Skip to main content

  

ข้าคือคนที่มีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ทั้งๆที่ตัวข้า
ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเลยสักนิด

ข้าคือคนที่มีหัวใจอ้างว้างว้าเหว่อยู่เสมอ
ทั้งๆที่ตัวข้า
ไม่อยากให้หัวใจของตัวเอง
อ้างว้างว้าเหว่แม้เพียงแค่อึดใจ

ข้าคือคนที่อกหักซ้ำๆซากๆ
ทั้งๆที่ตัวข้า
ไม่อยากจะอกหักเลยสักครั้ง
แต่ข้าก็ต้องอกหักซ้ำๆซากๆทุกครั้ง
เพราะถูกคนรักทุกคน...เขาทอดทิ้งไป
จนข้าหวาดกลัวความรัก
และไม่อยากจะรักใครในโลกนี้อีกต่อไป
เพราะข้ากลัวจะถูกทอดทิ้ง
เหมือนอย่างที่ข้าเคยถูกทอดทิ้ง...และอกหักมาอย่างซ้ำๆซากๆ
ทั้งๆที่ตัวข้า
เฝ้าแต่โหยหาความรักจากใครสักคนหนึ่ง
อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก



ใช่
ข้าคือคนที่คนทุกคนรู้จักแล้วไม่อยากจะเข้าใกล้
ใช่
ข้าคือคนที่คนทุกคนรู้จักแล้วต่างพากันตีตัวออกห่าง
ทั้งๆที่ตัวข้า
ปรารถนาอยากจะให้คนทุกคนที่รู้จักตัวข้า
เข้ามาแวดล้อมชีวิตอันโดดเดี่ยวและว้าเหว่ของข้า...อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
แต่ก็ไม่เคยมีใครสักคนในชีวิต
ที่เขาอยากอยู่ใกล้ชิด...สนิทสนมกับตัวข้า
แม้แต่คนรักข้าทุกคน
ต่างก็พากันทอดทิ้งข้าไปจนหมด

จริงหรือ
ที่มีเขาคนมาบอกข้าว่า
เหตุที่ชีวิตของข้าเป็นเช่นนี้
เป็นเพราะตัวข้า
เป็นคนที่มองเห็นแต่ความไม่ดีและข้อบกพร่องของมนุษย์
และชอบกล่าวคำตำหนิติเตียนคนอื่นเขา
ทำให้คนอื่นเขาต้องเจ็บปวด อับอายขายหน้า ด้อยค่า และตกต่ำ
แม้แต่คนรักของตัวเองก็ไม่ละเว้น - จนติดเป็นนิสัย
และติดเป็นนิสัยจนกลายเป็นลักษณะประจำตัวของข้า
และกลายเป็นลักษณะประจำตัว
ที่กลายเป็นชะตากรรมกำหนดชีวิตของข้า
ทำให้ตัวข้า
ต้องกลายเป็นคนที่ใครๆเขารู้จักแล้วไม่อยากจะเข้าใกล้
เหมือนอย่างที่ตัวข้าเป็นอยู่ในทุกวันนี้

จริงหรือ
ที่เขายังเตือนข้าอีกว่า
จงระวังการมองดูโลกของคุณ
เพราะโลกที่คุณมองเห็นจากสายตาของคุณ
จะกลายเป็นความคิดของคุณ
และจงระวังความคิดของคุณ
เพราะความคิดของคุณจะกลายเป็นคำพูดของคุณ
และจงระวังคำพูดของคุณ
เพราะคำพูดของคุณจะกลายเป็นการกระทำของคุณ
และจงระวังการกระทำของคุณ
เพราะการกระทำของคุณจะกลายเป็นนิสัยของคุณ
และจงระวังนิสัยของคุณ
เพราะนิสัยของคุณจะกลายเป็นลักษณะประจำตัวของคุณ
และลักษณะประจำตัวของคุณ
จะกลายเป็นชะตากรรมกำหนดชีวิตของคุณ - ในที่สุด
อย่างที่คุณกำลังเป็น

