Skip to main content

อย่างที่รู้ๆกัน
การต่อสู้กันทางการเมืองครั้งนี้ เป็นการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างชนชั้นนำในสังคมที่ขัดแย้งกัน หรือพูดง่ายๆก็คือระหว่างทุนเก่ากับทุนใหม่ ที่ช่วงชิงอำนาจกันเพื่อขึ้นเป็นรัฐบาล ที่ต่างฝ่ายต่างมีประชาชนเป็นฐานคะแนนเสียงสนับสนุนอุดมการณ์ของแต่ละฝ่าย ซึ่งต่างจากการต่อสู้กันในยุคเดือนตุลามหาวิปโยค ที่เป็นความขัดแย้งกันระหว่างรัฐบาลเผด็จการกับประชาชน นิสิตนักศึกษา ปัญญาชน โดยตรง

แต่ผมก็ยอมรับ
และเชื่อว่าใครต่อใครอีกเป็นจำนวนมาก ต่างก็จำเป็นต้องปรับตัวปรับใจยอมรับระบอบประชาธิปไตยแบบทุนนิยม ตามข้อเท็จจริงที่ว่า คนที่จะเข้ามาเล่นการเมืองในยุคนี้และยุคต่อๆไปอีกนานเท่าไหร่ก็ยากที่รู้ได้ มีแต่คนที่มีเงินถุงเงินถังเท่านั้น...ที่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปเล่นการเมือง ซึ่งย่อมหมายถึงนายทุนตั้งแต่ระดับท้องถิ่นขึ้นไปจนถึงนายทุนระดับชาติชาติเท่านั้น ที่จะมีโอกาสเข้าไปนั่งเป็นส.ส.ทำหน้าที่อยู่ในรัฐสภา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายๆ เมื่อคนของนายทุนหรือตัวนายทุนเองเข้าไปเป็นส.ส. เป็นนายกฯ เป็นรัฐมนตรี หรือเป็นพรรคฝ่ายค้าน เขาย่อมที่จะยังประโยชน์และปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นเขาเป็นตัวหลัก

ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา...ที่ต้องเป็นเช่นนั้น ตราบใดที่เรายังไม่มีคนที่เป็นตัวแทนของคนส่วนใหญ่ที่แท้จริงเข้าไปบริหารประเทศ หรือถ้ามีเล็ดลอดเข้าไปสักคนสองคน ก็จะถูกกลืนเปลี่ยนไปเป็นอื่นด้วยระบบทุนที่แข็งกว่า ดังที่คนเดือนตุลาหลายคนได้เปลี่ยนไปจากคนที่เคยต่อต้านทุนนิยมก็กลับกลายมารับใช้การเมืองให้แก่นายทุน ทั้งทุนเก่าอำมาตย์ศักดินาที่พวกเขาเคยโจมตีในยุคเดือนตุลา และทุนใหม่โลกาภิวัตน์ ของ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อเข้าไปสู่ระบอบดังกล่าว

ซึ่งคงเป็นเรื่องที่พวกเขาคงเข้าใจกันดีแล้วว่า มันเป็นขั้นตอนหนึ่งของวิวัฒนาการทางสังคมที่ยากแสนยากที่จะเปลี่ยนผ่านระบอบประชาธิปไตยเต็มใบ และต้องยอมรับความเป็นจริงของสังคมที่เป็นอยู่ ถ้ายังอยากอยู่ร่วมกับประวัติศาสตร์การเมืองในยุคปัจจุบัน เพราะระบบนายทุนนั้นเขาจะแข็งแกร่งมากในเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในเรื่องการเมือง ที่จะทำให้พรรคเข้มแข็ง มีเอกภาพ และนำมวลชนเข้ามาสนับสนุน ดังเช่น ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกทำลายไม่รู้กี่ครั้ง และถูกขับไปอยู่ถึงต่างประเทศ แต่ยังสามารถบัญชาการผ่านเทคโนโลยี่ล้ำยุคเข้ามานำพรรคเพื่อไทย เอาชนะพรรคประชาธิปัตย์อย่างถล่มทลายเมื่อปีที่แล้ว

