Skip to main content

 ปัญหาทางเศรษฐกิจที่มีขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเรียกร้องมาตลอด คือ การผูกขาด ซึ่งมีรากเหง้ามาจากการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจของกลุ่มผลประโยชน์ที่ทรงอำนาจ แล้วนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอันเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ขบวนการความเป็นธรรมทางสังคมเสนอให้แก้ไข   บทความนี้จะพยายามแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง ค่าเช่าทางเศรษฐกิจ กับ ความเหลื่อมล้ำ เพื่อชี้ให้เห็นว่าถ้าจะแก้ปัญหาให้ได้ จะต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ไปด้วยกัน แยกแก้เพียงบางปัญหาไม่ได้

การแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ (Economic rent seeking)
  ค่าเช่าทางเศรษฐกิจ (Economic rent) หมายถึง การแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจขึ้นมาแบบไม่มีต้นทุน และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ พูดให้ชัดก็เหมือนการมีทรัพย์สินและปล่อยให้เช่า ผู้ให้เช่าไม่ได้ลงทุนอะไรในมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของทรัพย์สินของตน แต่ได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตนั้น และลำพังการให้เช่านั้นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เพิ่มเติมอย่างไร (สิ่งที่ทำให้เกิดประโยชน์เพิ่มเติมขึ้น คือ กิจกรรมของผู้เช่า) โดยกิจกรรมทั่วไปก็ไม่มีปัญหา เพราะค่าเช่าเป็นเหมือนค่าตอบแทนในการให้ใช้ประโยชน์บางอย่าง แต่เรื่องการเช่าจะเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจการเมืองก็ต่อเมื่อค่าเช่านั้นสูงเกินไป (High rent) กล่าวคือ ค่าเช่านั้นอาจสูงกว่าผลประกอบการที่เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจจริง ๆ เมื่อนั้นเจ้าของปัจจัยการผลิตหรือทรงอิทธิพลอำนาจทางเศรษฐกิจจะมุ่งหน้าแสวงหาค่าเช่าเป็นหลัก เพราะได้ผลตอบแทนดี และง่ายกว่าการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แท้จริง หรือที่เรียกกันว่า “เสือนอนกิน”


สิ่งที่เกิดขึ้นจากภาวะนี้ คือ เศรษฐกิจภาคการผลิตและบริการหรือสร้างสรรค์ไม่เกิดขึ้นจริง ปริมาณเงินเพิ่ม แต่สินค้าเท่าเดิม และคนกินเงินไม่ได้   และที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการเมืองโดยตรง คือ การแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจนั้นนำมาซึ่งต้นทุนในการดำรงชีวิตและประกอบกิจกรรมทั่วไปสูงขึ้นด้วย เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าแผง ราคาน้ำมันปาล์ม อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ฯลฯ


ภาวะค่าเช่าสูงนั้นเกิดจากการแข่งขันกันแสวงหาค่าเช่าจนกลายเป็นการเก็งกำไร เพราะแย่งกันหายิ่งได้มายาก ราคายิ่งสูง ดังนั้น ปัญหาแท้จริงจึงไม่ได้อยู่ค่าเช่าสูง แต่อยู่ที่ยังมี “ค่าเช่า” ให้แสวงหาอยู่ และแย่งกัน เพราะคนเริ่มมองเงินเป็นสิ่งสั่งสมและนำไปแปลงเป็นสิ่งปรารถนาได้ โดยไม่ต้องออกแรงมากเหมือนการทำงาน ผลิตินค้า ให้บริการ หรือรังสรรค์ผลงาน และมีระบบที่ทำให้เงินไหลเวียนมาโดยตนอาจไม่ต้องทำงานก็ได้


