Skip to main content
 

เมื่อคนเราเกิดมามีชีวิต
 
             นับตั้งแต่เป็นทารกลืมตาขึ้นมาดูโลก ต้องมีคนคอยประคบประหงมเลี้ยงดู...ราวกับไข่ในหิน จนเป็นเด็กโตที่พอช่วยตัวเองได้ กระทั่งผ่านการเลี้ยงดูและให้การศึกษาอีกนานนับสิบกว่าปี จนโตเป็นผู้ใหญ่ ที่สามารถเลี้ยงดูและพึ่งพาตัวเองได้ โดยมีพลังแห่งความกลัวตาย ซึ่งเป็นรากเหง้าของความกลัวสารพัดความกลัว คอยผลักดันให้คนเรากระทำสิ่งต่างๆ เพื่อรักษาชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัย จากโลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย และอันตรายรอบด้าน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น   
 
            เชื่อกันว่า พลังแห่งความกลัวตายนี้เป็นธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจน ต่างชาติ  ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม ความเชื่อ ขนบประเพณี ฯลฯ กันอย่างไร คนเราทุกคนล้วนแล้วแต่ “รักสุขเกลียดทุกข์ รักตัวกลัวตาย” เหมือนกันหมดทุกคน
 
        ด้วยเหตุนี้เอง นอกเหนือจากการดิ้นรนเพื่อให้ชีวิตทางกายที่เป็น เลือดเนื้อ ได้อยู่รอดปลอดภัยแล้ว คนเรายังต้องดิ้นรนแสวงหาสิ่งที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจาก ความกลัวตาย และความกลัวอีกสารพัดอย่างที่งอกงามมาจากความกลัวตาย ซึ่งเป็นเรื่องทาง จิตใจ อยู่ตลอดชีวิต ว่ากันว่า การแสวงหาของมนุษย์ในเรื่องนี้แหละ ที่เป็นบ่อเกิดของศาสนา ปรัชญา ความเชื่อ และศาสตร์ต่างๆอีกมากมายในโลก ที่เป็นแนวทางปฏิบัติให้แก่มนุษย์ได้หลุดพ้นจากความกลัวทั้งปวง
 
        ผมเป็นคนที่เติบโต มาจากสังคมพื้นบ้านล้านนา ที่มากมายด้วยผีสารพัดผี...ในโลกทางจิตวิญญาณแห่งล้านนา ซึ่งมีทั้งผีดีและผีร้าย มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และเราต่างก็นับถือผีที่ถือกันว่าเป็นผีดี ตามบรรพบุรุษของเรามาหลายชั่วอายุคน เช่น ผีเรือน  ผีเจ้าที่ ผีปู่ย่า ผีเสื้อบ้าน ผีเสื้อวัด ผีเจ้านาย ฯลฯ ที่เชื่อกันว่า จะดูแลปกป้องเราให้อยู่รอดปลอดภัยจากความกลัวสิ่งต่างๆในโลกที่ชีวิตต้องเผชิญ ควบคู่กับพุทธศาสนาพื้นบ้านที่มีแต่เรื่องพิธีกรรม และคำสวดมนต์ภาวนาที่ผมฟังไม่เข้าใจ มากกว่าหลักธรรมคำสอน แต่ก็รู้สึกอบอุ่นดี ที่ได้เชื่อตามผู้ใหญ่ในวัยเด็ก
 
        ซึ่งการนับถือผีนี้ค่อยๆลดละลงในคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของผม ในช่วงที่สังคมกำลังเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมกึ่งเลี้ยงดูตัวเองและเพื่อขาย มาเป็นสังคมอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อขายเพียงประการเดียว ซึ่งทำให้เงินตรามีความสำคัญมากกว่าความรักและความเชื่อดั้งเดิม นั่นคือ ยังคงนับถือเท่าที่จำเป็น เช่น ผีเจ้าที่ ที่เราสร้างหอไว้ในบ้านให้ท่านสิงสู่  ก็เพื่อให้ท่านช่วยดูแลปกป้องมิให้คนร้ายและผีร้ายๆเข้ามาในบ้านในยามค่ำคืน หรือ ผีปู่ย่า ที่ครอบครัวของเราต้องส่งตัวแทนไปเซ่นไหว้ที่หอผีของบรรพบุรุษร่วมกับญาติพี่น้องที่มาจากผี เดียวกันทุกปี ก็เพื่อจะได้รับการดูแลปกป้องเช่นกัน ฯลฯ
 