เพราะถึงอย่างไร
เรามีรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยแบบทุนนิยม ก็ยังดีกว่ารัฐบาลแบบเผด็จการทุกรูปแบบ เพราะเขายังเปิดโอกาสให้คนเล็กคนน้อยมีปากมีเสียงเรียกร้องความเป็นธรรมต่างๆ และคัดค้านในสิ่งที่ไม่เห็นด้วย และสามารถวิพากษ์วิจารณ์หรือด่ารัฐบาลได้ เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ดังที่เราสามารถด่ารัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้สารพัดอย่าง แม้กระทั่งบางพวกบางเหล่าถึงกับด่าคุณยิ่งลักษณ์อย่างหยาบคายว่าเป็น อีกะหรี่ ก็ยังด่าได้ โดยไม่ต้องโทษประหารชีวิตเจ็ดร้อยชั่วโคตร ในขณะที่รัฐบาลเผด็จการ ใครปริปากอะไรออกมาสักหน่อย แล้วไม่เป็นที่พึงพอใจของเขา ก็จะมีกองทัพทหารปรากฏตัวออกมาพร้อมกับปืนที่ซื้อมาจากเงินภาษีของเรา...มาจ่อหัวเรา ตามคำสั่งของรัฐเผด็จการ ดังที่พวกเขาทำกันมาทุกยุคทุกสมัย และที่เพิ่งผ่านไปเป็นบทเรียนอันเจ็บปวดของสังคมอย่างสดๆร้อนๆ เมื่อกลางปี 2553 ก่อนจะได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ใช่หรือมิใช่

ผมจึงไม่มีปัญหา
ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคกระจอกงอกง่อยอะไรจะขึ้นมาเป็นรัฐบาล ถ้าพรรคนั้นมาตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย ผมพร้อมที่จะยอมรับนับถือ และช่วยปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในเรื่องที่ควรปกป้อง และวิพากษ์วิจารณ์ติชมในเรื่องที่ควรติชม เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยเอาไว้ มิให้การเมืองถอยหลังเข้าคลองกลับไปเป็นรัฐเผด็จการซ้ำซากจนเราจะอ้วกแตก ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ลงคะแนนเสียงเลือกเขา

เพราะผมมาคิดดูแล้ว ถ้าหากผมหรือใครๆไม่ยอมรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เนื่องจากว่าเป็นพรรคการเมืองที่เราไม่ชอบ แถมยังทำตัวเป็นคนขี้แพ้ชวนตี เวลาพรรคที่ตัวเองถือหางพ่ายแพ้ ผมก็ไม่ทราบว่าเราจะมีระบอบประชาธิปไตย ที่เป็นระบอบการปกครองที่เลวน้อยที่สุดในโลกนี้ เอาไว้หาพระแสงด้ามพร้าห่าเหวอันใด

จริงๆนะ ผมคิดเกี่ยวกับการเมืองได้ดีที่สุดเพียงแค่นี้เอง ถ้าหากท่านผู้ใดคิดได้ดีกว่านี้ และมองเห็นว่าที่ผมคิดยังตื้นเขินและโง่เขลาไม่เท่าทันสถานการณ์ ขอความกรุณาช่วยแสดงความรู้และความเห็นอันลึกซึ้งมาเป็นวิทยาทานแก่ผม และอีกหลายๆท่านที่คิดได้ประมาณเดียวกับผม เพื่อช่วยพัฒนาจิตสำนึกทางการเมืองให้แก่กันและกัน มิให้ดักดาน ห้วนกุด ซ้ำซาก อยู่กับความเชื่อและข้อมูลเก่าๆ ก็จะเป็นบุญกุศลอันใหญ่หลวง...แก่สัตว์โลกผู้ยากไร้ความรู้และสติปัญญาเป็นอย่างยิ่ง