“ค่าเช่า” เกิดจากกฎหมายของและอำนาจรัฐเหนือตลาดในการแทรกแซง เพราะปกติไม่มีใครให้ประโยชน์กับคนที่ไม่ทำงาน นอกจากคนนั้นมีหรืออ้างอิงอำนาจที่เหนือกว่าการต่อรองอยู่ เช่น กรรมสิทธิ์ที่ดิน สัมปทาน พูดรวมๆ คือสิทธิในการผูกขาดทั้งหลาย ซึ่งหมายรวมถึงการฮั๊วกันเองของภาคเอกชนด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสังเกตได้ไม่ยากว่าพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่สามารถแทรกแซงอำนาจตลาดได้ คือ อำนาจรัฐ   และก็เห็นได้ชัดอีกเช่นกันว่าอำนาจรัฐที่สร้าง “ค่าเช่า” นั้นนำมาซึ่งมหาเศรษฐีหลายคน เช่น เศรษฐีผูกขาดสัญญาณโทรศัพท์ ทีวี น้ำเมา ที่ดิน ยา ฯลฯ ความร่ำรวยอย่างยิ่งใหญ่เหล่านี้เกิดจากค่าเช่าทางเศรษฐกิจ เพราะได้ประโยชน์จากการไร้คู่แข่ง แนวโน้มของพวกนี้ คือ การเสพติดค่าเช่า เมื่อมีแล้วก็ไม่อยากเลิก เพราะเลิกแล้วตนจะเข้าสู่ภาวะแข่งขันต่อรองของตลาดอย่างหนักทันที และแน่นอนว่าเมื่อคู่แข่งมีอำนาจมากขึ้น ผู้ถือค่าเช่าเดิม ๆ ย่อมจนลงตามระเบียบ 

 
ปัญหาเชิงโครงสร้างของค่าเช่า คือ ค่าเช่าส่วนใหญ่นั้นเกิดจากรัฐ และเป็นสิ่งที่แย่งกันหามาเพื่อจะรวย ผลก็คือ คนที่มีฝันเป็นมหาเศรษฐีในไทยเกือบทั้งหมดต้องเข้าหาอำนาจรัฐทั้งสิ้น เพราะในสังคมไทยไม่มีทางรวยถ้าไม่มีค่าเช่า (พวกไม่มีค่าเช่าย่อมยากจะแข่งขันกับพวกมีค่าเช่า) การหยิบยื่นผลประโยชน์ให้แก่อำนาจรัฐจึงเป็นเรื่องที่เกล่อในวงการธุรกิจ และแน่นอนว่าพวกที่ได้ประโยชน์จากการแสวงหาค่าเช่านั้นไม่ใช่แค่นักธุรกิจเท่านั้น แต่รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงอำนาจรัฐที่มีบารมีพอจะกำหนดค่าเช่าด้วยเช่นกัน


หากพิเคราะห์ “ค่าเช่า” ที่แพร่หลายในสังคมไทย เนื่องมาจากนโยบายเศรษฐกิจที่สร้างค่าเช่าและกำกับตลาด เพื่อแสวงหากำไรนั้น นอกจากจะสร้างความเสียหายให้แก่ระบบเศรษฐกิจแล้ว ก็ทำให้ต้นทุนในการประกอบอาชีพโดยไม่มีค่าเช่าสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น และสร้างปัญหาเสพติดค่าเช่าแก่ภาคธุรกิจและภาครัฐจนนำไปสู่การทุจริตคอรัปชั่นด้วย   จึงเป็นที่มาว่ากลุ่มผลประโยชน์ก็เข้าสู่งวงการเมืองเพื่อมาแสวงหาค่าเช่า แต่ปัญหาคือ มีเครือข่ายบารมีในวงการเมืองและวงราชการพอที่จะกำหนดค่าเช่าเหล่านั้นด้วยตัวเอง 


ข้อโจมตีที่โจมตีต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมากที่สุด คือ ปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ที่นักการเมืองกลายเป็นกลุ่มทุนและเจ้าหน้าที่ของรัฐไปพร้อมกัน ภายใต้เงื่อนไขนี้ผู้เข้าสู่อำนาจสำเร็จสามารถสร้างค่าเช่าขึ้นมาได้ไม่สิ้นสุด แต่ปัญหาคือค่าเช่านั้นไม่ค่อยถูกแบ่งให้คนอื่น หรือคนอื่นเสียหายจากการมีค่าเช่านี้มากขึ้น

 

