Skip to main content


ผมเกาะติดสถานการณ์
การชุมนุมเรียกร้องของมวลชนคนเสื้อแดง ที่พยายามกดดันเรียกร้องให้รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 53 เรื่อยมาจนถึงวันนี้ (24 มีนา 53) ซึ่งทีแรก หลังจากที่รัฐบาลถูกราดเลือดตอบโต้คำปฏิเสธแล้ว ต่างฝ่ายต่างมีทีท่าว่า จะหันหน้ามาเจรจาตกลงกันด้วยสันติ แต่พอเอาเข้าจริงๆก็ล้มเหลว เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถจะยอมรับกันได้ ด้วยเหตุผลที่เป็นหลักใหญ่ที่ขัดแย้งอย่างสุดๆ


นั่นคือ
ทางฝ่าย เสื้อแดง พยายามเหลือเกินที่จะให้รัฐบาลนี้ ยุบสภา ให้จงได้ แม้ด้วยการเจรจากัน เพื่อผ่อนคลายวิกฤต ก็ต้องได้ด้วยเป้าหมายนี้เพียงประการเดียวเท่านั้น แถมยังตั้งเงื่อนไขเอาไว้ด้วยว่า จะยอมรับการเจรจานี้กับท่านนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพียงคนเดียวเท่านั้น คนอื่นไม่เอา ในขณะเดียวกันทางฝ่าย รัฐบาล ก็พยายามบ่ายเบี่ยงด้วยเหตุผลต่างๆนาๆที่จะไม่ยุบสภาอย่างแข็งขันเช่นกัน และทำท่าว่าจะยืดเยื้อทรมานทรกรรมกันไปอีกนาน... (รวมทั้งคนกรุงเทพฯที่ได้รับผลกระทบโดยตรงด้วย)

ผ่านมาจนถึงวันนี้
ก็เลยไม่รู้ว่าความขัดแย้งทางการเมือง ที่มีคนเสื้อแดงแห่แหนทยอยกันกันเข้าไปกดดันรัฐบาลด้วยจำนวนตัวเลขนับเป็นแสน และด้วยยุทธวิธีที่รัฐบาลจะดูแคลน (เหมือนตอนแรก) ไม่ได้อย่างเด็ดขาด หลังจากพวกเขาทำท่าว่าจะเพลี่ยงพล้ำ - จากการใช้เลือดตัวเองที่เจาะรวมกันไปเทที่ประตูอาคารรัฐสภาและบ้านท่านนายกรัฐมนตรี

แล้วถูกฝ่ายรัฐบาลดิสเครดิสในทางจริยธรรมอย่างได้ผล...

ซึ่งก็ควรเป็นเช่นนั้น เพราะแม้แต่คนที่ไม่เลือกข้าง หรือแม้แต่คนที่เอาใจช่วยคนเสื้อแดง เขาก็ไม่เห็นด้วย เพราะคำว่าเลือด เมื่อถูกนำมาวางไว้ในบริบทของการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ เทพกับเทพ หรือแม้กระทั่งระหว่างสัตว์กับสัตว์ คนทั่วไปย่อมเข้าใจว่า มันเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นสากลของความรุนแรง ความน่าสะพรึงกลัว และความตาย นั่นเอง...

มาถึงตรงนี้
ผมไม่ค่อยสนใจเสียแล้ว ว่าความขัดแย้งนี้จะผ่อนคลายลงหรือรุนแรงขึ้นอย่างไร แต่ผมกลับมาสนใจประเด็นที่ว่า

ยุบสภาแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้น
ทำไมคนเสื้อแดงจึงต้องการจะยุบสภาให้จงได้
และ
ทำไมรัฐบาลนี้จึงหวงแหนและหวาดกลัวเหลือเกินที่จะต้องยุบสภา
ทั้งๆที่ทันทีที่คุณ อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ ประกาศยุบสภา
มวลชนคนเสื้อแดงก็จะพากันสลายตัวถอยทัพกลับบ้าน
ในทันทีทันใด...