        ต่อมา เมื่อผมซึ่งเป็นคนที่พอจะมีการศึกษาอ่านออกเขียนได้ ได้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ ผมจึงค่อยๆหันเหความสนใจไปนับถือความเชื่อที่เป็นเหตุเป็นผล โดยเฉพาะคำสอนทางพุทธศาสนาจาก ท่านพุทธทาส และค่อยๆถอยห่างออกมาจากการนับถือผีและพุทธแบบพิธีกรรม เข้าไปหาคำสอนทางพุทธจากท่านที่ถือกันว่า เป็นพุทธที่บริสุทธิ์ เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ไม่มีลัทธิความเชื่อใดๆมาแปดเปื้อนเจือปน รวมทั้งคำสอนจากพระและฆราวาสที่ได้ชื่อว่า  ศึกษาดีแล้ว ปฏิบัติดีแล้ว ตามแนวทางนี้ อีกหลายท่าน
 
         แต่เนื่องจาก พุทธศาสนาที่ผุดผ่องนี้ ช่างเป็นศาสนาที่ว้าเหว่เหลือเกินครับท่านผู้ชม นั่นคือ เป็นศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีพระผู้ไถ่ ไม่มีผู้ใดทั้งสิ้นมาคอยให้ความช่วยเหลือ  มีแต่ ตนเป็นที่พึ่งของตน  ที่ต้องปฏิบัติตามหลักของศีลธรรมอันดีงามเท่านั้น จึงจักบรรลุผลต่างๆตามกฎแห่งกรรม  
 
             ผมซึ่งเป็นคนอ่อนแอในทางสังคม นั่นคือ ไม่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่น่ายำเกรง ไม่มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่มีเกียรติ ไม่มีองค์กรและสถาบันอ้างอิง ไม่มีพรรคพวกที่มีอำนาจวาสนา ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไทยเคารพนบนอบ จึงทำให้ผมเป็นคนอ่อนแอทางสังคม และขาดอำนาจต่อรองสิ่งต่างๆ จนไม่มีใครเขาอยากมาคบค้าสมาคมด้วย และยากแสนยาก...ที่จะปฏิบัติตัวให้อยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีงามได้
 
            บ่อยครั้ง ผมจึงต้องแอบไปพึ่งพาศาสนาที่เขามีพระเจ้า และพระผู้ไถ่ โดยจินตนาการถึงพระเจ้า และอ้อนวอนขอให้พระองค์ช่วยเหลือ เวลามีความทุกข์เหลือที่จะทน หรือไม่ก็จินตนาการถึงพระผู้ไถ่แล้วสารภาพบาป เวลาผมจำเป็นต้องลงมือทำความผิดบาป...เพื่อการอยู่รอดของชีวิต แล้วรู้สึกผิดและกลัวจนผวา...หลังจากลงมือทำความผิดบาปแล้ว เพื่อขอให้ท่านช่วยไถ่บาป ให้ผมได้มีทางออก (ทั้งๆที่ผมไม่ได้เข้ารีตตามขนบของเขาสักหน่อย ฮา)         
 
          เพราะ กฎแห่งกรรม ในพุทธศาสนาเป็นกฎที่เคร่งครัดตายตัว ไม่มีคำว่า  ยืดหยุ่น  ไม่มีคำว่า ให้อภัย และข้อยกเว้น ให้แก่ใครหน้าไหนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นราชาหรือกระยาจก ใครประกอบกรรมใด ไม่ว่า กรรมดี หรือ กรรมชั่ว ถ้ามีเหตุปัจจัยเพียงพอ เขาจะต้องได้รับผลจากกรรมนั้น ไม่ช้าก็เร็ว ผมจึงต้องแอบไปพึ่งพาศาสนาที่เขาเข้าใจ ความอ่อนแอ ความยากไร้ และความจำเป็นของมนุษย์ที่ต้องทำความผิดบาปอย่างผม ด้วยการยืดหยุ่นให้มีทางออกดังกล่าว และคงต้องแอบไปพึ่งพาศาสนาโรแมนติกนี้ อีกหลายครั้ง (ฮา)
 