ความเหลื่อมล้ำอย่างสูง


สังคมไทยมีความเลื่อมล้ำทางรายได้สูงมาก การกระจายรายได้ก็ต่ำมาหลายทศวรรษ สะท้อนผ่านการเขียนคำประกาศของคณะราษฎรที่ปรีดี พนมยงค์ ก็อ้างถึงนำการอภิวัฒน์ประเทศสู่ประชาธิปไตย แต่ก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใดเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดิน เรายังพัฒนาเศรษฐกิจให้เน้าไปสร้างความมั่นคงมั่งคั่ง แก่คนที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตามภาครัฐจะไม่ตอบสนองต่อภาคประชาชน หรือคนกลุ่มรายได้น้อย ไร้ที่ดินทำกินก็มิได้ไร้สิ้นหนทาง นโยบายต่อคนทำงานจึงไม่ทำให้คนส่วนใหญ่รวยขึ้น แต่เมื่อมวลชนผู้ถูกกดขี่ขูดรีก็ย่อมตื่นรู้แล้วประณามคนรวยได้ไม่ยาก ด้วยการซุบซิบนินทา เพลงลูกทุ่ง เข้าร่วมเป็น “สหาย” กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย รวมๆ เรียกว่า อาวุธของคนไร้อำนาจ (Weapon of the weak) สภาวะเช่นนี้ทำให้เกิดความเข้าใจว่าตวามรวยเป็นผลพวกของโครงสร้างอำนาจที่ไม่ปกติ ต้องทำอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ เพราะคนทำงานอุตสาหะตรากตรำวันละ 10 ชั่วโมงก็ยังไม่รวย การประณามว่าคนรวยขี้โกงนั้นเกิดขึ้นง่ายๆ ในภาวะนี้ และเป็นการประณามบุคคลเป็น “กลุ่ม”

ความขัดแย้งในสังคมไทยในหลายครั้ง ก็เกี่ยวเนื่องกับความเลื่อมล้ำเรื่องรายได้ และการครองทรัพย์สิน เพราะเป็นเรื่องที่เห็นอยู่ชัดๆ มานานแล้วว่าสังคมไทยไม่มีความเป็นธรรมทางสังคม เมื่อฝ่ายที่รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมฉุกคิดเรื่องนี้ ก็จะอ้างอิงเรื่องนี้ มาวิเคราะห์ความอยุติธรรมที่ตนได้รับในสังคม แล้วเสนอทางออกที่ปรับเปลี่ยนโครงสร้างรัฐเสียใหม่

ดังที่เรา(ไม่)เห็นการชุมนุมหรือเดินขบวนเรียกร้องการปฏิรูปอยู่อย่างคับคั่งแต่ก็ต้องเผชิญกับการกดปราบจากรัฐบาลที่ปกป้องโครงสร้างอยุติธรรมนี้ให้ดำรงอยู่สืบไป