ผมพยายามหาคำตอบ
นอกเหนือจากที่ตัวเองคิดเอาไว้ และก็ได้รับคำตอบที่น่าพอใจระดับหนึ่ง จากบทความในเชิงเคราะห์วิจารณ์ของ "เห่าดง" ในกรอบคอลัมน์ "กล้าได้กล้าเสีย" หน้า 6 ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่ 23 มีนา 53 ที่ชื่อว่า "กติกาที่เป็นกลาง" ซึ่งนอกจากผู้เขียนจะให้คำตอบที่ผมสงสัย เขายังเสนอทางออกที่น่าสนใจเอาไว้ด้วย ผมจึงขอนำบทความนี้มาลงที่นี่ และขออนุญาต เห่าดง เจ้าของบทความด้วยคาราวะ ณ ที่นี้ ด้วยนะครับ เผื่อท่านที่ไม่รู้และอยากรู้เช่นผม ว่าการ "ยุบสภา" หรือ "ไม่ยุบสภา" มันสำคัญอะไรหนักหนา เขาถึงยอมกันไม่ได้ จะได้คลายความสงสัยกันลงบ้าง ดังนี้ :

กติกาที่เป็นกลาง
"เห่าดง"
เชื่อว่าตอนนี้
ทุกคนคงอยากรู้ว่า ถ้ารัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภาแล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป สำหรับผมแล้ว มีความเชื่อมาตลอดว่า เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นแต่ละยุคแต่ละสมัยนั้น แม้โดยหลักแล้วจะคล้ายๆกัน ไม่มีอะไรแตกต่าง แต่องค์ประกอบและรายละเอียดส่วนใหญ่จะไม่เหมือนกันโดยเด็ดขาด ยกตัวอย่างเช่น การยุบสภา ซึ่งโดยหลักแล้วเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า บนเส้นทางของการพัฒนาประชาธิปไตยเมืองไทย แต่องค์ประกอบและเนื้อหาในการยุบสภาแต่ละครั้ง กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

จำได้ว่า
สมัยที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯล้วประกาศยุบสภา สถานการณ์ตอนนั้นก็ต่างจากตอนนี้ลิบลับ เพราะการยุบสภาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป้าหมายก็เพื่อจะใช้การเลือกตั้งตัดสินปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง แต่ปรากฏว่าพรรคการเมืองบางพรรคในสภาฯ รวมถึงกลุ่มคนที่ชอบอวดอ้างประชาธิปไตยกลับไม่ยอมรับผลเลือกตั้ง เนื่องจากฝ่ายของตัวเองพ่ายแพ้ยับเยินนั่นเอง

หลังจากนั้น
ก็มีการยุบสภาตามวิถีทางประชาธิปไตย รวมถึงการโละสภาฯด้วยอำนาจปฏิวัติ แต่ปรากฏว่าผลเลือกตั้งก็ออกมาเหมือนเดิม พรรคการเมืองที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หนุนหลังมักได้รับชัยชนะมาตลอด แม้กระทั่งทุกวันนี้ หากมีการยุบสภา ผมก็เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยที่ พ.ต.ท.ทักษิณหนุนหลัง ก็จะชนะเลือกตั้งอยู่ดี

และสิ่งแรก
ที่พรรคเพื่อไทยจะทำ หลังจากได้รับอำนาจจากประชาชนก็คือ นำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศ ไม่ว่าจะต้องแก้กฎหมายกี่ฉบับ เพื่อนำไปสู่การนิรโทษกรรม ลบล้างคดีทุกคดี รวมไปถึงกรณียึดทรัพย์หลายหมื่นล้าน พรรคเพื่อไทยหรือรัฐบาลชุดใหม่ ก็จะทำโดยไม่ช้า