           นอกจากนี้แล้ว ผมยังรับเอาคำสอนจากเซ็น เต๋า และกฤษณมูรติ (ที่ผมชอบเป็นพิเศษ) ที่มีคำสอนแนวเดียวกันกับทางพุทธจากท่านพุทธทาส ที่ผมถือเป็นหลัก เข้ามาร่วมอยู่ด้วย
 
           ทุกวันนี้ ถึงแม้ผมจะถอยห่างออกมาจากผีและพุทธแบบพิธีกรรม ซึ่งประการหลังนี่...นอกจากความจำเป็นที่ต้องเข้าร่วมพิธีกรรมตามจารีตประเพณี นานๆครั้งแล้ว ก็แทบไม่มีอะไรที่มีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจของผมอีก แต่ ผียังคงมีอิทธิพลครอบงำจิตใจของผมอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ผมจะออกมาอยู่ห่างไกลจากผีมานานแล้ว  แต่ความ กลัวผีก็ยังมีอยู่ในจิตใจของผมอย่างแนบแน่น...
 
          นั่นเป็นเพราะว่า ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก ผมถูกปลูกฝังความเชื่ออย่างซ้ำๆซากๆจากครอบครัวและสังคมว่า ผี เป็นสิ่งที่น่ากลัวพร้อมกับภาพพจน์ต่างๆที่น่ากลัวของผี แม้แต่ผีที่เป็น ผีผ่ายดี ที่เชื่อกันว่า จะช่วยดูแลปกป้องความกลัวจากภัยอันตรายต่างๆ ผมก็ถูกปลูกฝังให้กลัวและระมัดระวัง ไม่ให้ไปทำอะไรที่เป็นการ ผิดผี(ล่วงเกิน) เช่น ไปฉี่รดหอผี หรือพูดจาในเชิงก้าวร้าวลบหลู่ เพราะจะถูกท่านทำอันตรายให้เจ็บไข้ได้ป่วย หรือกระทำให้ฟั่นเฟือนเป็นบ้าเป็นหลัง
 
          เฮ้อ ช่างเป็นเรื่องเศร้าที่น่าเบื่อเสียจริงๆ ในขณะที่ผมถูกปลูกฝังให้นับถือ ผีดี ผีที่เขาว่าจะดูแลปกป้องผมจากความกลัวภัยอันตรายต่างๆ แต่ในขณะเดียวกันผมก็ถูกปลูกฝังให้กลัวอันตรายจาก ผีดี ที่ว่าจะดูแลปกป้องผมด้วย ผมจึงกลายเป็นคนที่ต้องกลัวผี ทั้งผีดีและผีร้ายมาตลอดชีวิต และเชื่อว่าความกลัวนี้ คงยากที่ถ่ายถอนได้  ไม่ว่าผีจะมีจริงหรือไม่มีเพราะมันฝังรากลึกอยู่ภายใต้จิตสำนึกจนสุดหยั่ง...เสียแล้ว เซ็งจริงๆ
           
           ก็พอสรุปได้ว่า หลังจากผมถอยห่างออกมาผีและพุทธแบบพิธีกรรม นอกจากศาสนาที่มีพระเจ้าและพระผู้ไถ่ ที่ผมมักจะแอบไปพึ่งพาในทางจินตนาการ ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว ผมพบว่าจิตใจของผม มักพร้อมที่จะเปิดกว้างยอมรับความเชื่ออื่นๆ ที่มีหลักคำสอนคล้ายคลึงหรือตรงกับหลักธรรมคำสอนทางพุทธจากท่านพุทธทาส ที่ผมถือเป็นหลัก มากกว่าอย่างอื่น
 
             เมื่อกลางปี 2552ผมบังเอิญได้ดูรายการสารคดีท่องโลกจากทีวีไทย TBS ที่บอกเล่าถึงวิถีชีวิตของผู้หญิงชนเผ่าหนึ่งบนเทือกเขาหิมาลัย โดยเขาถ่ายทำให้เห็นภาพกิจวัตรต่างๆในชีวิตประจำวันของผู้หญิงค่อนข้างสูงอายุคนหนึ่งในแต่ละวัน จนกระทั่งถึงวันที่เธอจากโลกนี้ไป...
 
