Skip to main content
ตอนที่ 1 สุข-ทุกข์อยู่บนท้องถนน

เห็นจะต้องยอมรับเสียทีว่า ตัวเองนั้นเป็นที่ใช้รถเปลืองมากๆ ส่วนใหญ่ถ้าวันไหนต้องออกจากบ้านก็คงจะใช้อย่างน้อย 2 คันทีเดียว ทั้งหมดนี้ไม่ได้อวดโอ้แต่ประการใด เพียงแต่ว่า พาหนะหลักในการเดินทางของผู้เขียนเวลาที่อยู่กรุงเทพฯ นั้นก็คือแท็กซี่ แม้จะใช้รถไฟฟ้าหรือใต้ดินบ้างก็ยังต้องนั่งแท๊กซี่ไปที่สถานีรถไฟฟ้าหรือใต้ดินอยู่ดี   ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีมานี้จึงได้พบเรื่องราวหลากหลายในระหว่างการนั่งรถแท๊กซี่ และผ่านบทสนทนากับคนขับแท๊กซี่ที่ผู้เขียนได้ใช้บริการไม่ว่าสีไหนก็ตาม (อันนี้หมายถึงสีของรถแท๊กซี่ไม่เกี่ยวกับสีในอุดมการณ์ของคนขับ) เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คิดว่าน่าจะสนุกดีเหมือนกันหากจะได้เก็บเอาเรื่องราวที่เราได้พบเห็นระหว่างที่อยู่บนรถแท็กซี่ หรือจากบทสนทนากับคนขับแท็กซี่มาแลกเปลี่ยนกันในที่นี้ และ ตอนนี้เขียนเอาไว้ว่า เป็นตอนที่ 1 ก็หมายความว่าจะมีตอนต่อๆ ไปอีก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต่อกันในทันใด อาจจะมีเรื่องอื่นๆ มาคั่นก็ได้ แต่ทุกๆครั้งที่จะเขียนถึงแท๊กซี่ก็จะใช้ชื่อนี้แหละ "ร้อยแปดเรื่องราวจากชาวแท๊กซี่"

สำหรับในตอนแรกนี้ เหตุเพิ่งเกิดขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ  เนื่องจากบังเอิญช่วงนี้อ่านหนังสือธรรมะมาพอสมควร แล้วระหว่างที่นั่งรถแท๊กซี่อยู่ก็คิดถึงเรื่อง "ความสุข" และ "ความทุกข์" ขึ้นมา และพอดีกับที่แท๊กซี่ก็บ่นเรื่องรถติด แสดงอาการอึดอัดขัดใจพอสมควรที่รถติด ทั้งๆ ที่รถก็ติดทุกวัน ในฐานะของคนขับแท๊กซี่ก็ต้องเห็นอยู่ทุกวันน่าจะทำใจได้   วันนั้นแท๊กซี่คันสีน้ำตาลที่ผู้เขียนนั่งมานั้นแล่นด้วยความเร็ว 1 กิโลเมตรต่อชั่วโมงสลับหยุดนิ่ง 5-10 นาที  ต่อมาเมื่อขยับมาแบบช้ากว่าเต่าคลานได้อีกระยะหนึ่งก็พบว่า ถนนเลนในเท่านั้นที่รถยังติดอยู่ แต่เลนนอกกลับวิ่งฉิว

คนขับชักอึดอัด พยายามคลานกระดึ้บๆ ออกมา ใช้เวลาไปนานกว่าครึ่งชั่วโมงเดินทางมาได้ประมาณ 2 กิโลเมตร และในที่สุดด้วยความเก่าเกม คนขับแท๊กซี่ก็สามารถออกมาข้างนอกไปพร้อมกับสามารถแล่นฉิว แท๊กซี่ถึงกับอุทานออกมาว่า "แหม มาอยู่เลนนี้เหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลย" แล้วหันไปมองเลนที่มีแต่รถติดเต็มหมายประหนึ่งว่า "นั่นมันนรกชัดๆ"