และด้วยเหตุที่การเมืองครั้งนี้ เป็นเรื่องของชนชั้นนำในสังคม มิใช่การเมืองของประชาชนส่วนใหญ่โดยตรง แถมยังแตกแยกออกเป็นฝักเป็นฝ่าย ผมจึงไม่มีใจที่จะเลือกข้างเป็นคนเสื้อเหลืองหรือคนเสื้อแดง ประกอบกับผมมองเห็นว่า มีคนหลายคนที่เลือกข้างไม่ว่าจะเป็นคนเหลืองหรือคนเสื้อแดง ได้กลายเป็นคนที่มองคนอื่นที่เป็นสีตรงกันข้ามกับตนเอง เป็นพวกที่มีความเลวไปหมดทุกอย่าง ซึ่งเป็นวิธีการคิดที่ผิดธรรมชาติของมนุษย์และผมไม่อาจยอมรับได้ เพราะผมกลัวเหลือเกิน...ที่จะถูกองค์กรของเขาที่เต็มไปด้วยบุคคลากรที่เก่งกล้าสามารถ จะนำไปล้างสมองจนกลายเป็นมนุษย์หุ่นยนตร์ที่น่าสงสารและน่ากลัวแบบนี้

ผมจึงสมัครใจขอยืนดูห่างๆสนับสนุนในเรื่องที่ควรสนับสนุน คัดค้านในเรื่องที่ควรคัดค้าน นี่ผมไม่ได้หมายความว่า คนที่เขาเลือกข้างจะเป็นแบบนี้กันหมดนะครับ เพราะยังมีคนเลือกข้างอีกมากมายที่ยังรักษาความเป็นตัวของตัวเองเอาไว้ได้ และพูดกันรู้เรื่อง เพราะเขาไม่ยอมให้ใครมาล้างสมองจนถึงขนาดเห็นใครใส่เสื้อต่างสี หรือคิดต่างจากที่ตัวเองถูกใส่ข้อมูลมา เป็นต้องรีบตรงรี่เข้าไปขวิด ขวิด ขวิด เอาไว้ก่อน ราวกับโกรธแค้นกันมาสักห้าร้อยชาติก็ไม่ปาน

ดังนั้น
ทุกวันนี้ เวลามีคนมาถามว่า ผมเป็นคนเสื้อเหลืองหรือว่าเป็นคนเสื้อแดง ในระยะแรกๆผมเคยพยายามอธิบายให้คนที่ถามผมหลายๆคนให้เข้าใจจุดยืนของผม ดังที่ผมกล่าวมาในเบื้องต้น แต่ก็ไม่ค่อยมีใครเข้าใจ และงงๆกันว่า ผมเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร เพราะเดี๋ยวนี้ใครๆเขาก็เลือกข้างด้วยกันทั้งนั้น ไม่เหลืองก็ต้องแดงนั่นแหละครับ ช่วงหลังมานี่เวลาเจอแบบนี้ ผมก็เลยโยนคำถามกลับให้คนถามช่วยคิดแทนผมในทำนองที่ว่า ผมยังไม่รู้เลยว่า ผมควรจะเลือกข้างเป็นคนเสื้อเหลืองหรือเป็นคนเสื้อแดงดี เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็มีข้อดีและข้อเสียเหมือนกัน แล้วก็ปล่อยให้เขาพรรณนาถึงความดีของสีที่เขาเลือก และขุดคุ้ยสาวไส้ความไม่ดีสารพัดอย่างของสีที่อยู่ตรงกันข้ามกับเขา (จนผมฟังแล้วขนลุก) เพื่อโน้มน้าวผมเข้าไปเป็นแนวร่วม จนเขาเบื่อที่จะพูด และเลิกสนใจไปเอง