       แม้จะได้ดูตอนปลายๆ แต่ก็พอจับความได้ว่า เขาต้องการเสนอปรัชญาชีวิตของชนเผ่านี้ โดยผ่านผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อยามมีชีวิตอยู่ ก็ไม่เป็นทุกข์เพราะความยากลำบากในการมีชีวิตจนเกินเหตุ ครั้นเมื่อถึงวาระสุดท้าย...ก็มิได้ทุรนทุรายอาลัยอาวรณ์สิ่งใดในโลกนี้ให้ขุ่นข้องหมองใจ เพราะชนเผ่าของนางมีปรัชญาความเชื่อ ที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษมานานแล้วว่า
 
                            เราเกิดมาเพื่อตาย
                            เราพบผู้คนต่างๆเพื่อลาจาก
                            เราสะสมสิ่งของต่างๆ
                            เพื่อที่จะสูญเสียมันไปในวันหนึ่ง
 
           โอผมฟังแล้วถึงกับขนลุก เพราะมันแทงทะลุเข้าไปถึงใจ และยังอยู่ในใจผมมาจนทุกวันนี้ เนื่องจากถ้อยคำเพียงไม่กี่คำนี้ เนื้อหามันตรงกับหลักปฏิบัติธรรมคำสอนขั้นสูงสุดในพุทธศาสนา ที่ท่านพุทธทาสพร่ำบอกแก่เราอย่างซ้ำๆซากๆ มาตลอดอายุขัยของท่าน แต่มันมาติดอยู่แค่สมอง...ไม่เคยทะลุไปถึงใจว่า “สรรพสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” เพราะต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงที่เราหวาดกลัว คือ “การยึดมั่นถือมั่น”สารพัดอย่างในชีวิตเรา นั่นเอง
 
        จริงๆน ะ หากเรายอมรับความจริงของชีวิต “ที่ต้องเป็นเช่นนี้” ได้ ดังที่พวกเขายอมรับมันอย่างองอาจ ตรงไปตรงมา ชีวิตเราคงจะง่ายขึ้นและเป็นทุกข์กันน้อยลง ใช่หรือมิใช่
                         
                            เราเกิดมาเพื่อตาย
                            เราพบผู้คนต่างๆเพื่อลาจาก
                            เราสะสมสิ่งของต่างๆ
                            เพื่อที่จะสูญเสียมันไปในวันหนึ่ง
                       
         แค่นี้เองแหละว่ะชีวิตจะไปworry อะไรกับมันนักหนา.
 
