Skip to main content


 

มาดามสนิทใจมีความสุขมาก เมื่อวันที่พ้องกลับจากทำงานพร้อมด้วยข่าวดี

คณะกรรมการบริษัทเห็นต้องกัน เลือกบทละครเรื่องยาวของผม” เขาบอกหล่อน “เห็นไหมหนิท นี่เช็คเงินสดห้าพันบาท ค่าล่วงหน้ายี่สิบห้าเปอร์เซ็น”
พ้องชูแผ่นกระดาษที่มีความหมายนั้นขึ้นให้หล่อนดู กวัดแกว่งมันอย่างร่าเริง และส่งให้เมีย

ดิฉันดีใจด้วยค่ะ เงินจำนวนนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับเรามากทีเดียว”
นั่นแล้วแต่หนิทจะจัดการอย่างไร”
\\/--break--\>
พ้องโอบกอดหล่อน มองหล่อนด้วยนัยน์ตาแสดงความรักเต็มเปี่ยม เขาวางใจในหล่อนทุกอย่าง และไม่มีความปรารถนาอื่นใด มากกว่าให้หล่อนได้มีความสุข แล้วพูดขึ้นอีก

ไม่เกินเดือนนี้ เราจะได้เงินส่วนที่เหลือทั้งหมด พรุ่งนี้ผมจะลงมือเขียนละครเรื่องใหม่...”

พ้องรู้สึกเหมือนผัวทุกคนที่การเงินฝืดเคือง
เขาทั้งเกรงใจและขอบใจที่หล่อนทนอยู่ในภาวะเหล่านั้นตลอดมาโดยไม่ปริปากบ่น ชื่อเสียงที่มีไม่มากนักกับอาชีพเขียนบทละครโทรทัศน์ไม่ทำเงินให้มากเท่าที่ควรจะได้ เวลาที่สิ้นเปลืองไปกับการคร่ำเคร่งอยู่กับโต๊ะเขียนหนังสือ ดูจะได้รับผลตอบแทนไม่คุ้มค่านัก แต่พ้องก็ตั้งใจว่าเขาจะหาความสำเร็จในอาชีพนี้ให้ได้ และมาดามสนิทใจสนับสนุนเสมอ หล่อนไม่ทะเยอทะยานที่จะมีเครื่องเพชร หรือความฟุ้งเฟ้ออื่น เกินกว่าที่เขาพึงจะให้ได้ เลยอดทนอยู่ด้วยกันอย่างสงบและสุขุม

สามสี่วันมาแล้ว

ที่บ้านกาแฟหมด เหลือชาจีนอยู่บ้างเล็กน้อย สำหรับเป็นอาหารมื้อเช้า แต่มาดามสนิทใจก็ไม่เฝ้าบ่นจนน่ารำคาญ หล่อนรอว่าแล้ววันหนึ่งจะมี
...

ตอนค่ำหลังจากกินข้าว
(ข้าวผัดกากหมูกับไข่เจียว)
หล่อนบอกว่า “พรุ่งนี้ดิฉันจะไปจ่ายตลาด ซื้อมาให้หมดทุกอย่าง กาแฟ ไส้กรอก แยม เนื้อดีๆ สักกิโลด้วย อยากจะแกงเขียวหวานเนื้อที่คุณชอบ
...”
เสียงเหล่านี้ไพเราะเหมือนเสียงดนตรี หล่อนพูดต่อไปอีกว่า จะซื้อเครื่องกินเครื่องใช้ต่างๆมาเก็บตุนไว้ให้พอใช้นานๆ เป็นความรอบคอบอย่างหนึ่งของหล่อนทุกครั้งที่พ้องได้เงินมา มาดามสนิทใจมีความสุข ถ้าหล่อนได้ชงกาแฟให้เขาในตอนเช้า ทำข้าวผัดแบบแปลกๆให้เขาในตอนกลางวัน พ้องชอบกินข้าวผัด และบางครั้งเขาออกแบบข้าวผัดได้ประหลาดน่ากิน และมื้อเย็นเขาชอบกับแกล้มเหล้าที่รสไม่เผ็ดจัดนักระหว่างดื่ม พลางพูดคุยถึงเค้าโครงละครที่จะเขียนขึ้นใหม่ให้หล่อนฟัง หรือถามความคิดเห็นบ้าง