ครับ
ที่ผมเขียนมานี่ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ คือเมื่อเดือนสองเดือนก่อน มีพี่สาวคนสวยที่ผมรักและนับถือคนหนึ่ง ไม่ได้เจอกันมาเกือบยี่สิบกว่าปี ได้เบอร์จากน้องๆที่ทำงานเกี่ยวกับกิจกรรมทางสังคมและรู้จักผม ได้โทรมาหาผม หลังจากท้าวความหลังสมัยเป็นนักเรียนศิลปะอยู่ในสถาบันเดียวกันพอหอมปากหอมคอ พี่ก็ค่อยๆเลียบๆเคียงๆถามผม...แบบเช็คดูให้แน่ใจ ว่าผมเป็นคนเสื้อสีอะไรหรือเปล่า ผมก็ตอบแบบโยนคำถามไปให้ผู้ถามช่วยคิดดังกล่าว แต่พอพี่เริ่มพรรณนาถึงความเลวร้ายของคนเสื้อสี...ผมก็รู้เลยว่าพี่เป็นคนเลือกข้างแบบสุดขั้วหัวใจ และเลือกข้างเป็นคนเสื้อสีอะไร

โอ้ ตอนรับโทรศัพท์พี่ครั้งแรก ผมดีใจมากๆ ซึ้งใจมากๆ ที่พี่ยังจำผมได้แถมยังอุตส่าห์โทรมาหา รีบบอกแก่ตัวเองทันทีเลยว่า ถ้าหากมีโอกาสเข้าเมืองจะต้องแวะไปเยี่ยมพี่ที่บ้าน แต่พอพี่เริ่มเช็คเรื่องสีทางการเมืองเอากับผม ความตั้งใจที่จะไปเยี่ยมพี่ก็พลันดับวูบลง และรู้สึกอย่างชัดเจน...ว่าตัวเองกำลังอกหักแบบเฉียบพลันจนยับเยินไปหมด เมื่อพบว่ามิตรภาพอันบริสุทธิ์ระหว่างเราสมัยเป็นนักศึกษาอยู่สถาบันเดียวกัน ได้เปลี่ยนไปเสียแล้วในวันนี้ เพราะพี่ได้สร้างเงื่อนไขความสัมพันธ์แบบมิตรภาพอันงดงามในอดีต โดยถือเอาการเมืองเป็นตัวกำหนดวัดชี้กลั่นกรองการยอมรับหรือไม่ยอมรับความสัมพันธ์กันใหม่ ในขณะที่ผมยังคงเป็นคนเชยๆเหมือนเดิม

ฮือ ฮือ
พี่สาวครับ ลาก่อนครับ พี่ครับ.