ถึงตอนนั้น ม็อบฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาลเพื่อไทย คงออกมาเต็มถนน
ถ้ารัฐบาลเพื่อไทย
สั่งให้ตำรวจปราบม็อบอย่างรุนแรงจนเกิดการนองเลือด ทหารก็จะปฏิวัติ เพื่อขับไล่รัฐบาลมือเปื้อนเลือด ขณะเดียวกันม็อบเสื้อแดงที่มีการจัดตั้งค่อนข้างแข็ง ก็จะออกมาสู้กับทหารอย่างรุนแรง ผมไม่รู้ว่าจะถึงขั้นนองเลือดหรือไม่ แต่เชื่อว่าคงต้องดุเดือดแน่นอน

นี่คือ

เหตุการณ์ตามความคาดการณ์ของผม ฉะนั้น คำถามก็คือ ก่อนที่เหตุการณ์เลวร้ายทั้งหมดจะเกิดขึ้น เราทุกคน ผมหมายถึงคนไทยทุกคนที่มีจิตใจรักบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง ควรระดมสมองกัน เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาตั้งแต่วันนี้ได้หรือยัง

คิดอ่านกันเสียตั้งแต่วันนี้เถิดครับ ก่อนทุกอย่างจะสายไป
ตามความเห็นของผม ก่อนที่จะยุบสภา ซึ่งรัฐบาลอภิสิทธิ์คงหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน ควรทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะเปิดเวทีหาเสียงให้มีการเลือกตั้งทั่วไป เช่น เงื่อนไขการออกกฎหมายเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมให้ยากขึ้น หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องให้เริ่มจากการทำประชามติและจบลงด้วยการทำประชามติ

สรุปก็คือ
ท่ามกลางวิกฤตการณ์การแตกแยกทางการเมืองในปัจจุบัน ต้องกำหนดกติกาให้เป็นกลางมากที่สุด โดยเฉพาะฝ่ายบริหารในปัจจุบัน ต้องไม่สามารถใช้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหมือนเมื่อก่อน เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองได้เปลี่ยนไปจากเดิม หากปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จะทำให้ความขัดแย้งลุกลามบานปลาย ขยายตัวไปสู่ความรุนแรง เนื่องจากอีกฝ่ายจะไม่พอใจ และจะทำทุกอย่างเพื่อหยุดยั้งฝ่ายตรงกันข้าม

ผมขอเตือนว่า
ฝ่ายการเมือง หรือฝ่ายรัฐสภาต้องรีบแก้กติกาให้เกิดความสมดุลโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นอำนาจนอกระบบจะยื่นมือเข้ามาทำแน่นอน เพื่อรักษาบ้านเมืองเอาไว้ไม่ให้พินาศฉิบหายไป เพราะความแตกแยกที่อาจนำไปสู่ภาวะนองเลือดในแผ่นดินไทย.

หมายเหตุ ; ท่านผู้ใดมีความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความนี้ เชิญแสดงความคิดเห็นกันมาเลยนะครับ เพื่อที่เราจะได้ข้อเท็จจริงที่แท้จริงชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งมุมมองที่เป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายร่วมกัน ขอได้รับความขอบคุณและความปลอดภัยด้วยกันทุกท่านนะครับ สวัสดี - ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

