Skip to main content

คนไร้บ้านตกอยู่ในสถานะของกลุ่มเสี่ยงที่อาจต้องเผชิญจากการเหยียดหยามศักดิ์ความเป็นมนุษย์โดยตรงจากการละเมิด และยังอาจไม่ได้รับการดูและแก้ไขปัญหาเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยุ่งยากต่าง ๆ เพราะถูกจัดให้อยู่ในสถานะต่ำต้อยเสี่ยงต่อการเลือกประติบัติจากรัฐ จนไปถึงการเพิกเฉย ละเลย ไม่ใส่จะแก้ปัญหาให้คนไร้บ้าน  ก็ด้วยเหตุที่คนไร้บ้านนั้นเป็นยิ่งกว่าคะแนนเสียงที่ไม่ถูกนับ เพราะในสายตาของผู้มีอำนาจหรือหน่วยงานจำไม่น้อยจัดให้เป็น กลุ่มที่ไม่มีปากมีเสียง หรือในบางนโยบายกลับจำเพาะให้กลุ่มคนไร้บ้านกลายเป็นส่วนเกิน มะเร็ง หรือสิ่งรกหูรกตา โดยเฉพาะรัฐที่กำลังพยายามเปลี่ยนสภาพเมือง ปรับพื้นที่สาธารณะให้กลายเป็นทุนทางสายและความงามเพื่อดึงดูดเม็ดเงินเข้ามาผ่านกิจกรรมการท่องเที่ยว

สภาพปัญหานี้เชื่อมโยงกับมิติการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม  ที่ต้องมองการประชันขันแข่งของกลุ่มคนหลากหลายในสังคมในการแย่งชิงทรัพยากรมาจัดสรรปันส่วนให้เป็นประโยชน์กับกลุ่มต่าง ๆ อย่างเสมอภาค ไม่กีดกันกลุ่มใดออกจากระบวนการตัดสินใจเพื่อกำหนดอนาคตของสังคมนั้นๆ เพื่อป้องกันการเข้าไม่ถึงทรัพยากรจนไม่อาจพัฒนาตนเองได้ และติดกับดักความยากจนด้อยพัฒนาอย่างถาวรจากรุ่นตนไปสู่รุ่นถัดไป   ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก และถูกเร่งให้ทวีคูณความรุนแรงด้วยแผนพัฒนาพื้นที่เมืองระดับโลกให้ตอบสนองการผลิตในแนวทางของเสรีนิยมใหม่ และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสินค้าและบริการเพื่อขายได้ในตลาดโลก โดยอาจละทิ้งคุณค่าต่าง ๆ ในสังคม เช่น สิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนกลุ่มอื่น

เมื่อด้านหนึ่งของรัฐต้องผลักดันให้เมืองเป็นฐานของการผลิตในระบบทุนนิยมก็ต้องสร้างหลักประกันไปพร้อมกันว่าประชากรของเมืองนั้นจะยังคงทำงานผลิตสินค้าและบริการต่อไปได้ไม่หยุดยั้งดั่งสายพานการผลิตเครื่องยนต์ของโรงงาน   ในอีกด้านรัฐจึงมีหน้าที่ ดูดซับรายได้ที่เกิดขึ้นให้มาเป็นงบประมาณเพื่อจัดสรรสวัสดิการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับพลเมืองในรัฐ สร้างเสริมหลักประกันทางสังคมและชีวิตให้กับประชาชนของเมืองนั้นๆ

คำถามที่สำคัญต่อกลุ่มคนไร้บ้าน คือ ตำแหน่งแห่งที่ของคนไร้บ้านในแผนพัฒนาเมือง และสิทธิของคนไร้บ้านในการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ

ในมิติของการวางแผนพัฒนาเมืองท่ามกลางกระแสพัฒนาแบบเสรีนิยมโลกาภิวัฒน์ เมื่อเมืองต้องเน้นไปที่การพัฒนาให้มีความสวยงามตระการตารองรับความคาดหวังของนักท่องเที่ยว  โดยรัฐและกลุ่มทุนท่องเที่ยวและพาณิชย์มักมีแนวโน้มที่จะมองว่า คนไร้บ้าน คนเร่ร่อน คนที่อาศัยในที่สาธารณะโดยปราศจากกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน เป็นส่วนเกินไม่จำเป็นต้องให้การรับรองการมีที่ยืนอยู่ในพื้นที่ หรือต้องย้ายคนเหล่านี้ออกไปอยู่นอกเมือง หรือจำกัดพื้นที่ไว้ในบริเวณซึ่งผู้กุมอำนาจในการกำหนดแผนพัฒนาวางไว้ โดย ปราศจาการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ “กำหนดอนาคตตนเอง” ของ “กลุ่มคนไร้บ้าน”

การกำหนดนิยาม “ความสะอาด ความสวยงาม” ของเมืองท่องเที่ยวที่ไม่มีคนไร้บ้านอยู่ในวงถกเถียงนั้นย่อมจำกัดพื้นที่และขอบเขตการเข้าไปเบียดแทรกอาศัยอยู่ในพื้นที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   ดังนั้นกลยุทธ์ที่ภาครัฐและเอกชนที่ต้องการผูกขาดอำนาจการตัดสินใจ จึงอยู่ในลักษณะกีดกันคนไร้บ้านโดยอาศัย “ความไม่ชัดเจนของสถานะบุคคล” อีกเช่นเคย   ซึ่งอาจเป็นคำตอบของคำถามพื้นฐานว่าทำไม การแก้ไขปัญหาสถานะบุคคลของคนไร้บ้านจึงเป็นเรื่องยากและต้องใช้ระยะเวลายาวนานกว่าจะได้สถานะทางทะเบียนราษฎร์ในแต่ละกรณี 

นอกจากนี้ข้อจำกัดจากระบบกฎหมายทรัพย์สินและที่ดินไทยที่ไม่เปิดพื้นที่ให้กับการจัดการแบบกรรมสิทธิ์ร่วม การบริหารจัดการโดยชุมชน หรือที่เคยรับรองโดยรัฐธรรมนูญ 2550 ว่าด้วย สิทธิชุมชน ก็ถูกปฏิเสธด้วยงานทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการปัญหากลุ่มคนไร้บ้าน บางกลุ่มจะมีพื้นที่และอยู่รวมกันเป็นชุมชนมาอย่างต่อเนื่องบ้างแล้วก็ตาม   มิพักต้องพูดถึงการด้อยสิทธิเมื่ออยู่อาศัยในพื้นที่ซึ่งอยู่ในการครอบครองของเอกชน ที่เสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องดำเนินคดีบุกรุก หรือบังคับขับไล่   การทำประชาพิจารณ์ในแผนพัฒนาโครงการ/พื้นที่ต่าง ๆ จึงต้องคำนึงถึงการมีอยู่ของกลุ่มคนไร้บ้านด้วย

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเมื่อมีการอ้างสิทธิและอำนาจในการจัดการพื้นที่อย่างไม่ลงรอยนี้นำไปสู่การใช้ความรุนแรง และข้อพิพาทระหว่างคนไร้บ้านกับเจ้าของพื้นที่อยู่บ้าง แม้ไม่ปรากฏเป็นปัญหาขยายใหญ่ ก็เนื่องด้วยความด้อยกำลังของคนไร้บ้านเอง ที่ตกอยู่ในสถานะผู้เสียเปรียบและเสี่ยงที่จะถูกทำร้าย ขับไล่ หรือต้องโทษทางอาญา และโดนบังคับคดีในทางแพ่งให้ออกากพื้นที่   การขาดกระบวนการจัดการความขัดแย้งทั้งในช่วงบ่มเพาะความรุนแรง ช่วงความขัดแย้งประทุ หรือช่วงบรรเทาเยียวยาข้อพิพาท เพื่อนำไปสู่การสมานฉันท์ให้คนไร้บ้านอยู่ในพื้นที่ได้ด้วยความปรองดองกับคนอื่น ๆ ในพื้นที่ จึงเป็นสิ่งที่ต้องการการออกแบบต่อไป