10 มกราคม 2555
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
"นางแบบภาพประกอบ สุธาทิพย์ โมราลาย คอลัมนิสต์วรรณกรรมกุลสตรี ถ่ายโดยผู้เขียน" สมัยหนึ่ง ขงจื๊อกับศิษยานุศิษย์เดินทางไปรัฐชี้ เส้นทางผ่านป่าใหญ่เชิงภูเขาไท้ซัว ได้ยินเสียงร่ำไห้ของสตรีนางหนึ่งแว่วมาแต่ไกล ขงจื๊อหยุดม้า นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “เสียงร้องไห้ฟังโหยหวนน่าเวทนานัก หญิงผู้นั้นคงได้รับทุกข์แสนสาหัสเป็นแน่” จื๊อกุงศิษย์ผู้ใกล้ชิดรับอาสาไปถามเหตุ หญิงนั้นกล่าวแก่จื๊อกุงว่า “น้าชายของฉันถูกเสือขบตายไม่นานมานี้ ต่อมาสามีของฉันก็ถูกเสือกินอีก บัดนี้เจ้าวายร้ายก็คาบเอาลูกชายตัวเล็กๆของฉันไปอีก” จื๊อกุงถามว่า “ทำไมท่านไม่ย้ายไปอยู่เสียที่อื่นเล่า” เธอตอบสะอื้น “ฉันย้ายไม่ได้ดอก” “…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเกาะติดสถานการณ์ ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้มาแบบวันต่อวัน ตั้งแต่นปช.คนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนเข้ากรุงเทพมาเผชิญหน้ากับรัฐบาลเมื่อกลางเดือนมีนา และเป็นเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งในหน้าบล็อกกาซีนของเว็บประชาไท ที่คอยประสานเสียงกับผู้คนอีกมากมายหลายฝ่ายในสังคม ที่พยายามตะโกนบอกทั้งฝ่ายคนเสื้อแดงและรัฐบาลให้หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง ที่จะทำให้ผู้คนล้มลงตายและบาดเจ็บ เพราะเชื่อกันว่า ยังมีทางเลือกที่สามารถตกลงกันได้ โดยไม่ทำให้ผู้คนต้องเสียชีวิตและเลือดเนื้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน... จนกระทั่งเว็บถูกฝ่ายควบคุมสื่อมวลชนของรัฐเข้ามาบล็อกเว็บ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หลังจากการเจรจากัน เรื่องการยุบสภาระหว่างรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ กลุ่ม นปช. - คนเสื้อแดง ที่ขัดแย้งกันเพราะตกลงกันไม่ได้ในเรื่องเงื่อนไขของเวลา ที่ฝ่ายคนเสื้อแดงยืนยันว่าจะต้องยุบสภาภายในเวลา 15 วัน และฝ่ายรัฐบาลบอกว่ายุบสภาก็ได้แต่ต้องรออีก 9 เดือน ผ่านไปสองครั้ง และยังไม่สามารถตกลงกันได้
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเกาะติดสถานการณ์ การชุมนุมเรียกร้องของมวลชนคนเสื้อแดง ที่พยายามกดดันเรียกร้องให้รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 53 เรื่อยมาจนถึงวันนี้ (24 มีนา 53) ซึ่งทีแรก หลังจากที่รัฐบาลถูกราดเลือดตอบโต้คำปฏิเสธแล้ว ต่างฝ่ายต่างมีทีท่าว่า จะหันหน้ามาเจรจาตกลงกันด้วยสันติ แต่พอเอาเข้าจริงๆก็ล้มเหลว เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถจะยอมรับกันได้ ด้วยเหตุผลที่เป็นหลักใหญ่ที่ขัดแย้งอย่างสุดๆ  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ใช่หรือมิใช่ นอกจากอำนาจนิติรัฐ และอำนาจจากกองทัพทหารตำรวจ ที่คอยแวดล้อมปกป้องครองรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังมีอำนาจที่น่ากลัวอีกอำนาจหนึ่ง ที่สามารถกำหนดชัยชนะและความพ่ายแพ้ของมวลชนคนเสื้อแดง นั่นคือ อำนาจ ของสื่อมวลชนกระแสหลัก ที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เราไม่รู้ว่า รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คิดผิดหรือคิดถูก ที่ใช้อำนาจนิติรัฐสั่งยึดทรัพย์ ทักษิณ ชินวัตร แล้วยังหมายมาดจะใช้อำนาจนี้ ขย้ำขยี้ด้วยคดีอาญาอีกมายหลายคดี เพื่อทำลาย ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวแบบไม่ให้ได้ผุดได้เกิด ราวกับว่ารัฐบาลนี้จะยึดกุมอำนาจการบริหารประเทศแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง ไปจนตราบชั่วฟ้าดินสลาย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  อ่าน ดู และฟัง เรื่องราว ของ ทักษิณ ชินวัตร จากมุมมอง คนรัก ทักษิณ ชินวัตร สื่อสาร อ่าน ดู และฟังแล้ว ก็น่าเชื่อถือว่าเป็นความจริง ตามที่เขาว่า ทักษิณ ชินวัตร มิได้เป็นคนโกง แต่ถูกเขากลั่นแกล้งทำลาย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  26 ก.