                                                                
18 กรกฎาคม 2554  - 11 มิถุนายน 2555
                                          
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
"นางแบบภาพประกอบ สุธาทิพย์ โมราลาย คอลัมนิสต์วรรณกรรมกุลสตรี ถ่ายโดยผู้เขียน" สมัยหนึ่ง ขงจื๊อกับศิษยานุศิษย์เดินทางไปรัฐชี้ เส้นทางผ่านป่าใหญ่เชิงภูเขาไท้ซัว ได้ยินเสียงร่ำไห้ของสตรีนางหนึ่งแว่วมาแต่ไกล ขงจื๊อหยุดม้า นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “เสียงร้องไห้ฟังโหยหวนน่าเวทนานัก หญิงผู้นั้นคงได้รับทุกข์แสนสาหัสเป็นแน่” จื๊อกุงศิษย์ผู้ใกล้ชิดรับอาสาไปถามเหตุ หญิงนั้นกล่าวแก่จื๊อกุงว่า “น้าชายของฉันถูกเสือขบตายไม่นานมานี้ ต่อมาสามีของฉันก็ถูกเสือกินอีก บัดนี้เจ้าวายร้ายก็คาบเอาลูกชายตัวเล็กๆของฉันไปอีก” จื๊อกุงถามว่า “ทำไมท่านไม่ย้ายไปอยู่เสียที่อื่นเล่า” เธอตอบสะอื้น “ฉันย้ายไม่ได้ดอก” “…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเกาะติดสถานการณ์ ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้มาแบบวันต่อวัน ตั้งแต่นปช.คนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนเข้ากรุงเทพมาเผชิญหน้ากับรัฐบาลเมื่อกลางเดือนมีนา และเป็นเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งในหน้าบล็อกกาซีนของเว็บประชาไท ที่คอยประสานเสียงกับผู้คนอีกมากมายหลายฝ่ายในสังคม ที่พยายามตะโกนบอกทั้งฝ่ายคนเสื้อแดงและรัฐบาลให้หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง ที่จะทำให้ผู้คนล้มลงตายและบาดเจ็บ เพราะเชื่อกันว่า ยังมีทางเลือกที่สามารถตกลงกันได้ โดยไม่ทำให้ผู้คนต้องเสียชีวิตและเลือดเนื้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน... จนกระทั่งเว็บถูกฝ่ายควบคุมสื่อมวลชนของรัฐเข้ามาบล็อกเว็บ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หลังจากการเจรจากัน เรื่องการยุบสภาระหว่างรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ กลุ่ม นปช. - คนเสื้อแดง ที่ขัดแย้งกันเพราะตกลงกันไม่ได้ในเรื่องเงื่อนไขของเวลา ที่ฝ่ายคนเสื้อแดงยืนยันว่าจะต้องยุบสภาภายในเวลา 15 วัน และฝ่ายรัฐบาลบอกว่ายุบสภาก็ได้แต่ต้องรออีก 9 เดือน ผ่านไปสองครั้ง และยังไม่สามารถตกลงกันได้
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเกาะติดสถานการณ์ การชุมนุมเรียกร้องของมวลชนคนเสื้อแดง ที่พยายามกดดันเรียกร้องให้รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 53 เรื่อยมาจนถึงวันนี้ (24 มีนา 53) ซึ่งทีแรก หลังจากที่รัฐบาลถูกราดเลือดตอบโต้คำปฏิเสธแล้ว ต่างฝ่ายต่างมีทีท่าว่า จะหันหน้ามาเจรจาตกลงกันด้วยสันติ แต่พอเอาเข้าจริงๆก็ล้มเหลว เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถจะยอมรับกันได้ ด้วยเหตุผลที่เป็นหลักใหญ่ที่ขัดแย้งอย่างสุดๆ  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ใช่หรือมิใช่ นอกจากอำนาจนิติรัฐ และอำนาจจากกองทัพทหารตำรวจ ที่คอยแวดล้อมปกป้องครองรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังมีอำนาจที่น่ากลัวอีกอำนาจหนึ่ง ที่สามารถกำหนดชัยชนะและความพ่ายแพ้ของมวลชนคนเสื้อแดง นั่นคือ อำนาจ ของสื่อมวลชนกระแสหลัก ที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เราไม่รู้ว่า รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คิดผิดหรือคิดถูก ที่ใช้อำนาจนิติรัฐสั่งยึดทรัพย์ ทักษิณ ชินวัตร แล้วยังหมายมาดจะใช้อำนาจนี้ ขย้ำขยี้ด้วยคดีอาญาอีกมายหลายคดี เพื่อทำลาย ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวแบบไม่ให้ได้ผุดได้เกิด ราวกับว่ารัฐบาลนี้จะยึดกุมอำนาจการบริหารประเทศแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง ไปจนตราบชั่วฟ้าดินสลาย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  อ่าน ดู และฟัง เรื่องราว ของ ทักษิณ ชินวัตร จากมุมมอง คนรัก ทักษิณ ชินวัตร สื่อสาร อ่าน ดู และฟังแล้ว ก็น่าเชื่อถือว่าเป็นความจริง ตามที่เขาว่า ทักษิณ ชินวัตร มิได้เป็นคนโกง แต่ถูกเขากลั่นแกล้งทำลาย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  26 ก.