จริงหรือ
ที่เขายังพร่ำบอกข้าด้วยความหวังดีอีกว่า
ถ้าหากข้าไม่สร้างชะตากรรมขึ้นมา - กำหนดชีวิตของตัวเองใหม่
ด้วยการละทิ้งการมองดูมนุษย์ในแง่ร้าย
และนิสัยชอบตำหนิติเตียนคนอื่นเขา
ชีวิตเหี่ยวๆของข้า
จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวและว้าเหว่ - ไปจนตราบชั่วนิรันดร์
เหมือนต้นกระบองเพชรกลางทะเลทราย...ที่มีแต่หนามแหลมรอบตัว
ซึ่งอย่าว่าแม้แต่มนุษย์ด้วยกันเลย...
แม้แต่หมาขี้เรื้อนสักตัวหนึ่ง
ก็ไม่ปรารถนาจะกระดิกหางเข้าไปกรายใกล้ - เพื่อเสี่ยงต่อการถูกทำร้าย

จริงหรือ
ใครรู้ดี
ช่วยยืนยันคำตอบนี้ให้ข้าด้วยเถิด
ข้าไม่อยากถูกทอดทิ้ง...ให้อยู่เพียงลำพัง แต่เพียงผู้เดียวในโลก
ข้าปรารถนาเหลือเกิน...ที่จะรักและถูกรักจากใครสักคนหนึ่ง
โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อการอกหักซ้ำๆซากๆ
เพราะถูกคนรักทอดทิ้งอีกต่อไป...

โอ้เอย
ท่านผู้ใด
ที่ได้อ่านบทกวีจากคนอกหักซ้ำซากที่น่าเบื่อบทนี้
เป็นผู้รู้ดี...
ช่วยยืนยันคำตอบนี้ให้ข้าเชื่อมั่นด้วยเถิด
ก่อนที่ชีวิตเหี่ยวๆของข้า
จะไม่มีโอกาสพลิกฟื้นตื่นขึ้นมาเบิกบานสดใส
เพื่อเริงรำกับโลกและชีวิตที่ข้าต้องถูกลงทัณฑ์
ให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว...แต่เพียงผู้เดียวในโลก
เพราะชะตากรรมอันเลวร้ายที่ตัวข้าเป็นผู้สร้างขึ้นมา
กำหนดชีวิตของตัวเอง -  ให้เป็นเช่นนี้

ขอบคุณ
และ
ขอบคุณ
ผู้ที่มาบอกข้าให้สำนึกรู้ว่า
ชะตากรรมชีวิตของข้า - ก็คือนิสัยของข้านั่นเอง.

16 มิถุนายน 2552
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

 