พ. 53 พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ ของ ทักษิณ ชินวัตร คน คน คน คน คนทั้งประเทศต่างเฝ้ารอดู ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ของ ทักษิณ ชินวัตร ภายใต้อำนาจศาลสถิตยุติธรรมของสังคมไทย ว่าเขาจะถูกศาลพิพากษาตัดสินอย่างไร ถูกยึดเอาทรัพย์ทั้งหมด ถูกยึดเอามากเหลือไว้แต่น้อย ถูกยึดเอาไปเพียงบางส่วน หรือไม่ถูกยึดเลยแม้แต่สลึงเดียว... คน คน คน คน คนทั้งประเทศต่างเฝ้ารอดู
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  “ความเจ็บปวดเป็นเรื่องเฉพาะตัว” ใครคนหนึ่งนิยามในเชิงสรุปเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ หลังจากนั่งพูดคุยกันมามากมายหลายเรื่อง แล้วมาลงเอยที่เรื่องราวความเจ็บปวดในชีวิต ที่เราซึ่งต่างโตเป็นผู้ใหญ่ ต่างก็ได้ประสบกันมาคนละมิใช่น้อย จากประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านมาในชีวิต เช่น ความรัก ความหวัง ความฝัน ความทะเยอทะยาน หน้าที่การงาน อุบัติเหตุ การถูกทำร้าย ความเจ็บไข้ได้ป่วย หนี้สิน หรือแม้กระทั่งเรื่องราวบางเรื่อง ที่ทำให้เราขัดแย้งกับตัวเอง ฯลฯ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมจำได้ว่า ผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับการ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ซึ่งเป็นเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ตามหลักของพุทธศาสนาในระดับศีลธรรม ด้วยความเชื่อว่ามันเป็นสัจธรรมของชีวิต แล้วมีผู้แย้งมาในทำนองที่ว่า ไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นกฎอันเฉียบขาดของโลกและชีวิตมนุษย์ เพราะบ่อยครั้งที่เขาทำดี...แล้วไม่เห็นได้ดี จนเขานึกท้อที่จะทำความดี
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  คุณค่าผลงานวรรณกรรม 'รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็นนักเขียนที่มีผลงานหลากหลายประเภท นับตั้งแต่ข้อเขียนบรรยายภาพ คอลัมน์ในนิตยสาร เรื่องสั้น นวนิยาย และงานเขียนปกิณกะอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีงานร้อยแก้วที่มีลักษณะลีลาของร้อยกรองปลอดฉันทลักษณ์ หรือร้อยกรองรูปแบบอิสระปรากฏอยู่ เป็นช่วงสั้นๆในนวนิยายบางเรื่องด้วย ผลงานหลากประเภทดังกล่าวมีจำนวนมากมาย เฉพาะงานเขียนที่รวมเล่มแล้วมีจำนวนประมาณ 100 เล่ม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสั้น บทความ และข้อเขียนจากคอลัมน์ต่างๆ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมนึกแปลกใจ ที่งานเขียนนวนิยายหลายเล่มของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นนักอ่าน นักเขียน นักวิเคราะห์วรรณกรรม หรือแม้กระทั่งคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่ประกาศยกย่องเชิดชูให้เขาเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณกรรม ปี 2538 ต่างมีความเห็นตรงกันว่า นวนิยายที่เป็นงานโดดเด่น หรือที่ภาษาทางศิลปะเรียกกันว่าเป็นงานมาสเตอร์พีซของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ คือ นวนิยายเรื่องสนิมสร้อย ใต้ถุนป่าคอนกรีท เสเพลบอยชาวไร่ ผู้มียี่เกในหัวใจ ฯลฯ โดยเฉพาะสนิมสร้อยนั้น ดูเหมือนจะถูกยกย่องไว้สูง จนไม่มีเรื่องใดมาเทียบได้ และหลงลืมหรืออาจจะจงใจหลงลืม นวนิยายเรื่องหนึ่งของเขาที่ชื่อว่า “คืนรัก”