 

อย่าลืมเหลือเป็นค่าซ่อมพิมพ์ดีดให้ผมด้วยล่ะ?” เขาบอกยิ้มๆ
นั่นเป็นสิ่งแรกที่ดิฉันจะทำ” หล่อนบอกเขา

 

พ้องหลับตา อยากจะขับไล่ภาพที่เดินกลับบ้านมือเปล่าทุกเย็นมาเกือบสองเดือน ดูมันแห้งแล้งและขาดชีวิต เงินไม่ใช่อุดมคติ แต่มันก็คือความจำเป็นที่ร้ายกาจชนิดหนึ่ง เขาบอกตัวเองและลืมตาขึ้น มองเห็นความแจ่มใสในบ้าน.


หมายเหตุ ; เนื่องในห้วงวาระแห่งงานมกรา อำลาอาลัย ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 9 - 30 มกราคม 2553 ดังรายละเอียดที่ผมเขียนเอาไว้ในพฤหัสบดีที่แล้ว

นอกเหนือจากงานที่จัดกันอย่างใหญ่โต

โดยส่วนตัวผม ผมขอใช้หน้าคอลัมน์นี้ในเดือนนี้ ทุกวันพฤหัสที่เหลืออยู่ในเดือนนี้เป็นพื้นที่รำลึกถึง ’รงค์ วงษ์สวรรค์ นักเขียนที่เป็นฮีโร่ของผมและใครต่อใครอีกมากมายหลายคน และหลายรุ่น อีกพื้นที่หนึ่ง เพื่อรำลึกถึง ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ที่จากเราไปเหมือน เชน คาวบอยตะวันตก เก็บปืนใส่ซอง สวมหมวกปีกกว้าง ขี่ม้าหายลับไปกับเส้นขอบฟ้าในยามค่ำ หลังจากปราบเสี้ยนหนามของแผ่นดินให้แก่ผู้คนที่รักความเป็นธรรมเรียบร้อยแล้ว โดยไม่นำพาต่อเสียงตะโกนเรียกที่ดังกึกก้องไปทั้งท้องทุ่งและหุบเขาของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ที่เฝ้ามองดูความสง่างามของเขา ความกล้าหาญของเขา และฝีมือการชกต่อยและยิงปืนอันยอดเยี่ยมของเขา ที่เป่าพวกเหล่าร้ายจนด่าวดิ้นสิ้นซาก เยี่ยงวีรบุรุษ ตั้งแต่วันแรกที่เชนขี่ม้าเข้ามาพักพิงอยู่ในครอบครัวของเขา และจากไป ด้วยรักและชื่นชมคาวบอยคนนี้อย่างท่วมท้นว่า

เชน คัมแบค”
แต่เชนก็หาได้ยอมหันหลังไม่ เพราะคนอย่างเชนรู้ดีว่า เมื่อสิ้นสุดภาระหน้าที่ของเขาแล้ว เขาจะต้องขี่ม้าจากไป เพื่อให้ภาพที่งดงามของเขาคงอยู่ในความทรงจำของเด็กน้อยคนหนึ่ง ที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งและดีงาม ตราบชั่วนิรันดร์

โดยนำงานเขียนและเรื่องราวของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ มาลง นอกเหนือจากข่าวงานรำลึกถึงเขาในพฤหัสแรกของเดือนที่ผ่านมา

และนี่เป็นเรื่องสั้นๆเรื่องหนึ่งของเขา ที่ผมเลือกมาจากรวมเล่มเล็กๆของเขาที่ชื่อว่า “หนามดอกไม้” ฉบับพิมพ์ครั้งที่
2 โดยสำนักพิมพ์สายคำ ธันวาคม 2530 เรื่องสั้นๆเรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ประทับใจผมมาก โดยเฉพาะตอนจบที่เขาสรุปให้เห็นความเป็นจริงของชีวิตที่ว่า “เงินมิใช่อุดมคติ แต่มันคือความจำเป็นอย่างร้ายกาจชนิดหนึ่ง”