ตอนที่ได้ยินคำที่แท๊กซี่พูดออกมาอย่างฉับพลันทันใด ก็เลยได้คิดว่า เออ จริงนะ คนเรา จริงๆ ไปสวรรค์ก็ไม่ยากเท่าไร แท๊กซี่พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความพอใจ เรียกได้ว่า เกิดความสุขขึ้นแล้วชั่วขณะหนึ่ง  ก็เลยทำให้ได้คิดว่า จริงๆ แล้วความสุขของคนเรานั้นหาได้ไม่ยากหรอกเพียงแต่มองโลกให้เป็นหรือหาจุดเล็กจุดน้อยมาคิดให้ได้ว่ามันเป็นความสุข  นอกจากคำอุทานของคนขับแท๊กซี่คันสีน้ำตาลที่นั่งมานี้ จากประสบการณ์การสนทนากับแท๊กซี่ก็พบว่า ความสุขของแท๊กซี่นั้นหาได้ง่ายมากหรือเกิดขึ้นได้บ่อยมาก แต่ส่วนใหญ่พวกเขาจะไม่รู้ตัวหรือไม่ทันสังเกตก็ได้ เช่น แท็กซี่ส่วนใหญ่จะเป็นสุขมากในวันที่รถไม่ติดถนนโล่ง และมีผู้โดยสารมาเรียกให้เขาวิ่งไปเส้นทางไกล แท๊กซี่หลายคนพูดถึงอย่างสอดคล้องต้องกันด้วยน้ำเสียงเปรมปรีดิ์มากว่า "วันนี้โชคดีมากมีแต่คนเรียกไปที่รถไม่ติด แล้วก็ได้เที่ยวไกลๆตั้งหลายเที่ยว"  หรือถ้าเป็นแท๊กซี่สนามบิน "วันนี้ได้ผู้โดยสารไปพัทยา (โว้ย) เหมาขากลับด้วย" น้ำเสียงของการพูดถึงเรื่องนี้ล้วนแต่เป็นเสียงที่แสดงถึง "ความสุข"

ในทางกลับกันบางคนก็บอกว่า "เมื่อวานแย่เลย ตื่นเช้ามาผู้โดยสารเรียกเข้าไปสุขุมวิท ติดแหง็กอยู่ที่นั่นเลย วันนี้ได้วิ่งไม่กี่เที่ยวก็ต้องส่งรถแล้ว" หรือ "เสร็จแน่ ส่งรถไม่ทันแล้ว" น้ำเสียงบ่งบอกถึงความทุกข์

ในวันเดียวกันนี้เอง  บนท้องถนนอีกเช่นกัน แท๊กซี่สีแดงที่เรียกกลับมาบ้าน  พอเหลือบมองเวลาว่า ใกล้จะสี่โมงเต็มทนเหลียวมองรอบด้าน รถติดมากๆ แทบไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนที่ จิตใจร้อนรุ่มว่าจะส่งรถไม่ทันไหนจะต้องไปเติมแก๊สก่อน เห็นได้ชัดว่าแท๊กซี่คนนี้กำลังเป็นทุกข์ ผู้เขียนก็ถามไปว่า ถ้าส่งไม่ทันแล้วจะเป็นยังไง แท๊กซี่ตอบว่า จะถูกปรับ 200 บาท ให้กับคู่กะ "แย่เลยวันนี้รถนี้รถติดทั้งวัน เพิ่งขับได้ไม่กี่เที่ยวเองด้วย" ผู้เขียนนั่งฟังอย่างไม่รู้จะช่วยอะไรได้ เพราะรถยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหนอยู่ดี พอกระตึ้บได้บ้างแท๊กซี่ก็พยายามหาว่าเส้นทางไหนจะดีที่สุด แต่ไม่รู้เป็น "ดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง" ที่ออกมาเส้นไหนๆ ก็ติดแหง็กไปเสียหมด