24 มีนาคม 2553
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
"นางแบบภาพประกอบ สุธาทิพย์ โมราลาย คอลัมนิสต์วรรณกรรมกุลสตรี ถ่ายโดยผู้เขียน" สมัยหนึ่ง ขงจื๊อกับศิษยานุศิษย์เดินทางไปรัฐชี้ เส้นทางผ่านป่าใหญ่เชิงภูเขาไท้ซัว ได้ยินเสียงร่ำไห้ของสตรีนางหนึ่งแว่วมาแต่ไกล ขงจื๊อหยุดม้า นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “เสียงร้องไห้ฟังโหยหวนน่าเวทนานัก หญิงผู้นั้นคงได้รับทุกข์แสนสาหัสเป็นแน่” จื๊อกุงศิษย์ผู้ใกล้ชิดรับอาสาไปถามเหตุ หญิงนั้นกล่าวแก่จื๊อกุงว่า “น้าชายของฉันถูกเสือขบตายไม่นานมานี้ ต่อมาสามีของฉันก็ถูกเสือกินอีก บัดนี้เจ้าวายร้ายก็คาบเอาลูกชายตัวเล็กๆของฉันไปอีก” จื๊อกุงถามว่า “ทำไมท่านไม่ย้ายไปอยู่เสียที่อื่นเล่า” เธอตอบสะอื้น “ฉันย้ายไม่ได้ดอก” “…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเกาะติดสถานการณ์ ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้มาแบบวันต่อวัน ตั้งแต่นปช.คนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนเข้ากรุงเทพมาเผชิญหน้ากับรัฐบาลเมื่อกลางเดือนมีนา และเป็นเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งในหน้าบล็อกกาซีนของเว็บประชาไท ที่คอยประสานเสียงกับผู้คนอีกมากมายหลายฝ่ายในสังคม ที่พยายามตะโกนบอกทั้งฝ่ายคนเสื้อแดงและรัฐบาลให้หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง ที่จะทำให้ผู้คนล้มลงตายและบาดเจ็บ เพราะเชื่อกันว่า ยังมีทางเลือกที่สามารถตกลงกันได้ โดยไม่ทำให้ผู้คนต้องเสียชีวิตและเลือดเนื้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน... จนกระทั่งเว็บถูกฝ่ายควบคุมสื่อมวลชนของรัฐเข้ามาบล็อกเว็บ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หลังจากการเจรจากัน เรื่องการยุบสภาระหว่างรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ กลุ่ม นปช. - คนเสื้อแดง ที่ขัดแย้งกันเพราะตกลงกันไม่ได้ในเรื่องเงื่อนไขของเวลา ที่ฝ่ายคนเสื้อแดงยืนยันว่าจะต้องยุบสภาภายในเวลา 15 วัน และฝ่ายรัฐบาลบอกว่ายุบสภาก็ได้แต่ต้องรออีก 9 เดือน ผ่านไปสองครั้ง และยังไม่สามารถตกลงกันได้
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเกาะติดสถานการณ์ การชุมนุมเรียกร้องของมวลชนคนเสื้อแดง ที่พยายามกดดันเรียกร้องให้รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 53 เรื่อยมาจนถึงวันนี้ (24 มีนา 53) ซึ่งทีแรก หลังจากที่รัฐบาลถูกราดเลือดตอบโต้คำปฏิเสธแล้ว ต่างฝ่ายต่างมีทีท่าว่า จะหันหน้ามาเจรจาตกลงกันด้วยสันติ แต่พอเอาเข้าจริงๆก็ล้มเหลว เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถจะยอมรับกันได้ ด้วยเหตุผลที่เป็นหลักใหญ่ที่ขัดแย้งอย่างสุดๆ  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ใช่หรือมิใช่ นอกจากอำนาจนิติรัฐ และอำนาจจากกองทัพทหารตำรวจ ที่คอยแวดล้อมปกป้องครองรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังมีอำนาจที่น่ากลัวอีกอำนาจหนึ่ง ที่สามารถกำหนดชัยชนะและความพ่ายแพ้ของมวลชนคนเสื้อแดง นั่นคือ อำนาจ ของสื่อมวลชนกระแสหลัก ที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เราไม่รู้ว่า รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คิดผิดหรือคิดถูก ที่ใช้อำนาจนิติรัฐสั่งยึดทรัพย์ ทักษิณ ชินวัตร แล้วยังหมายมาดจะใช้อำนาจนี้ ขย้ำขยี้ด้วยคดีอาญาอีกมายหลายคดี เพื่อทำลาย ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวแบบไม่ให้ได้ผุดได้เกิด ราวกับว่ารัฐบาลนี้จะยึดกุมอำนาจการบริหารประเทศแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง ไปจนตราบชั่วฟ้าดินสลาย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  อ่าน ดู และฟัง เรื่องราว ของ ทักษิณ ชินวัตร จากมุมมอง คนรัก ทักษิณ ชินวัตร สื่อสาร อ่าน ดู และฟังแล้ว ก็น่าเชื่อถือว่าเป็นความจริง ตามที่เขาว่า ทักษิณ ชินวัตร มิได้เป็นคนโกง แต่ถูกเขากลั่นแกล้งทำลาย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  26 ก.