ผมกลับไปหาเขาอีกที หลังจากผลประชามติออกมา อาจจะไม่ใช่เพราะความซึมเศร้าอย่างที่ว่า แต่เป็นเพราะมันตรงกับวันนัด เราพูดคุยกัน เขาสังเกตุได้ว่าท่าทีผมเปลี่ยนไปจากเดิม เขาถาม ตอนนี้เรื่องที่อยู่ในหัวคุณคือเรื่องอะไร ยากที่จะปฎิเสธเรื่องเดียวที่วิ่งวนอยู่ในหัว 2-3 วันมานี้คือเรื่องการเมือง
ผมถูกหมอวินิจฉัยว่าเป็น Depression มาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ยากที่จะหาสาเหตุที่แท้จริงเพราะชีวิตในช่วงนั้นทนแบกรับกับความผิดหวังหลายชั้นเหลือเกิน แต่ก็ยังพอจะมีสตินั่งนับอยู่บ้างว่ามันมีเรื่องราวอะไรนักหนาให้แบกรับ และทำให้คิดถึงมันอยู่ตลอดเวลา อะไรก็ตามที่ผมเอาชีวิตไปพิงไว้กับมัน...
อาการที่เกิดขึ้นคือ ความรู้สึกว่าตนเองไร้ค่าเกินกว่าจะทำอะไรได้ ยากที่จะบอกออกมาเป็นภาษาเขียน แต่ดูเหมือนโลกทั้งโลกเคลือบฉาบไปด้วยสีเทาของควันบุรี่ โลกที่เราอยู่กลายเป็นโลกใต้บาดาลที่แสงแดดไม่แรงพอที่จะสอดส่อง ไม่ก็เป็นอาการดำผุดดำว่ายคล้ายเด็กหัดว่ายน้ำที่กระโดดลงไปในสระลึกซึ่งเท้าไม่อาจหยั่งถึง
ต่อหน้าอาการเหล่านั้น เขาถามผมว่า คุณเคยอยากหายไปจากโลกนี้บ้างหรือเปล่า คำตอบคือ หากทุกอย่างกดปิดได้ง่ายๆ ราวกับการ Shut down โน๊ตบุ๊กซักเครื่องก็คงดี สิ้นสุดคำตอบ เขาส่งแบบสอบถามโง่ๆ ที่หาได้จากอินเตอร์เน็ตให้ผมทำ แน่นอนคำตอบทุกข้อให้ผลในเชิงลบ เขาวินิจฉัยผมว่าเป็นโรค Depression
ผมคิดว่าใช่ตามเขาบอก ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ผมคงไม่โยนเวลากินเหล้าทิ้งแล้วเดินทางมาหาเขา เขาให้ยามาหนึ่งชนิด เขาบอกหลังจากกินยาตัวนี้ไปทุกอย่างจะดีขึ้น และก็เป็นอย่างนั้นจริง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่ออกแบบมาให้ทำปฎิกิริยากับสารเคมีในสมอง หรือเป็นเพราะความเชื่อว่ากินแล้วจะดีขึ้น เราอาจกลืนกินความล่วงไปเคลือบฉาบความเศร้าไวอีกที
เสร็จสิ้นจากการพบกันครั้งแรก ผมกลับไปหาเขาอยู่อีก 3-4 ครั้ง เพื่อไปรับยาที่ว่า พูดคุยรายละเอียดความคืบหน้าของอาการพอประมาณ เขาบอกว่าผมดูดีขึ้นเยอะมาก ผมบอกเขาอาจะเป็นเพราะ ผมมีหลักพิงสำหรับชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาถามว่าสิ่งนั้นคืออะไร
“เพื่อน และ งาน” ผมตอบไปอย่างนั้น ก่อนจะเล่ารายละเอียดให้เขาฟังว่าผมรู้สึกมีความสุขมากน้อยขนาดไหน เมื่อโลกทั้งใบกลับมาเป็นโลกที่เราเคยอยู่อีกครั้ง
ผมกลับไปหาเขาอีกที หลังจากผลประชามติออกมา อาจจะไม่ใช่เพราะความซึมเศร้าอย่างที่ว่า แต่เป็นเพราะมันตรงกับวันนัด เราพูดคุยกัน เขาสังเกตุได้ว่าท่าทีผมเปลี่ยนไปจากเดิม เขาถาม ตอนนี้เรื่องที่อยู่ในหัวคุณคือเรื่องอะไร ยากที่จะปฎิเสธเรื่องเดียวที่วิ่งวนอยู่ในหัว 2-3 วันมานี้คือเรื่องการเมือง
ผมเริ่มเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง แต่แทนที่เขาจะวางบทบาทเป็นผู้รับฟังที่ดีอย่างที่เคยเป็นมา เขากลับสลับตำแหน่งยกเก้าอี้อันสูงส่ง สถาปนาตัวเองกลายเป็นศาสดาผู้มาโปรดสัตว์ เขากล่อมเกลาและบอกว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี ช่วงนี้ประเทศเราอยู่ในสภาวะไม่ปกติ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเรามีนักการเมืองชั่วมากเกินไป ผมอดทนฟังเขาสอนสั่งต่อไป เขาว่าอนาคตกำลังเดินเข้าสู่ทิศทางที่ดีขึ้น ประชามติครั้งนี้คือ เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน เป็นไปตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยทุกระเบียบนิ้ว คนที่ออกมาดิ้น เดือดร้อน หรือซึมเศร้า คือคนที่ไม่รักประชาธิปไตยจริง คสช. คือผู้หวังดีเข้ามาจัดระเบียบให้บ้านเมืองมีความสงบ ร่างรัฐธรรมนูญที่เขาเพิ่งไปโหวตรับ และคำถามพ่วง ที่เขาดูจะภูมิอกภูมิใจมาก คืออนาคตที่สดใส สำหรับการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ท่ามกลางคำพร่ำสอน ผมเฝ้าแต่คิดว่า “กูมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้” ผมคุยกับเขาเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ และบรรยากาศในการลงประชามติ เขาตีตราโดยทันนี้ว่า ผมเป็นพวกเสื้อแดง ผมไม่ปฎิเสธหากเขาจะมองอย่างนั้น แต่ถามหน่อยเถอะว่า เป็นเสื้อแดงแล้วมันเป็นยังไง ไม่ใช่คนเท่ากับเขาอย่างนั้นเหรอ เขาตอบกลับมาหลายประโยค แต่นั้นไม่น่าใช่คำพูดที่ออกจากปากของคนที่เรียกตัวเองว่า หมอ สักเท่าไหร่
เนินนานนักที่เขาเปลี่ยนกระบวนการทางการแพทย์เป็นการกล่อมเกลาทางการเมือง สิ่งหนึ่งที่เขาทำให้ผมเห็นอย่างชัดเจนคือ ผมไม่ได้ป่วยหรอก หากจะมีใครสักคนต้องรับยา หรือรับการเยียวยา เห็นจะมีเขาคนหนึ่งที่อย่างน้อยๆ ก็แยกไม่ออกว่ากระบวนการทางการแพทย์มีเส้นแบ่งที่จุดไหน
ผมเดินออกมา หลังจากพูดว่า “หมอครับผมคิดว่า ผมไม่ได้ป่วยอะไรอีกแล้ว สังคมนี่ต่างหากที่รอรับการเยียวยา” ผมเดินจากมาโดยทิ้งใบจ่ายยาไว้เบื้องหลัง
10 สิงหาคม 2559