขอบเขตการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิของผู้อื่น ดังนั้นรัฐจึงได้ขีดเส้นไว้ไม่ให้ประชาชนใช้สิทธิเสรีภาพจนไปถึงขั้นละเมิดสิทธิของผู้อื่นเอาไว้ในกรอบกฎหมายหลายฉบับ บทความนี้จะพาชาวเน็ตไปสำรวจเส้นพรมแดนที่มิอาจล่วงล้ำให้เห็นพอสังเขป

การใช้เสรีภาพในการแสดงออกมีขอบเขตบางประการ นั่นคือ การจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกเพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่นตามมาตรา 34 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยสิทธิของผู้อื่นสัมพันธ์กับเสรีภาพแสดงออก ก็คือ สิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียงและครอบครัวตามมาตรา 32 การแสดงออกที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวเกียรติยศชื่อเสียงของบุคคลอื่นจึงผิดกฎหมาย นำไปสู่นำโทษทางอาญาและความรับผิดทางแพ่ง หากรัฐจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกของบุคคลบนพื้นฐานของการคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัวเกียรติยศชื่อเสียงของบุคคลอื่น จึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย


โดยกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) ซึ่งไทยเป็นภาคี ในข้อที่ 20 ได้วางข้อจำกัดเกี่ยวกับการแสดงว่าห้าม
1. การโฆษณาชวนเชื่อใด ๆ เพื่อการสงคราม เป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎหมาย
2. การสนับสนุนให้เกิดความเกลียดชังในชาติ เผ่าพันธุ์ หรือศาสนา ซึ่งยั่วยุให้เกิดการเลือกปฏิบัติ การเป็นปฏิปักษ์ หรือการใช้ความรุนแรงเป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎหมาย

การแสดงออก 2 ประเภทที่พึงระมัดระวังประกอบด้วย การแสดงออกที่สร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) และการกลั่นแกล้ง (Bullying) โดยการแสดงออกในสองลักษณะข้างต้นย่อมส่งผลกระทบทั้งกับบุคคลอื่นที่ตกเป็นเหยื่อการถูกกระทำ และยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ของขบวนการเคลื่อนไหวที่สะท้อนให้สังคมคลางแคลงสงสัยในความชอบธรรมรวมไปถึงเกรงที่จะต้องเข้าร่วมกับขบวนการที่ใช้ความรุนแรงกระทำต่อบุคคลอื่นอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งนำไปสู่ความรับผิดทางกฎหมาย

 

แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการแสดงออกที่ต้องห้าม

การแสดงออกที่สร้างความเกลียดชัง คือ การแสดงออกต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลโดยมีฐานอคติ เกี่ยวกับเชื้อชาติ ชนชั้น รสนิยมทางเพศ ถิ่นกำเนิด อุดมการณ์ทางการเมือง ชาติพันธุ์ วัฒนธรรม ศาสนา หรือ สถานภาพทางเศรษฐกิจสังคมที่นำไปสู่การแบ่งแยกได้ เนื้อหาที่ถือว่าเป็นการแสดงออกแห่งความเกลียดชัง คือ การด่า บริภาษ ด้วยการใช้สารที่สื่อความหยาบคาย รุนแรง ดูถูก เหยียดหยาม การสร้างความเข้าใจผิด การโน้มน้าวใจชักจูงให้เชื่อถือ ด้วยข้อมูลผิดหรืออคติส่วนตัว การนิยามคนอื่นในเชิงลดคุณค่า ทำให้มีความหมายเชิงลบ กลายเป็นตัวตลก ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น การสื่อสารที่สร้างความรู้สึกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแบ่งพวกเขาพวกเราแยก ออกชัดเจนไม่ใช่พวกเดียวกัน การสื่อความหมายปฏิเสธการอยู่ร่วมกัน การกีดกันออกจากสังคม การตีตรา ประทับภาพเหมารวมตายตัวในเชิงลบ การยุยง ปลุกปั่น ปลุกระดมให้ผู้อื่นร่วมเกลียดชัง สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่เห็นต่าง ไปจนถึงการระดมกำลังไล่ล่า ข่มขู่คุกคาม การลงทัณฑ์ทางสังคม รุมประณามอย่างรุนแรงด้วยกลุ่มบุคคล การเนรเทศหรือนำไปสู่การประกาศเข่นฆ่าอาฆาต นั่นคือ ต้องเป็นการแสดงออกที่ “ก่อให้เกิดความเกลียดชัง เหยียดหยาม ต่อบุคคลหรือกลุ่มชน อันอาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรง กีดกัน แบ่งแยก” (Incitement to Hatred)