ใช่
มันยังเป็นความจริงของชีวิตที่ทันสมัยและเจ็บปวดอยู่เสมอ วันหนึ่ง ถ้าเราตื่นขึ้นมาในยามเช้า แล้วพบตัวเองขาด เงิน เงิน เงิน สิ่งสมมุติ ซึ่งเดิมที
...มนุษย์สร้างคุณค่ามันขึ้นมา เพื่อเป็นตัวแทนคุณค่าที่แท้จริงในการแลกเปลี่ยนสินค้ากันเท่านั้น แต่ต่อมามันได้กลายค่ามามีอำนาจเหนือมนุษย์ ครอบงำมนุษย์ และเป็นนายของมนุษย์ยิ่งกว่าสิ่งใดๆในโลก

โดยเฉพาะกับคนอย่างเราๆท่านๆที่ต้องอยู่ในสังคมที่ต้องใช้เงินซื้อทุกอย่างที่เป็นความจำเป็น และไม่จำเป็นสำหรับชีวิต พวกเราล้วนแล้วแต่ต้องตกเป็นทาสของอำนาจเงิน
(และยอมรับมัน...จนเป็นปกติเรื่องธรรมดา) ด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะรักมันยิ่งกว่าชีวิต หรือว่าเกลียดมันยิ่งกว่าแมลงสาบ แต่เราก็ขาดมันเหมือนเราขาดลมหายใจไม่ได้ มิหนำซ้ำมันยังบีบบังคับให้เราต้องหามันมาใช้ให้จงได้ ถ้าหากเราขาดมัน

บัดซบ!
โลกที่โหดร้ายนี้
(
แน่นอน คือโลกที่เรายังเสือกมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่โลกหน้า ที่เราเบื่อจะเชื่อ...และฝันถึง)
ไม่มีอำนาจใดๆทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นในโลกนี้อีกแล้ว
ที่เลวร้ายที่สุดในโลก
(ในยามที่เราขาดมัน)
และดีงามสุดในโลก
(ในยามที่เรามีมัน)
มีอำนาจเหนือเราเท่ากับอำนาจของ เงิน เงิน เงิน
เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน เงิน
...

ใช่
ความจริงบัดซบนี้ของชีวิต
ไม่มีใครรู้ดีเท่ากับ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ “พ่อมดแห่งภาษากวีมาดวิไลจากบ้านสวนทูนอิน”
HA HA HA.

13 มกราคม 2533
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

ปล
. ท่านที่ต้องการหนังสือ สวนนักเขียน ’รงค์ วงษ์ สวรรค์ เขียนโดย แพร จารุ และ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว สั่งจองได้ที่นี่ หรือที่
chaiwongkal@mail.com ราคา 130 บาท ไม่คิดค่าส่ง
ขอบคุณครับ
.


 

