แถลงการณ์ฝ่ายการนักศึกษา มธ. ในยุคชาลี เป็นได้มากที่สุดเพียงขยะชิ้นหนึ่ง

หลังจากการออกแถลงการณ์ของฝ่ายการนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต่อกรณีนักศึกษาธรรมศาสตร์เคลื่อนไหวทางการเมืองภายนอกมหาวิทยาลัย อันสืบเนื่องมาจากการจัดกิจกรรมของกลุ่มประชาธิปไตยศึกษา ที่ได้ร่วมกันทำกิจกรรม ‘นั่งรถไฟ ไปอุทยานราชภักดิ์ ส่องแสงหากลโกง’(อ่านข่าวที่นี่) ใจความสำคัญของแถลงการณ์ฉบับนี้ มีแต่เพียงการบอกว่าตัวมหาวิทยาลัยไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวใดๆ ที่เกิดขึ้น ขณะเดียวก็สาดเสียงประณามใส่กลุ่มนักศึกษาอย่างแนบเนียน

หากพอจะมีช่องทางที่หลงเหลือให้ได้แสดงความคิดเห็นเพื่อสื่อไปถึงผู้ร่างแถลงการณ์ที่ว่านั่นอยู่บ้าง และส่งสารถึงคนที่ติดตามประเด็นดังกล่าว

แรกสุดถึงคนร่างแถลงการณ์ คุณไม่จำเป็นใดๆ เลยที่จะต้องออกมากล่าวต่อสังคมให้ชัดว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาที่ผ่านมา เป็นเพียงบางส่วนของธรรมศาสตร์ เชื่อว่าหลายคนที่ติดตามเรื่องการเมืองมาอย่างต่อเนื่องใน 10 กว่าปีมานี่ รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้วว่า นักศึกษาธรรมศาสตร์ที่ออกมาเคลื่อนไหวในประเด็นทางสังคม และการเมือง พวกเขาเคลื่อนไหวในนามของกลุ่มเขาเอง หาได้ใช้ชื่อมหาวิทยาลัยไปหากินในทางการเมือง อย่างที่คุณเคยทำเมื่อตอนชวนเด็กไปร่วมชุมนุมกับ กปปส. และตั้งชื่อซุ้มเสียใหญ่โตว่า ซุ้มธรรมศาสตร์

เป็นไปในทางเดียวกัน คนที่ติดตามการเมืองย่อมรู้ดีว่า กลุ่มผู้บริหารมหาวิทยาลัยในช่วงหลังๆ สีตกไปอยู่อีกฝั่งการเมืองมานานแล้ว พวกเขาไม่เคยแหนงหน่าย บ่ายเบี่ยงหากจะมีการอ้างชื่อมหาวิทยาลัย ไปเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับจริตของพวกเขา

หลายคนหมดหวังกับมหาวิทยาลัยที่ดีแต่หากินกับประวัติศาสตร์ที่ตัวเองไม่ได้ สร้าง หมดหวังกับมหาวิทยาลัยที่หยิบภาพจำในอดีตมาเป็นแบนด์ติดฉลากขาย หมดหวังกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่แยกไม่ออกระหว่างหลักการ กับอคติส่วนตัว

แถลงการณ์ฉบับนี้หากจะเป็นได้มากกว่าขยะ เห็นทีจะเป็นภาพแทนคนที่ควักลูกตาตัวเองทิ้ง มึดบอดอย่างจงใจ และอยู่ในที่มีความสุขกับการนั่งทำความสะอาดท็อปบูทเปื้อนโคลนของเผด็จการทหาร

เราเห็นอะไรหลายอย่างในแถลงการณ์ แต่ไม่เห็นถึงบทบาทหน้าที่ที่ควรจะเป็น อย่างน้อยที่สุดเราไม่เห็นข้อความใดๆ ที่แสดงถึงความห่วงใยต่อนักศึกษาซึ่งถูกข่มขู่คุกคามสารพัด แต่กลับเห็นการประณามซื่อๆ ว่า มึงกำลังให้มหาวิทยาลัยของพวกกูเสียชื่อเสียง

 

สมมติว่าสาระมีอยู่จริง: สุนัขที่แสนเชื่องของคณะเทวดาผู้ปวารณาตนมาโปรดสัตว์

ในโลกนี้คงไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล แม้แต่กับเหตุการณ์ที่ดูไร้เหตุผลที่สุดต่างก็มีเหตุผลอธิบายในตัวของมันเอง น้ำหนักของความมีเหตุมีผลอาจจะขึ้นอยู่กับว่า เราพอที่จะรับกับชุดคำอธิบายเหล่านั้นได้หรือไม่ ซึ่งแน่นอนกับเรื่องบ้างเรื่องเหตุผลก็มีไว้เพียงสร้างความชอบธรรมกับการกระทำบางอย่างที่ระยำตำบอนเท่านั้น

สมมติว่าสาระมีอยู่จริง: สังคมนี้ต่างหากที่ป่วย ไม่ใช่ผม

ผมกลับไปหาเขาอีกที หลังจากผลประชามติออกมา อาจจะไม่ใช่เพราะความซึมเศร้าอย่างที่ว่า แต่เป็นเพราะมันตรงกับวันนัด เราพูดคุยกัน เขาสังเกตุได้ว่าท่าทีผมเปลี่ยนไปจากเดิม เขาถาม ตอนนี้เรื่องที่อยู่ในหัวคุณคือเรื่องอะไร ยากที่จะปฎิเสธเรื่องเดียวที่วิ่งวนอยู่ในหัว 2-3 วันมานี้คือเรื่องการเมือง