พ. 53 พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ ของ ทักษิณ ชินวัตร คน คน คน คน คนทั้งประเทศต่างเฝ้ารอดู ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ของ ทักษิณ ชินวัตร ภายใต้อำนาจศาลสถิตยุติธรรมของสังคมไทย ว่าเขาจะถูกศาลพิพากษาตัดสินอย่างไร ถูกยึดเอาทรัพย์ทั้งหมด ถูกยึดเอามากเหลือไว้แต่น้อย ถูกยึดเอาไปเพียงบางส่วน หรือไม่ถูกยึดเลยแม้แต่สลึงเดียว... คน คน คน คน คนทั้งประเทศต่างเฝ้ารอดู
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  “ความเจ็บปวดเป็นเรื่องเฉพาะตัว” ใครคนหนึ่งนิยามในเชิงสรุปเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ หลังจากนั่งพูดคุยกันมามากมายหลายเรื่อง แล้วมาลงเอยที่เรื่องราวความเจ็บปวดในชีวิต ที่เราซึ่งต่างโตเป็นผู้ใหญ่ ต่างก็ได้ประสบกันมาคนละมิใช่น้อย จากประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านมาในชีวิต เช่น ความรัก ความหวัง ความฝัน ความทะเยอทะยาน หน้าที่การงาน อุบัติเหตุ การถูกทำร้าย ความเจ็บไข้ได้ป่วย หนี้สิน หรือแม้กระทั่งเรื่องราวบางเรื่อง ที่ทำให้เราขัดแย้งกับตัวเอง ฯลฯ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมจำได้ว่า ผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับการ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ซึ่งเป็นเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ตามหลักของพุทธศาสนาในระดับศีลธรรม ด้วยความเชื่อว่ามันเป็นสัจธรรมของชีวิต แล้วมีผู้แย้งมาในทำนองที่ว่า ไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นกฎอันเฉียบขาดของโลกและชีวิตมนุษย์ เพราะบ่อยครั้งที่เขาทำดี...แล้วไม่เห็นได้ดี จนเขานึกท้อที่จะทำความดี
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  คุณค่าผลงานวรรณกรรม 'รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็นนักเขียนที่มีผลงานหลากหลายประเภท นับตั้งแต่ข้อเขียนบรรยายภาพ คอลัมน์ในนิตยสาร เรื่องสั้น นวนิยาย และงานเขียนปกิณกะอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีงานร้อยแก้วที่มีลักษณะลีลาของร้อยกรองปลอดฉันทลักษณ์ หรือร้อยกรองรูปแบบอิสระปรากฏอยู่ เป็นช่วงสั้นๆในนวนิยายบางเรื่องด้วย ผลงานหลากประเภทดังกล่าวมีจำนวนมากมาย เฉพาะงานเขียนที่รวมเล่มแล้วมีจำนวนประมาณ 100 เล่ม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสั้น บทความ และข้อเขียนจากคอลัมน์ต่างๆ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมนึกแปลกใจ ที่งานเขียนนวนิยายหลายเล่มของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นนักอ่าน นักเขียน นักวิเคราะห์วรรณกรรม หรือแม้กระทั่งคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่ประกาศยกย่องเชิดชูให้เขาเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณกรรม ปี 2538 ต่างมีความเห็นตรงกันว่า นวนิยายที่เป็นงานโดดเด่น หรือที่ภาษาทางศิลปะเรียกกันว่าเป็นงานมาสเตอร์พีซของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ คือ นวนิยายเรื่องสนิมสร้อย ใต้ถุนป่าคอนกรีท เสเพลบอยชาวไร่ ผู้มียี่เกในหัวใจ ฯลฯ โดยเฉพาะสนิมสร้อยนั้น ดูเหมือนจะถูกยกย่องไว้สูง จนไม่มีเรื่องใดมาเทียบได้ และหลงลืมหรืออาจจะจงใจหลงลืม นวนิยายเรื่องหนึ่งของเขาที่ชื่อว่า “คืนรัก”