การแสดงออกที่พึงระวังอีกประการ คือ การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ (Cyber Bullying) อันหมายถึง การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือหลายคน ใช้ข้อมูลและการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ในการล่วงละเมิดหรือคุกคามต่อบุคคลอื่นหรือทำให้เดือดร้อนรำคาญ โดยการส่งหรือโพสต์ข้อความหรือรูปภาพที่มีลักษณะโหดร้าย และเช่นเดียวกับการกลั่นแกล้งในรูปแบบอื่น ๆ การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์เป็นการใช้อำนาจควบคุมปัจเจกบุคคลอื่นที่อ่อนแอกว่า ความเหลื่อมล้ำเชิงอำนาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ถูกกลั่นแกล้งไม่สามารถป้องกันตัวเองได้

การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ อาจปรากฏในหลายรูปแบบ ดังต่อไปนี้ 
1) การส่งข้อความซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธ (Flaming) หรือข้อความที่มีลักษณะหยาบคาย
2) การคุกคาม (Harassment) หรือการส่งข้อความที่มีลักษณะน่ารังเกียจ สกปรก ดูถูกและหยาบคาย ซ้ำ ๆ
3) การใส่ร้าย (Denigration) คือการดูหมิ่นผู้อื่นทางออนไลน์โดยการส่งหรือโพสต์ข่าวลือเกี่ยวกับผู้อื่นในลักษณะที่ทำให้ชื่อเสียงหรือความสัมพันธ์ของผู้อื่นนั้นเสียหาย
4) การปลอมตัว (Impersonation) ทำให้เป้าหมายเข้าใจผิด และเจ้าของอัตลักษณ์เสื่อมเสีย
5) การเผยแพร่ความลับของผู้อื่นหรือข้อมูลหรือรูปภาพที่ทำให้ผู้นั้นอับอายสู่เครือข่ายออนไลน์ (Outing)
6) การใช้กลโกงหลอกลวงผู้อื่นให้เปิดเผยความลับหรือข้อมูลที่น่าอับอายแล้วเผยแพร่สู่เครือข่ายออนไลน์ (Trickery)
7) การตัดคนอื่นออกจากกลุ่มโดยตั้งใจและโหดร้าย (Exclusion)

จะเห็นว่าการแสดงออกในลักษณะสร้างความเกลียดชังดังกล่าวมีความเปราะบาง เพราะจะนำไปสู่การแทรกแซงเข้าควบคุมโดยรัฐบาลได้

 

กฎหมายของรัฐที่ให้เสรีภาพในการแสดงออกกว้างขวาง

หากลองศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายสหรัฐอเมริกาที่ให้น้ำหนักกับเสรีภาพในการแสดงออกมาก ในบทบัญญัติเพิ่มเติมที่ 1 ของรัฐธรรมนูญ (First Amendment of Constitution of the United States) ก็ยังอาจต้องคำนึงถึงการกระทำที่จะไม่อยู่ในความคุ้มครองของสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งผู้กระทำดังกล่าวจะต้องได้รับโทษ ได้แก่ 
1) Defamation คือ การหมิ่นประมาท ซึ่งการหมิ่นประมาทนั้น
2) Causing Panic คือ คำพูดที่สร้างความหวาดกลัวหรือทำให้ตื่นตระหนก
3) Fighting Words เป็นคำพูดที่ยั่วยุให้เกิดการทำร้ายร่างกายและจิตใจ หรือเป็นสาเหตุของการก่อให้เกิดการบาดเจ็บ การทุกข์ทรมาน
4) Incitement to Crime เป็นการกระทำที่ป่าวประกาศโฆษณากระตุ้นให้ไปก่ออาชญากรรม
5) Sedition คือ การปลุกระดมมวลชนให้ต่อต้านรัฐบาล ให้ก่อความไม่สงบ รวมไปถึงการก่อกบฏ
6) Obscenity คือ เรื่อง หยาบคาย ลามก อนาจาร รวมไปถึงการใช้คำพูด รูปภาพที่เป็นรูปภาพเปลือย
7) Perjury and Blackmail หมายถึงการโกหก หรือการหักหลัง หรือนำความลับมาเผย เพื่อผลประโยชน์
8) Offense การแสดงออกในเชิงก้าวร้าว ข่มขู่ คุกคาม
9) Establishment of Religion การประกาศศาสนา (ลัทธิความเชื่อ) เนื่องจากในรัฐฆราวาสเรื่องศาสนาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนส่วนตน หากกระทำในที่สาธารณะอาจกระทบต่อสาธารณชนได้