 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
"นางแบบภาพประกอบ สุธาทิพย์ โมราลาย คอลัมนิสต์วรรณกรรมกุลสตรี ถ่ายโดยผู้เขียน" สมัยหนึ่ง ขงจื๊อกับศิษยานุศิษย์เดินทางไปรัฐชี้ เส้นทางผ่านป่าใหญ่เชิงภูเขาไท้ซัว ได้ยินเสียงร่ำไห้ของสตรีนางหนึ่งแว่วมาแต่ไกล ขงจื๊อหยุดม้า นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “เสียงร้องไห้ฟังโหยหวนน่าเวทนานัก หญิงผู้นั้นคงได้รับทุกข์แสนสาหัสเป็นแน่” จื๊อกุงศิษย์ผู้ใกล้ชิดรับอาสาไปถามเหตุ หญิงนั้นกล่าวแก่จื๊อกุงว่า “น้าชายของฉันถูกเสือขบตายไม่นานมานี้ ต่อมาสามีของฉันก็ถูกเสือกินอีก บัดนี้เจ้าวายร้ายก็คาบเอาลูกชายตัวเล็กๆของฉันไปอีก” จื๊อกุงถามว่า “ทำไมท่านไม่ย้ายไปอยู่เสียที่อื่นเล่า” เธอตอบสะอื้น “ฉันย้ายไม่ได้ดอก” “…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเกาะติดสถานการณ์ ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้มาแบบวันต่อวัน ตั้งแต่นปช.คนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนเข้ากรุงเทพมาเผชิญหน้ากับรัฐบาลเมื่อกลางเดือนมีนา และเป็นเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งในหน้าบล็อกกาซีนของเว็บประชาไท ที่คอยประสานเสียงกับผู้คนอีกมากมายหลายฝ่ายในสังคม ที่พยายามตะโกนบอกทั้งฝ่ายคนเสื้อแดงและรัฐบาลให้หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง ที่จะทำให้ผู้คนล้มลงตายและบาดเจ็บ เพราะเชื่อกันว่า ยังมีทางเลือกที่สามารถตกลงกันได้ โดยไม่ทำให้ผู้คนต้องเสียชีวิตและเลือดเนื้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน... จนกระทั่งเว็บถูกฝ่ายควบคุมสื่อมวลชนของรัฐเข้ามาบล็อกเว็บ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หลังจากการเจรจากัน เรื่องการยุบสภาระหว่างรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ กลุ่ม นปช. - คนเสื้อแดง ที่ขัดแย้งกันเพราะตกลงกันไม่ได้ในเรื่องเงื่อนไขของเวลา ที่ฝ่ายคนเสื้อแดงยืนยันว่าจะต้องยุบสภาภายในเวลา 15 วัน และฝ่ายรัฐบาลบอกว่ายุบสภาก็ได้แต่ต้องรออีก 9 เดือน ผ่านไปสองครั้ง และยังไม่สามารถตกลงกันได้
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเกาะติดสถานการณ์ การชุมนุมเรียกร้องของมวลชนคนเสื้อแดง ที่พยายามกดดันเรียกร้องให้รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 53 เรื่อยมาจนถึงวันนี้ (24 มีนา 53) ซึ่งทีแรก หลังจากที่รัฐบาลถูกราดเลือดตอบโต้คำปฏิเสธแล้ว ต่างฝ่ายต่างมีทีท่าว่า จะหันหน้ามาเจรจาตกลงกันด้วยสันติ แต่พอเอาเข้าจริงๆก็ล้มเหลว เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถจะยอมรับกันได้ ด้วยเหตุผลที่เป็นหลักใหญ่ที่ขัดแย้งอย่างสุดๆ  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ใช่หรือมิใช่ นอกจากอำนาจนิติรัฐ และอำนาจจากกองทัพทหารตำรวจ ที่คอยแวดล้อมปกป้องครองรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังมีอำนาจที่น่ากลัวอีกอำนาจหนึ่ง ที่สามารถกำหนดชัยชนะและความพ่ายแพ้ของมวลชนคนเสื้อแดง นั่นคือ อำนาจ ของสื่อมวลชนกระแสหลัก ที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เราไม่รู้ว่า รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คิดผิดหรือคิดถูก ที่ใช้อำนาจนิติรัฐสั่งยึดทรัพย์ ทักษิณ ชินวัตร แล้วยังหมายมาดจะใช้อำนาจนี้ ขย้ำขยี้ด้วยคดีอาญาอีกมายหลายคดี เพื่อทำลาย ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวแบบไม่ให้ได้ผุดได้เกิด ราวกับว่ารัฐบาลนี้จะยึดกุมอำนาจการบริหารประเทศแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง ไปจนตราบชั่วฟ้าดินสลาย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  อ่าน ดู และฟัง เรื่องราว ของ ทักษิณ ชินวัตร จากมุมมอง คนรัก ทักษิณ ชินวัตร สื่อสาร อ่าน ดู และฟังแล้ว ก็น่าเชื่อถือว่าเป็นความจริง ตามที่เขาว่า ทักษิณ ชินวัตร มิได้เป็นคนโกง แต่ถูกเขากลั่นแกล้งทำลาย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  26 ก.