 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
"นางแบบภาพประกอบ สุธาทิพย์ โมราลาย คอลัมนิสต์วรรณกรรมกุลสตรี ถ่ายโดยผู้เขียน" สมัยหนึ่ง ขงจื๊อกับศิษยานุศิษย์เดินทางไปรัฐชี้ เส้นทางผ่านป่าใหญ่เชิงภูเขาไท้ซัว ได้ยินเสียงร่ำไห้ของสตรีนางหนึ่งแว่วมาแต่ไกล ขงจื๊อหยุดม้า นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “เสียงร้องไห้ฟังโหยหวนน่าเวทนานัก หญิงผู้นั้นคงได้รับทุกข์แสนสาหัสเป็นแน่” จื๊อกุงศิษย์ผู้ใกล้ชิดรับอาสาไปถามเหตุ หญิงนั้นกล่าวแก่จื๊อกุงว่า “น้าชายของฉันถูกเสือขบตายไม่นานมานี้ ต่อมาสามีของฉันก็ถูกเสือกินอีก บัดนี้เจ้าวายร้ายก็คาบเอาลูกชายตัวเล็กๆของฉันไปอีก” จื๊อกุงถามว่า “ทำไมท่านไม่ย้ายไปอยู่เสียที่อื่นเล่า” เธอตอบสะอื้น “ฉันย้ายไม่ได้ดอก” “…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเกาะติดสถานการณ์ ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้มาแบบวันต่อวัน ตั้งแต่นปช.คนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนเข้ากรุงเทพมาเผชิญหน้ากับรัฐบาลเมื่อกลางเดือนมีนา และเป็นเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งในหน้าบล็อกกาซีนของเว็บประชาไท ที่คอยประสานเสียงกับผู้คนอีกมากมายหลายฝ่ายในสังคม ที่พยายามตะโกนบอกทั้งฝ่ายคนเสื้อแดงและรัฐบาลให้หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง ที่จะทำให้ผู้คนล้มลงตายและบาดเจ็บ เพราะเชื่อกันว่า ยังมีทางเลือกที่สามารถตกลงกันได้ โดยไม่ทำให้ผู้คนต้องเสียชีวิตและเลือดเนื้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน... จนกระทั่งเว็บถูกฝ่ายควบคุมสื่อมวลชนของรัฐเข้ามาบล็อกเว็บ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หลังจากการเจรจากัน เรื่องการยุบสภาระหว่างรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ กลุ่ม นปช. - คนเสื้อแดง ที่ขัดแย้งกันเพราะตกลงกันไม่ได้ในเรื่องเงื่อนไขของเวลา ที่ฝ่ายคนเสื้อแดงยืนยันว่าจะต้องยุบสภาภายในเวลา 15 วัน และฝ่ายรัฐบาลบอกว่ายุบสภาก็ได้แต่ต้องรออีก 9 เดือน ผ่านไปสองครั้ง และยังไม่สามารถตกลงกันได้
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเกาะติดสถานการณ์ การชุมนุมเรียกร้องของมวลชนคนเสื้อแดง ที่พยายามกดดันเรียกร้องให้รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 53 เรื่อยมาจนถึงวันนี้ (24 มีนา 53) ซึ่งทีแรก หลังจากที่รัฐบาลถูกราดเลือดตอบโต้คำปฏิเสธแล้ว ต่างฝ่ายต่างมีทีท่าว่า จะหันหน้ามาเจรจาตกลงกันด้วยสันติ แต่พอเอาเข้าจริงๆก็ล้มเหลว เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถจะยอมรับกันได้ ด้วยเหตุผลที่เป็นหลักใหญ่ที่ขัดแย้งอย่างสุดๆ  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ใช่หรือมิใช่ นอกจากอำนาจนิติรัฐ และอำนาจจากกองทัพทหารตำรวจ ที่คอยแวดล้อมปกป้องครองรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังมีอำนาจที่น่ากลัวอีกอำนาจหนึ่ง ที่สามารถกำหนดชัยชนะและความพ่ายแพ้ของมวลชนคนเสื้อแดง นั่นคือ อำนาจ ของสื่อมวลชนกระแสหลัก ที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เราไม่รู้ว่า รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คิดผิดหรือคิดถูก ที่ใช้อำนาจนิติรัฐสั่งยึดทรัพย์ ทักษิณ ชินวัตร แล้วยังหมายมาดจะใช้อำนาจนี้ ขย้ำขยี้ด้วยคดีอาญาอีกมายหลายคดี เพื่อทำลาย ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวแบบไม่ให้ได้ผุดได้เกิด ราวกับว่ารัฐบาลนี้จะยึดกุมอำนาจการบริหารประเทศแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง ไปจนตราบชั่วฟ้าดินสลาย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  อ่าน ดู และฟัง เรื่องราว ของ ทักษิณ ชินวัตร จากมุมมอง คนรัก ทักษิณ ชินวัตร สื่อสาร อ่าน ดู และฟังแล้ว ก็น่าเชื่อถือว่าเป็นความจริง ตามที่เขาว่า ทักษิณ ชินวัตร มิได้เป็นคนโกง แต่ถูกเขากลั่นแกล้งทำลาย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  26 ก.