เมื่อมองกลับมาในมุมการดูแลประชากรของรัฐ/เมือง การเปลี่ยนเมืองที่เคยอยู่อาศัยร่วมกันของคนหลากหลายกลุ่ม ให้เป็นพื้นที่ซึ่งเหมาะกับการท่องเที่ยวได้สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้หลายเมืองท่องเที่ยวมากว่าทศวรรษแล้ว แต่ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจนั้นถูกผันมาเป็นงบประมาณที่รองรับคนที่ถูกผลักออกจากพื้นที่แล้วหรือไม่ ยังคงเป็นข้อสงสัยอยู่เสมอ 

คนไร้บ้านจำนวนมากอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อโรคติดต่อร้ายแรง หรือการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เนื่องจากเข้าไม่ถึงบริการด้านสาธารณสุขของรัฐ บางกรณีอาจเข้าถึงได้บ้างแต่เมื่อย้ายพื้นที่ก็กลับสูญเสียสิทธิไปอีกเนื่องจากเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับภูมิลำเนา การผูกสิทธิกับสถานพยาบาลในเชิงพื้นที่  เนื่องด้วยประเทศไทยยังไม่มีลักษณะการประกันสุขภาพถ้วนหน้าแบบไร้ข้อจำกัดในเชิงพื้นที่  และปัญหาจะยิ่งหนักขึ้นหากเป็นคนไร้บ้านที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร์

บทสะท้อนจากคนไร้บ้านที่ต้องการ “มีชีวิตที่อยู่รอดปลอดภัย” แล้วขยับขยายไปจน “ยืนอยู่บนลำแข้งตัวเองได้อย่างมั่นคง” นั้น ต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและผู้ประกอบการในพื้นที่ในเชิงรับรองสถานะทางกฎหมายของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คนไร้บ้านพอจะมีศักยภาพทำได้  เช่น  การต้องเสี่ยงกับคดีอาญาทุกครั้งที่ไปเก็บขยะหรือของเก่าบ่อยครั้งของคนไร้บ้าน เมื่อมีคดีก็ขาดองค์กรจัดตั้งที่สามารถยืนยันเป็นพยานที่มาของขยะและของเก่า

ต่อเมื่อกลุ่มคนไร้บ้านอยู่รวมกันเยอะจนจำเป็นต้องจัดสร้างที่อยู่อาศัยอย่างถูกสุขลักษณะ ก็ต้องการงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยงานด้านพัฒนาที่อยู่อาศัยแต่ก็ยังคงติดเพดานการจัดการภายใต้กรอบกฎหมายที่ดินและทรัพย์ของไทย คือต้องมีการซื้อหามาในลักษณะที่ดินเอกชนแล้วจัดสร้างขึ้นเป็นทรัพย์ของนิติบุคคล  ดังนั้นอำนาจเด็ดขาดจึงอยู่ที่หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบ และตัวบุคลากรที่เป็นตัวจักรสำคัญในการคัดกรองคนเข้าหรือไล่คนออกจากที่พักอาศัย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เช่นเคย   รวมถึงการมีปัญหาซ้ำซ้อนจากการด้อยสิทธิของบุคคลไร้สัญชาติ และการกีดกันบุคคลที่เคยต้องโทษในคดีอาญา เป็นต้น

การพัฒนาขั้นสูงเชื่อมโยงกับการพัฒนาทักษะด้วยการฝึกอบรมอาชีพที่ยังไม่มีมาตรการส่งเสริมโอกาสที่ชัดเจนนัก รวมถึงความไม่ต่อเนื่องของโครงการที่เชื่อมกับภาคเอกชนที่ต้องการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการจากคนไร้บ้าน   แต่ประเด็นที่ขาดเสียมิได้ คือ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในการศึกษาของบุตรหลานคนไร้บ้าน ที่อยู่ในสภาพเร่ร่อน ไร้ภูมิลำเนา เสี่ยงต่อการไม่ได้รับการศึกษาจากสถานบันและทางเลือกพัฒนาทั้งหลาย