พ. 53 พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ ของ ทักษิณ ชินวัตร คน คน คน คน คนทั้งประเทศต่างเฝ้ารอดู ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ของ ทักษิณ ชินวัตร ภายใต้อำนาจศาลสถิตยุติธรรมของสังคมไทย ว่าเขาจะถูกศาลพิพากษาตัดสินอย่างไร ถูกยึดเอาทรัพย์ทั้งหมด ถูกยึดเอามากเหลือไว้แต่น้อย ถูกยึดเอาไปเพียงบางส่วน หรือไม่ถูกยึดเลยแม้แต่สลึงเดียว... คน คน คน คน คนทั้งประเทศต่างเฝ้ารอดู
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  “ความเจ็บปวดเป็นเรื่องเฉพาะตัว” ใครคนหนึ่งนิยามในเชิงสรุปเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ หลังจากนั่งพูดคุยกันมามากมายหลายเรื่อง แล้วมาลงเอยที่เรื่องราวความเจ็บปวดในชีวิต ที่เราซึ่งต่างโตเป็นผู้ใหญ่ ต่างก็ได้ประสบกันมาคนละมิใช่น้อย จากประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านมาในชีวิต เช่น ความรัก ความหวัง ความฝัน ความทะเยอทะยาน หน้าที่การงาน อุบัติเหตุ การถูกทำร้าย ความเจ็บไข้ได้ป่วย หนี้สิน หรือแม้กระทั่งเรื่องราวบางเรื่อง ที่ทำให้เราขัดแย้งกับตัวเอง ฯลฯ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมจำได้ว่า ผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับการ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ซึ่งเป็นเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ตามหลักของพุทธศาสนาในระดับศีลธรรม ด้วยความเชื่อว่ามันเป็นสัจธรรมของชีวิต แล้วมีผู้แย้งมาในทำนองที่ว่า ไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นกฎอันเฉียบขาดของโลกและชีวิตมนุษย์ เพราะบ่อยครั้งที่เขาทำดี...แล้วไม่เห็นได้ดี จนเขานึกท้อที่จะทำความดี
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  คุณค่าผลงานวรรณกรรม 'รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็นนักเขียนที่มีผลงานหลากหลายประเภท นับตั้งแต่ข้อเขียนบรรยายภาพ คอลัมน์ในนิตยสาร เรื่องสั้น นวนิยาย และงานเขียนปกิณกะอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีงานร้อยแก้วที่มีลักษณะลีลาของร้อยกรองปลอดฉันทลักษณ์ หรือร้อยกรองรูปแบบอิสระปรากฏอยู่ เป็นช่วงสั้นๆในนวนิยายบางเรื่องด้วย ผลงานหลากประเภทดังกล่าวมีจำนวนมากมาย เฉพาะงานเขียนที่รวมเล่มแล้วมีจำนวนประมาณ 100 เล่ม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสั้น บทความ และข้อเขียนจากคอลัมน์ต่างๆ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมนึกแปลกใจ ที่งานเขียนนวนิยายหลายเล่มของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นนักอ่าน นักเขียน นักวิเคราะห์วรรณกรรม หรือแม้กระทั่งคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่ประกาศยกย่องเชิดชูให้เขาเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณกรรม ปี 2538 ต่างมีความเห็นตรงกันว่า นวนิยายที่เป็นงานโดดเด่น หรือที่ภาษาทางศิลปะเรียกกันว่าเป็นงานมาสเตอร์พีซของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ คือ นวนิยายเรื่องสนิมสร้อย ใต้ถุนป่าคอนกรีท เสเพลบอยชาวไร่ ผู้มียี่เกในหัวใจ ฯลฯ โดยเฉพาะสนิมสร้อยนั้น ดูเหมือนจะถูกยกย่องไว้สูง จนไม่มีเรื่องใดมาเทียบได้ และหลงลืมหรืออาจจะจงใจหลงลืม นวนิยายเรื่องหนึ่งของเขาที่ชื่อว่า “คืนรัก”