 

บทบัญญัติกฎหมายไทยที่เกี่ยวข้อง

การสร้างความเกลียดชังและการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ ส่วนใหญ่มักจะมีลักษณะเป็นการโพสต์ข้อความหรือรูปภาพ ที่ทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง กล่าวคือ เป็นการกระทำที่มีความใกล้เคียงกับความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326 แห่งประมวลกฎหมายอาญา หากกระทำผ่านเครือข่ายหรือสังคมออนไลน์สาธารณะ ยังถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามมาตรา 328 ได้ เพราะเครือข่ายออนไลน์หรือเว็ปไซต์ดังกล่าวสามารถข้อความหรือรูปภาพที่เป็นการกลั่นแกล้งเผยแพร่สู่สาธารณชนได้อันเป็นลักษณะของการโฆษณา


หากการสร้างความเกลียดชังหรือการกลั่นแกล้งออนไลน์ได้กระทำโดยการด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายและการสบประมาทที่ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทอาจจะมีความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้าตามมาตรา 393 ได้ซึ่งความผิดฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้า หรือด้วยการโฆษณาตามมาตรา 393 เป็นการกระทำเหยียดหยามเกียรติ โดยทำให้ผู้ถูกกระทำรู้ได้หรือทราบได้ขณะมีการกระทำในทันใดนั้นเอง กล่าวคือ เพียงแต่กล่าวถ้อยคำหรือแสดงถ้อยคำให้ผู้ถูกกระทำได้ยินหรือทราบในทันใดนั้นเองก็เป็นความผิดแล้ว ไม่จำต้องกระทำต่อหน้าหรือแม้จะ ไม่ได้กล่าวต่อหน้า แต่ผู้ถูกกระทำได้ยินถ้อยคำที่ผู้กระทำกล่าวหรือได้ทราบขณะมีการกระทำ ย่อมเป็นความผิด ดังนั้น การดูหมิ่นผู้อื่นผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่คู่สนทนาสามารถโต้ตอบกันได้ทันที จึงอาจเป็นการดูหมิ่นซึ่งหน้า ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 393 ได้เช่นกัน


ถ้าเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม ซึ่งให้เหยื่อได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ก็ถือเป็นความผิดอาญาตามมาตรา 397 หากเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคามที่มีลักษณะที่ทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ


หากการกลั่นแกล้งออนไลน์นั้นอยู่ในลักษณะเป็นโพสต์รูปภาพซึ่งเกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด โดยมีพฤติการณ์ที่น่าจะทำให้ผู้อื่นซึ่งเป็นเป้าหมายจากการกลั่นแกล้งออนไลน์นั้นต้องเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ผู้กลั่นแกล้งอาจต้องรับผิดตามมาตรา 16 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และถ้าการกระทำมาตรา 16 ตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำต่อภาพของผู้ตาย และนำมากลั่นแกล้งต่อบุคคลอื่น โดยมีพฤติการณ์ที่น่าจะทำให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ผู้กระทำต้องรับโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำผิดในมาตรา 16 วรรคหนึ่ง


พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมล่าสุดในปี 2560 ได้เพิ่มบทบัญญัติมาตรา 16/1 ซึ่งเหมือนกับเป็นการเยียวยาหรือบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้งออนไลน์ โดยมาตรา 16/1 นี้ได้กำหนดว่า หากมีคำพิพากษาว่าผู้กลั่นแกล้งทางออนไลน์มีความผิด ตามมาตรา 14 หรือมาตรา 16 ศาลอาจสั่ง (1) ให้ทำลายข้อมูลตามมาตราดังกล่าว (2) ให้โฆษณาหรือเผยแพร่คำพิพากษาทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ตามที่ศาลเห็นสมควร โดยให้ผู้กระทำเป็นผู้ชำระค่าโฆษณาหรือเผยแพร่ (3) ให้ดำเนินการอื่นตามที่ศาลเห็นสมควรเพื่อบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำความผิดนั้น ยิ่งไปกว่านั้น การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายฉบับนี้ได้จัดให้มีการนำบทบัญญัติมาตรา 16/2 มาใช้กับบุคคลซึ่งรู้อยู่แล้วว่าข้อมูลคอมพิวเตอร์ในความครอบครองของตนเป็นข้อมูลที่ศาลสั่งให้ทำลายตามมาตรา 16/1 โดยกำหนดให้ผู้นั้นต้องทำลายข้อมูลดังกล่าว หากฝ่าฝืนจะต้องรับโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่บัญญัติไว้ในมาตรา 14 หรือมาตรา 16 แล้วแต่กรณี


ทั้งนี้การแสดงออกที่สร้างความเกลียดชังและการกลั่นแกล้งที่เป็นความผิดอาญาย่อมก่อให้เกิดความรับผิดทางแพ่งในมูลละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามมาตรา 420 ประกอบมาตรา 422 และหากเป็นการแสดงออกซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนความจริงก็เป็นความรับผิดตามมาตรา 423 ซึ่งนำไปสู่การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เสียหายทั้งสิ้น รวมถึงได้สร้างความชอบธรรมให้กับรัฐในการใช้มาตรการทางปกครองในการควบคุมการแสดงออกหรือรวมกลุ่มของบุคคลที่ร่วมกันกระทำการเช่นว่าได้โดยชอบด้วยกฎหมาย