การแก้ปัญหาโดยไม่เน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นสตรี เด็ก และเยาวชน ย่อมเป็นการปล่อยปละละเลยไม่ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม  เพราะนี่คือ กลุ่มคนที่จำกลายเป็นพลังสำคัญในอนาคตอันใกล้   หาไม่แล้วคนกลุ่มนี้ก็อาจจำใจต้องเข้าสู่วงจรของตลาดมืดและอาชญากรรม ทั้งการค้าประเวณี บังคับใช้แรงงานทาส อาชญากรรับจ้าง หรือผู้แพร่โรคติดต่อร้ายแรงโดยที่ไม่ยอมจำกัดผลกระทบ สืบเนื่องจากการต้องการแก้แค้นสังคม และไม่แยแสต่อเพื่อนมนุษย์ที่ไม่เห็นหัวตัวเองอีกต่อไป

*ปรับปรุงจากวิจัย โครงการศึกษาและวิเคราะห์สภาพปัญหาและสนับสนุนองค์ความรู้ทางกฎหมายเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไร้บ้าน, 2560. สนับสนุนทุนโดย สสส.

 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
คำถามที่สำคัญในเศรษฐกิจการเมืองยุคดิจิทัล ก็คือ บทบาทหน้าที่ของภาครัฐรัฐท่ามกลางการเติบโตของตลาดดิจิทัลที่ภาคเอกชนเป็นผู้ผลักดันและก่อร่างสร้างระบบมาตั้งแต่ต้น  ซึ่งสร้างผลกระทบต่อชีวิตผู้คนในรัฐให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง   อย่างไรก็ดีความเจริญก้าวหน้าของตลาดย่อมเกิดบนพื้น
ทศพล ทรรศนพรรณ
แนวทางในการส่งเสริมสิทธิคนทำงานในยุคดิจิทัลประกอบไปด้วย 2 แนวทางหลัก คือ1. การระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นภายในความสัมพันธ์ระหว่าง แพลตฟอร์ม กับ คนทำงาน2. การพัฒนารัฐให้รองรับสิทธิคนทำงานอย่างถ้วนหน้า
ทศพล ทรรศนพรรณ
เนื่องจากการทำงานของคนในแพลตฟอร์มดิจิทัลในช่วงก่อนหน้าสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดนั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นทำให้ปริมาณคนที่เข้ามาทำงานมีไม่มากนัก และเป็นช่วงทำการตลาดของเหล่าแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในการดึงคนเข้ามาร่วมงานกับแพลตฟอร์มตนยังผลให้สิทธิประโยชน์เกิดขึ้นมากมายเป็นที่พึงพอใจของผู้เข้าร่วมทำงานกับแพลตฟ
ทศพล ทรรศนพรรณ
รัฐชาติในโลกปัจจุบันไม่เปิดโอกาสให้บุคคลเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน ที่อยู่ แหล่งทำมาหากินได้อย่างอิสระ เสรีมาตั้งแต่การสถาปนารัฐสมัยใหม่ขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก   เช่นเดียวกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่าง ไทย พม่า ลาว หรือกัมพูชา   ก็ล้วนเกิดพรมแดนระหว่างรัฐในลักษณะที
ทศพล ทรรศนพรรณ
นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์ “สีเสื้อ”   สื่อกลายเป็นประเด็นสำคัญที่เป็นตัวสะท้อนภาพของคนและสังคมเพื่อขับเน้นประเด็นเคลื่อนไหวทางสังคมให้ปรากฏเป็นขบวนการทางการเมืองที่มีผู้คนเข้าร่วมอย่างมากมายมหาศาล และมีกิจกรรมทางการเมืองหลากหลายรูปแบบ   ดังนั้นอำนาจในการสื่อสารและการมีส่วนร่วมใ
ทศพล ทรรศนพรรณ
สังคมไทยเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง แตกแยก และปะทะกันอย่างรุนแรงทั้งในด้านความคิด และกำลังประหัตประหารกัน ระหว่างการปะทะกันนั้นระบบรัฐ ระบบยุติธรรม ระบบคุณค่าเกียรติยศ และวัฒนธรรมถูกท้าทายอย่างหนัก จนสูญเสียอำนาจในการบริหารจัดการรัฐ   ในวันนี้ความตึงเครียดจากการเผชิญหน้าอาจเบาบางลง พร้อ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เศรษฐกิจและการเมืองยุคดิจิทัล ใช้ข้อมูลของประชาชนและผู้บริโภคเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจตลาดการเมืองและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดีเจ้าของข้อมูลทั้งหลายได้รับประกันสิทธิในความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกนำไปใช้ตามอำเภอใจไม่ได้ เว้นแต่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กฎหมายยอมรับ หรือได้รับความยินยอมจากเจ
ทศพล ทรรศนพรรณ
หากรัฐไทยต้องการสร้างกรอบทางกฎหมายเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากข้อมูลพันธุกรรมมนุษย์ในช่วงเวลาที่ยังไม่มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติจริยธรรมวิจัยในมนุษย์ มาบังคับกับการวิจัยในพันธุกรรมมนุษย์ ซึ่งถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวจำต้องมีมาตรการประกันสิทธิเจ้าของข้อมูลพันธุกรรมให้สอดคล้องกับมาตร
ทศพล ทรรศนพรรณ
กองทัพเป็นรากเหง้าที่สำคัญของความขัดแย้งเนื่องจากทหารเข้ามามีบทบาทแทรกแซงทางการเมืองมานาน โดยการข่มขู่ว่าจะใช้กำลัง การใช้อิทธิพลกดดันนโยบายของรัฐบาล กดดันเพื่อเปลี่ยนรัฐมนตรี และการยึดอำนาจโดยปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งทหารมักอ้างว่ารัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ระบบการเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยเท่าที่ควรมีการฉ้อ
ทศพล ทรรศนพรรณ
 ปัญหาทางเศรษฐกิจที่มีขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเรียกร้องมาตลอด คือ การผูกขาด ซึ่งมีรากเหง้ามาจากการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจของกลุ่มผลประโยชน์ที่ทรงอำนาจ แล้วนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอันเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ขบวนการความเป็นธรรมทางสังคมเสนอให้แก้ไข   บทความนี้จะพยายามแสดงให
ทศพล ทรรศนพรรณ
การแสดงออกไม่ว่าจะในสื่อเก่าหรือสื่อใหม่ย่อมมีขอบเขตการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิของผู้อื่น ดังนั้นรัฐจึงได้ขีดเส้นไว้ไม่ให้ประชาชนใช้สิทธิเสรีภาพจนไปถึงขั้นละเมิดสิทธิของผู้อื่นเอาไว้ในกรอบกฎหมายหลายฉบับ บทความนี้จะพาชาวเน็ตไปสำรวจเส้นพรมแดนที่มิอาจล่วงล้ำให้เห็นพอสังเขป
ทศพล ทรรศนพรรณ
การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติที่อดอยากหิวโหยที่นั้นดำเนินการได้โดยตรงด้วยมาตรการความช่วยเหลือด้านอาหารโดยตรง (Food Aid) ซึ่งมีทั้งมาตรการระหว่างประเทศ และมาตรการภายใน   ในบทความนี้จะนำเสนอมาตรการและกรณีศึกษาที่ใช้ในการช่วยเหลือด้านอาหารในสถานการณ์ฉุกเฉินเหล่านั้น แต่ความแตกต่างจากการสงเ