ในที่สุดแท๊กซี่ตัดสินใจว่า เมื่อออกจากถนนใหญ่จะเจอปั๊มแก๊สพอดี ขอให้ผู้เขียนลงก่อนแล้วเดินต่อหรือหารถต่อไปเองได้มั้ย เพราะหากเขาไปส่งผู้เขียนในฐานะผู้โดยสาร (ซึ่งตามหน้าที่จะต้องส่ง) ให้ถึงจุดหมายปลายทาง จะทำให้เขาต้องยูเทิร์นรถกลับมาที่ปั๊มแก๊สอีกทีแล้วรถติดขนาดนี้รับรองว่าเขาจะต้องเสียค่าปรับหนักแน่  ผู้เขียนก็คิดอยู่ในใจว่ารถก็ติดซะขนาดนี้ ถ้าลงไปแล้วจะมีรถที่ไหนมารับเรามั้ยนี่ และวันนี้ก็เพิ่งกลับมาจากงานสัปดาห์หนังสือเลยแบกหนังสือมาหลายเล่มเสียด้วย หนักน่าดูเหมือนกัน  แต่ในที่สุดก็บอกเขาว่าจะลงตรงถนนใหญ่ก่อนเข้าปั๊ม พอแท๊กซี่ได้ยินดังนั้นก็คลายกังวลอย่างเห็นได้ชัด ความสุขก็บังเกิดขึ้นกับเขาอีกเล็กน้อย พอรถจอดแท๊กซี่ก็มีน้ำใจบอกว่า จ่ายผมร้อยเดียวก็พอ (จากมิเตอร์ 110 บาท) พร้อมกล่าวขอบคุณด้วยความโล่งใจ เรียกได้ว่าคลายทุกข์ไปได้อีกเปราะหนึ่ง

แท๊กซี่อีกรายหนึ่ง แท๊กซี่สีเขียวเหลือง ขับมาจากทางหน้าหมู่บ้าน ออกมาถึงปากซอยเจอรถติด เขาก็เริ่มกังวลทันที  "ติดอะไรกันนี่" เป็นคำพูดแรก และ พอรถกระดึ้บๆ มาได้เล็กน้อย แท๊กซี่ก็บอกว่า พี่ครับเดี๋ยวขอแวะป๊มหน่อยนะครับ ทีแรกนึกว่าจะไปเติมแก๊ส แต่เขาบอกต่อว่า ผมอั้นมาตั้งแต่สุวรรณภูมิแล้ว  ซึ่งเท่ากับประมาณ 1 ชั่วโมง  ผู้เขียนบอกไปว่า ได้เลย ถ้าอั้นนาน ๆ เดี๋ยวท่อปัสสาวะอักเสบแล้วจะเป็นเรื่องใหญ่ พอถึงปั๊ม เขาบอกว่า ขอ 2 นาทีเท่านั้นแหล่ะครับ หลังจากออกมาจากห้องน้ำได้ คนขับแท๊กซี่มีสีหน้าแช่มชื่นพร้อมกับกล่าวว่า "เอาล่ะครับพี่ คราวนี้ถึงเชียงใหม่ก็ได้แล้ว"

เห็นไหมว่า ความสุขจริงๆ แล้วก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมหากมองหาให้เจอ  สำหรับแท๊กซี่นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นสุขมากเมื่อถนนโล่ง แต่จะทุกข์ทันทีที่รถติด แล้วเหตุการณ์สุขทุกข์ของคนขับรถแท็กซี่ก็วนเวียนอยู่บนท้องถนนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดวัน หรือหมดเวลาขับรถกลับบ้าน ส่วนจะไปเจอกับสุขหรือทุกข์อย่างไรที่บ้าน อันนี้ก็แล้วแต่ชีวิตใครชีวิตมันที่จะกำหนดกันเอง