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
คำถามที่สำคัญในเศรษฐกิจการเมืองยุคดิจิทัล ก็คือ บทบาทหน้าที่ของภาครัฐรัฐท่ามกลางการเติบโตของตลาดดิจิทัลที่ภาคเอกชนเป็นผู้ผลักดันและก่อร่างสร้างระบบมาตั้งแต่ต้น  ซึ่งสร้างผลกระทบต่อชีวิตผู้คนในรัฐให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง   อย่างไรก็ดีความเจริญก้าวหน้าของตลาดย่อมเกิดบนพื้น
ทศพล ทรรศนพรรณ
แนวทางในการส่งเสริมสิทธิคนทำงานในยุคดิจิทัลประกอบไปด้วย 2 แนวทางหลัก คือ1. การระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นภายในความสัมพันธ์ระหว่าง แพลตฟอร์ม กับ คนทำงาน2. การพัฒนารัฐให้รองรับสิทธิคนทำงานอย่างถ้วนหน้า
ทศพล ทรรศนพรรณ
เนื่องจากการทำงานของคนในแพลตฟอร์มดิจิทัลในช่วงก่อนหน้าสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดนั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นทำให้ปริมาณคนที่เข้ามาทำงานมีไม่มากนัก และเป็นช่วงทำการตลาดของเหล่าแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในการดึงคนเข้ามาร่วมงานกับแพลตฟอร์มตนยังผลให้สิทธิประโยชน์เกิดขึ้นมากมายเป็นที่พึงพอใจของผู้เข้าร่วมทำงานกับแพลตฟ
ทศพล ทรรศนพรรณ
รัฐชาติในโลกปัจจุบันไม่เปิดโอกาสให้บุคคลเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน ที่อยู่ แหล่งทำมาหากินได้อย่างอิสระ เสรีมาตั้งแต่การสถาปนารัฐสมัยใหม่ขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก   เช่นเดียวกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่าง ไทย พม่า ลาว หรือกัมพูชา   ก็ล้วนเกิดพรมแดนระหว่างรัฐในลักษณะที
ทศพล ทรรศนพรรณ
นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์ “สีเสื้อ”   สื่อกลายเป็นประเด็นสำคัญที่เป็นตัวสะท้อนภาพของคนและสังคมเพื่อขับเน้นประเด็นเคลื่อนไหวทางสังคมให้ปรากฏเป็นขบวนการทางการเมืองที่มีผู้คนเข้าร่วมอย่างมากมายมหาศาล และมีกิจกรรมทางการเมืองหลากหลายรูปแบบ   ดังนั้นอำนาจในการสื่อสารและการมีส่วนร่วมใ
ทศพล ทรรศนพรรณ
สังคมไทยเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง แตกแยก และปะทะกันอย่างรุนแรงทั้งในด้านความคิด และกำลังประหัตประหารกัน ระหว่างการปะทะกันนั้นระบบรัฐ ระบบยุติธรรม ระบบคุณค่าเกียรติยศ และวัฒนธรรมถูกท้าทายอย่างหนัก จนสูญเสียอำนาจในการบริหารจัดการรัฐ   ในวันนี้ความตึงเครียดจากการเผชิญหน้าอาจเบาบางลง พร้อ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เศรษฐกิจและการเมืองยุคดิจิทัล ใช้ข้อมูลของประชาชนและผู้บริโภคเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจตลาดการเมืองและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดีเจ้าของข้อมูลทั้งหลายได้รับประกันสิทธิในความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกนำไปใช้ตามอำเภอใจไม่ได้ เว้นแต่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กฎหมายยอมรับ หรือได้รับความยินยอมจากเจ
ทศพล ทรรศนพรรณ
หากรัฐไทยต้องการสร้างกรอบทางกฎหมายเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากข้อมูลพันธุกรรมมนุษย์ในช่วงเวลาที่ยังไม่มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติจริยธรรมวิจัยในมนุษย์ มาบังคับกับการวิจัยในพันธุกรรมมนุษย์ ซึ่งถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวจำต้องมีมาตรการประกันสิทธิเจ้าของข้อมูลพันธุกรรมให้สอดคล้องกับมาตร
ทศพล ทรรศนพรรณ
กองทัพเป็นรากเหง้าที่สำคัญของความขัดแย้งเนื่องจากทหารเข้ามามีบทบาทแทรกแซงทางการเมืองมานาน โดยการข่มขู่ว่าจะใช้กำลัง การใช้อิทธิพลกดดันนโยบายของรัฐบาล กดดันเพื่อเปลี่ยนรัฐมนตรี และการยึดอำนาจโดยปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งทหารมักอ้างว่ารัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ระบบการเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยเท่าที่ควรมีการฉ้อ
ทศพล ทรรศนพรรณ
 ปัญหาทางเศรษฐกิจที่มีขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเรียกร้องมาตลอด คือ การผูกขาด ซึ่งมีรากเหง้ามาจากการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจของกลุ่มผลประโยชน์ที่ทรงอำนาจ แล้วนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอันเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ขบวนการความเป็นธรรมทางสังคมเสนอให้แก้ไข   บทความนี้จะพยายามแสดงให
ทศพล ทรรศนพรรณ
การแสดงออกไม่ว่าจะในสื่อเก่าหรือสื่อใหม่ย่อมมีขอบเขตการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิของผู้อื่น ดังนั้นรัฐจึงได้ขีดเส้นไว้ไม่ให้ประชาชนใช้สิทธิเสรีภาพจนไปถึงขั้นละเมิดสิทธิของผู้อื่นเอาไว้ในกรอบกฎหมายหลายฉบับ บทความนี้จะพาชาวเน็ตไปสำรวจเส้นพรมแดนที่มิอาจล่วงล้ำให้เห็นพอสังเขป
ทศพล ทรรศนพรรณ
การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติที่อดอยากหิวโหยที่นั้นดำเนินการได้โดยตรงด้วยมาตรการความช่วยเหลือด้านอาหารโดยตรง (Food Aid) ซึ่งมีทั้งมาตรการระหว่างประเทศ และมาตรการภายใน   ในบทความนี้จะนำเสนอมาตรการและกรณีศึกษาที่ใช้ในการช่วยเหลือด้านอาหารในสถานการณ์ฉุกเฉินเหล่านั้น แต่ความแตกต่างจากการสงเ