พ. 53 พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ ของ ทักษิณ ชินวัตร คน คน คน คน คนทั้งประเทศต่างเฝ้ารอดู ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ของ ทักษิณ ชินวัตร ภายใต้อำนาจศาลสถิตยุติธรรมของสังคมไทย ว่าเขาจะถูกศาลพิพากษาตัดสินอย่างไร ถูกยึดเอาทรัพย์ทั้งหมด ถูกยึดเอามากเหลือไว้แต่น้อย ถูกยึดเอาไปเพียงบางส่วน หรือไม่ถูกยึดเลยแม้แต่สลึงเดียว... คน คน คน คน คนทั้งประเทศต่างเฝ้ารอดู
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  “ความเจ็บปวดเป็นเรื่องเฉพาะตัว” ใครคนหนึ่งนิยามในเชิงสรุปเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ หลังจากนั่งพูดคุยกันมามากมายหลายเรื่อง แล้วมาลงเอยที่เรื่องราวความเจ็บปวดในชีวิต ที่เราซึ่งต่างโตเป็นผู้ใหญ่ ต่างก็ได้ประสบกันมาคนละมิใช่น้อย จากประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านมาในชีวิต เช่น ความรัก ความหวัง ความฝัน ความทะเยอทะยาน หน้าที่การงาน อุบัติเหตุ การถูกทำร้าย ความเจ็บไข้ได้ป่วย หนี้สิน หรือแม้กระทั่งเรื่องราวบางเรื่อง ที่ทำให้เราขัดแย้งกับตัวเอง ฯลฯ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมจำได้ว่า ผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับการ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ซึ่งเป็นเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ตามหลักของพุทธศาสนาในระดับศีลธรรม ด้วยความเชื่อว่ามันเป็นสัจธรรมของชีวิต แล้วมีผู้แย้งมาในทำนองที่ว่า ไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นกฎอันเฉียบขาดของโลกและชีวิตมนุษย์ เพราะบ่อยครั้งที่เขาทำดี...แล้วไม่เห็นได้ดี จนเขานึกท้อที่จะทำความดี
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  คุณค่าผลงานวรรณกรรม 'รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็นนักเขียนที่มีผลงานหลากหลายประเภท นับตั้งแต่ข้อเขียนบรรยายภาพ คอลัมน์ในนิตยสาร เรื่องสั้น นวนิยาย และงานเขียนปกิณกะอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีงานร้อยแก้วที่มีลักษณะลีลาของร้อยกรองปลอดฉันทลักษณ์ หรือร้อยกรองรูปแบบอิสระปรากฏอยู่ เป็นช่วงสั้นๆในนวนิยายบางเรื่องด้วย ผลงานหลากประเภทดังกล่าวมีจำนวนมากมาย เฉพาะงานเขียนที่รวมเล่มแล้วมีจำนวนประมาณ 100 เล่ม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสั้น บทความ และข้อเขียนจากคอลัมน์ต่างๆ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมนึกแปลกใจ ที่งานเขียนนวนิยายหลายเล่มของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นนักอ่าน นักเขียน นักวิเคราะห์วรรณกรรม หรือแม้กระทั่งคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่ประกาศยกย่องเชิดชูให้เขาเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณกรรม ปี 2538 ต่างมีความเห็นตรงกันว่า นวนิยายที่เป็นงานโดดเด่น หรือที่ภาษาทางศิลปะเรียกกันว่าเป็นงานมาสเตอร์พีซของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ คือ นวนิยายเรื่องสนิมสร้อย ใต้ถุนป่าคอนกรีท เสเพลบอยชาวไร่ ผู้มียี่เกในหัวใจ ฯลฯ โดยเฉพาะสนิมสร้อยนั้น ดูเหมือนจะถูกยกย่องไว้สูง จนไม่มีเรื่องใดมาเทียบได้ และหลงลืมหรืออาจจะจงใจหลงลืม นวนิยายเรื่องหนึ่งของเขาที่ชื่อว่า “คืนรัก”