บล็อกของ สุทธิดา มะลิแก้ว

สุทธิดา มะลิแก้ว
1 ทั้งๆที่มีทะเบียนบ้านและอาศัยอยู่ที่นนทบุรีมามากกว่า 10 ปี แล้ว และก่อนหน้านั้นก็อยู่ กรุงเทพฯ ขอนแก่น อุบลฯ ชลบุรี และอื่นๆอีกหลายแห่ง แต่เวลาที่มีใครก็ตามมาถามว่าเป็นคนที่ไหน (ไม่ได้ต้องการคำตอบแบบมุขตลกว่า ที่ไหนๆ ก็เป็นคนนะ) ผู้เขียนก็ตอบว่า “เป็นคนปัตตานี” แม้ว่าจริงๆ แล้วไปปัตตานีไม่เคยเกิน 7 วันต่อปีเลยสักครั้ง และบางปีก็ไม่ได้ไปเลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าการใช้ชีวิตอยู่ปัตตานีค่อนข้างน้อย มาถึงวันนี้ที่แม้มีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ในยามที่เดินทางไปปัตตานี ก็จะเรียกว่า “กลับบ้าน” อีกเช่นกัน เรื่องการบอกว่าเป็นคนที่ไหนของไทยนั้น เชื่อว่าคนอื่นๆ…
สุทธิดา มะลิแก้ว
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า โดยส่วนตัวแล้ว เห็นด้วยกับเรื่อง การไม่ขับรถหลังจากได้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือที่ที่มีการรณรงค์ที่เรียกว่า “เมาไม่ขับ” และเห็นด้วยกับการรณรงค์ไม่ให้ดื่มเหล้าในวัด หรือศาสนสถานต่างๆ และยังเห็นด้วยอีกกับการรณรงค์ให้คนลด ละ เลิกการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ลงบ้าง เพื่อเห็นแก่สุขภาพและเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณในการรักษาพยาบาล อันเนื่องมาจากโรคหรือความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเนื่องจากการดื่มสุรา รวมทั้ง การเชิญชวนให้งดดื่มเหล้าในช่วงเข้าพรรษา สำหรับประชาชนที่เป็นพุทธศาสนิกชน เพื่อเป็นการถือศีลถือเป็นการสร้างมงคลให้กับชีวิตก็เป็นเรื่องที่เห็นด้วยเช่นกัน ทว่า…
สุทธิดา มะลิแก้ว
นับเป็นความสะเทือนใจอย่างยิ่งของคนทั่วโลกกับภาพความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวพม่า อันเนื่องมาจากพายุไซโคลนนาร์กิส ที่ตัวเลขของผู้เสียชีวิตนั้นหลังจากเกิดพายุนั้นแม้ผ่านมาแล้วหลายวันก็ยังไม่นิ่ง องค์กรกาชาดสากลคาดว่าอยู่ระหว่าง 60,000 – 120,000 คน และมีผู้ได้รับผลกระทบสูงถึง 1.6-2.5 ล้านคน โดยคนเหล่านี้จะต้องเผชิญกับภาวการณ์ขาดแคลนอาหาร น้ำดื่ม ที่อยู่อาศัย และตลอดจนปัญหาสุขภาพที่จะตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้  ท่ามกลางภาพสะเทือนใจเหล่านั้น นานาประเทศได้พยายามที่จะเข้าไปให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยมาตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งวันนี้ก็ยังมีบรรดาหน่วยบรรเทาทุกข์ทั้งหลาย…
สุทธิดา มะลิแก้ว
     1ผู้ที่ติดตามสถานการณ์ข่าว คงจะรับรู้กันแล้วถึงสถานการณ์ในพม่าที่บานปลายมากขึ้นเรื่อยๆ  รัฐบาล ทหารพม่าออกมาปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงซึ่งส่วนใหญ่เป็นพระสงฆ์ ที่ปกติแล้วเป็นที่เคารพยิ่งของ ประชาชนชาวพม่าซึ่งหมายรวมถึงบรรดาผู้คนในรัฐบาลด้วย  แต่การปราบปรามผู้ชุมนุมในครั้งนี้นั้นไม่ได้ทำให้ผู้คนหวาดกลัวไม่กล้าชุมนุมกันต่อ กลับยิ่งทำให้เหตุการณ์ในพม่าทวีความเลวร้าย และรุนแรงหนักขึ้นไปอีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มีประเด็นให้ขบคิดต่อได้หลายประการทีเดียว เริ่มตั้งแต่ว่าทำไมชาวพม่านับตั้งแต่ เดือนสิงหาคม ปี 1988 เป็นต้นมา หรือที่ เรียกกันว่า เหตุการณ์ 8888…