พ. 53 พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ ของ ทักษิณ ชินวัตร คน คน คน คน คนทั้งประเทศต่างเฝ้ารอดู ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ของ ทักษิณ ชินวัตร ภายใต้อำนาจศาลสถิตยุติธรรมของสังคมไทย ว่าเขาจะถูกศาลพิพากษาตัดสินอย่างไร ถูกยึดเอาทรัพย์ทั้งหมด ถูกยึดเอามากเหลือไว้แต่น้อย ถูกยึดเอาไปเพียงบางส่วน หรือไม่ถูกยึดเลยแม้แต่สลึงเดียว... คน คน คน คน คนทั้งประเทศต่างเฝ้ารอดู
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  “ความเจ็บปวดเป็นเรื่องเฉพาะตัว” ใครคนหนึ่งนิยามในเชิงสรุปเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ หลังจากนั่งพูดคุยกันมามากมายหลายเรื่อง แล้วมาลงเอยที่เรื่องราวความเจ็บปวดในชีวิต ที่เราซึ่งต่างโตเป็นผู้ใหญ่ ต่างก็ได้ประสบกันมาคนละมิใช่น้อย จากประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านมาในชีวิต เช่น ความรัก ความหวัง ความฝัน ความทะเยอทะยาน หน้าที่การงาน อุบัติเหตุ การถูกทำร้าย ความเจ็บไข้ได้ป่วย หนี้สิน หรือแม้กระทั่งเรื่องราวบางเรื่อง ที่ทำให้เราขัดแย้งกับตัวเอง ฯลฯ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมจำได้ว่า ผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับการ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ซึ่งเป็นเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ตามหลักของพุทธศาสนาในระดับศีลธรรม ด้วยความเชื่อว่ามันเป็นสัจธรรมของชีวิต แล้วมีผู้แย้งมาในทำนองที่ว่า ไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นกฎอันเฉียบขาดของโลกและชีวิตมนุษย์ เพราะบ่อยครั้งที่เขาทำดี...แล้วไม่เห็นได้ดี จนเขานึกท้อที่จะทำความดี
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  คุณค่าผลงานวรรณกรรม 'รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็นนักเขียนที่มีผลงานหลากหลายประเภท นับตั้งแต่ข้อเขียนบรรยายภาพ คอลัมน์ในนิตยสาร เรื่องสั้น นวนิยาย และงานเขียนปกิณกะอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีงานร้อยแก้วที่มีลักษณะลีลาของร้อยกรองปลอดฉันทลักษณ์ หรือร้อยกรองรูปแบบอิสระปรากฏอยู่ เป็นช่วงสั้นๆในนวนิยายบางเรื่องด้วย ผลงานหลากประเภทดังกล่าวมีจำนวนมากมาย เฉพาะงานเขียนที่รวมเล่มแล้วมีจำนวนประมาณ 100 เล่ม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสั้น บทความ และข้อเขียนจากคอลัมน์ต่างๆ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมนึกแปลกใจ ที่งานเขียนนวนิยายหลายเล่มของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นนักอ่าน นักเขียน นักวิเคราะห์วรรณกรรม หรือแม้กระทั่งคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่ประกาศยกย่องเชิดชูให้เขาเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณกรรม ปี 2538 ต่างมีความเห็นตรงกันว่า นวนิยายที่เป็นงานโดดเด่น หรือที่ภาษาทางศิลปะเรียกกันว่าเป็นงานมาสเตอร์พีซของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ คือ นวนิยายเรื่องสนิมสร้อย ใต้ถุนป่าคอนกรีท เสเพลบอยชาวไร่ ผู้มียี่เกในหัวใจ ฯลฯ โดยเฉพาะสนิมสร้อยนั้น ดูเหมือนจะถูกยกย่องไว้สูง จนไม่มีเรื่องใดมาเทียบได้ และหลงลืมหรืออาจจะจงใจหลงลืม นวนิยายเรื่องหนึ่งของเขาที่ชื่อว่า “คืนรัก”