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
การนำ คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 205/2549 มาตราเป็นพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร  โดยแฝงนัยยะของการสร้าง “รัฐทหาร” ด้วยการขยับขยายขอบเขตอำนาจแก่เจ้าหน้าที่ กอ. รมน.
ทศพล ทรรศนพรรณ
หลังสิ้นสุดยุคสมัยสงครามเย็น หนึ่งในมรดกตกทอดจากยุคนั้น ได้แก่ หน่วยงานความมั่นคงของรัฐไทยที่มีอำนาจหน้าที่อย่างเข้มข้นในการเฝ้าระวัง สอดส่อง ควบคุมการสื่อสารและการกระทำต่าง ๆ ของประชาชนที่ผู้มีอำนาจเห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง และส่งผลเสียต่อการยืนหยัดสู้เพื่ออุดมการณ์ทางการเมืองช่วงนั้น อาทิ กอง
ทศพล ทรรศนพรรณ
คนไร้บ้านจัดเป็นกลุ่มที่เสี่ยงที่จะถูกละเมิดสิทธิและด้อยโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณะ สวัสดิการ และหลักประกันด้านต่าง ๆ ด้วยเหตุที่เป็นกลุ่มซึ่งต้องปะทะโดยตรงกับการพัฒนาเมืองอย่างไม่ยั่งยืนทั้งที่สาเหตุของการออกมาอยู่ในพื้นที่สาธารณะนั้นเกี่ยวข้องกับความเหลื่อมล้ำทางสังคมอันเป็นผลลัพธ์ของนโยบายส
ทศพล ทรรศนพรรณ
คนไร้บ้านตกอยู่ในสถานะของกลุ่มเสี่ยงที่อาจต้องเผชิญจากการเหยียดหยามศักดิ์ความเป็นมนุษย์โดยตรงจากการละเมิด และยังอาจไม่ได้รับการดูและแก้ไขปัญหาเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยุ่งยากต่าง ๆ เพราะถูกจัดให้อยู่ในสถานะต่ำต้อยเสี่ยงต่อการเลือกประติบัติจากรัฐ จนไปถึงการเพิกเฉย ละเลย ไม่ใส่จะแก้ปัญหาให้คนไร้บ้
ทศพล ทรรศนพรรณ
คนไร้บ้านเป็นเสียงที่ไม่ถูกนับ การใช้พลังในลักษณะกลุ่มก้อนทางการเมืองเพื่อเรียกร้องประโยชน์จากผู้มีอำนาจให้จัดสรรทรัพยากรให้จึงเป็นเรื่องยาก ด้วยสาเหตุหลัก 2 ประการ คือ
ทศพล ทรรศนพรรณ
การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของคนไร้บ้านจำเป็นต้องยืนอยู่บนฐานของกฎหมายที่ประกันสิทธิของบุคคลโดยมิคำนึงถึงความแตกต่างหลากหลายทางสถานภาพใด ๆ แม้คนไร้บ้านจะเป็นปัจเจกชน หรือกลุ่มคนที่มีปริมาณน้อยเพียงไร รัฐก็มีพันธกรณีในการเคารพ ปกป้อง และส่งเสริมสิทธิให้กลุ่มเสี่ยงนี้โดยเหตุแห่งความเป็นสิทธิมนุษยชนที่ร
ทศพล ทรรศนพรรณ
หากต้องกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในการเข้าร่วมตลาดดิจิทัลที่มีเข้มข้นของกิจกรรมข้ามพรมแดนตลอดเวลา เพื่อแก้ไขปัญหาศักยภาพของรัฐในการบังคับใช้กฎหมายขยายไปเหนือหลักเขตอำนาจศาลเหนือดินแดนของตนแบบเก่า เมื่อต้องกำกับกิจกรรมของบรรษัทข้ามชาติที่อยู่ในการบังคับของกฎหมายรัฐอื่นซึ่งมีบรรทัดฐานในหลายประเด็น
ทศพล ทรรศนพรรณ
การวิเคราะห์กฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องกับลักษณะความสัมพันธ์ของนิติบุคคลเจ้าของแพลตฟอร์มที่มักเป็นบรรษัทข้ามชาติกับรัฐ จะกระทำใน 3 ประเด็นหลัก คือ ใครเป็นเจ้าของข้อมูล ใครมีสิทธิใช้ประโยชน์จากข้อมูลมากน้อยอย่างไร หรือแบ่งปันกันอย่างไร อันเป็นการเตรียมความพร้อมของกฎหมายในการรองรับปรากฏการณ์การใช้ข้อมูล
ทศพล ทรรศนพรรณ
บทความนี้จะทำการรวบรวมข้อเสนอทางกฎหมายในระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับลักษณะความสัมพันธ์ของนิติบุคคลเจ้าของแพลตฟอร์มที่มักเป็นบรรษัทข้ามชาติ กับรัฐและองค์การระหว่างประเทศ อันเป็นการเตรียมความพร้อมของกฎหมายในการรองรับปรากฏการณ์การใช้ข้อมูลจากแพลตฟอร์มดิจิทัล ว่าสามารถบริหารจัดการให
ทศพล ทรรศนพรรณ
บทความนี้จะทำการทบทวนข้อกฎหมายทั้งในระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับลักษณะความสัมพันธ์ของนิติบุคคลเจ้าของแพลตฟอร์มที่มักเป็นบรรษัทข้ามชาติ เรื่อยมาจนถึงสำรวจความพร้อมของกฎหมายในการรองรับปรากฏการณ์การใช้ข้อมูลจากแพลตฟอร์มดิจิทัล ว่าสามารถบริหารจัดการให้เกิดการแบ่งปันข้อมูลดิจิทัลระหว
ทศพล ทรรศนพรรณ
ประเด็นพื้นฐานที่รัฐต้องคิด คือ จะส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่อสะสมความมั่งคั่งได้อย่างไร แล้วจึงจะไปสู่แนวทางในการแบ่งปันความมั่งคั่งให้กับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการผลิตข้อมูลขึ้นมาในแพลตฟอร์ม
ทศพล ทรรศนพรรณ
Kean Birch นำเสนอปัญหาของข้อมูลส่วนบุคคลในฐานะสินค้าของตลาดนวัตกรรมเทคโนโลยีจำนวน 5 ประเด็น คือ1.ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของแพลตฟอร์มในฐานะเจ้าของข้อมูลทึ่ถูกรวบรวมโดยนวัตกรรม,