Skip to main content

เรื่องมันเริ่มจากคำบอกเล่าของทิดช่วง ในงานศพงานหนึ่ง

แกเล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่า


กลางดึกคืนก่อน แกลุกจากที่นอนมายืนฉี่ที่ริมรั้ว อากาศเย็น น้ำค้างกำลังลง ขณะที่แกกำลังระบายน้ำทิ้งอย่างสบายอารมณ์ สายตาของแกก็เหลือบไปเห็น ดวงไฟดวงใหญ่ ลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในความมืดที่ปลายรั้วอีกด้านหนึ่ง ห่างจากตัวแกไปสักสี่ห้าสิบเมตร


พอแกเสร็จภารกิจ ชะรอยจะคิดว่าเป็นตัวอะไรสักอย่างมาหากิน แกเลยออกปากไล่ว่า “ชิ้วๆ”

เท่านั้นเอง ดวงไฟนั้นก็พุ่งตรงเข้ามาหาแก ทำเอาแกสะดุ้งโหยงจนต้องเผ่นเข้าไปใต้ถุนบ้าน

แกกดสวิทช์เปิดไฟใต้ถุน สว่างพรึบ

มองซ้าย...มองขวา...มองหน้า...มองหลัง

มันคืออะไรกันวะ...? หรือว่า...กูตาฝาดไปเอง...?

มองไปรอบบ้าน เมื่อไม่เห็นดวงไฟที่ว่านั้นแล้ว แกก็ปิดไฟ กะว่าจะรีบขึ้นบ้าน

แต่พอไฟดับเท่านั้นเอง ขนหัวแกก็ลุกซู่ ดวงไฟดวงนั้นมันมาอยู่ตรงเสาเรือนข้างตัวแก

ทิดช่วงเผ่นขึ้นเรือนด้วยความเร็วระดับสถิติโลก

...


ทั้งหมดนี้คือที่แกเล่าให้แก่เพื่อนบ้านไม่กี่คนได้ฟัง ไม่ถึงสัปดาห์ เรื่องนี้ก็เป็นที่รู้กันไปทั่วหมู่บ้านแถมยังลามไปถึงหมู่บ้านข้างเคียง แล้วก็ชักนำเรื่องในทำนองเดียวกันออกมาอีกหลายเรื่อง


ลุงราน กับป้าเจือน บ้านอยู่ติดทุ่งนา ก็เล่าว่า ตอนดึกๆ แกสองคนเจอดวงไฟที่ว่าเป็นประจำ มันมาลอยสูงๆ ต่ำๆ อยู่ในนา ตอนแรกคิดว่าเป็นหิ่งห้อยตัวใหญ่ ก็ไม่ได้สนใจ แต่พอได้ยินเรื่องของทิดช่วงก็เลยชักไม่แน่ใจซะแล้ว


ไอ้น้อยกับไอ้ต๊อก เคยออกไปวางเบ็ดตอนกลางคืนที่ริมหนองน้ำ เจอดวงไฟวิ่งไล่ จนต้องเผ่นกระเจิง หลังจากวันนั้น มันก็ไม่กล้าไปวางเบ็ดกันอีกเลย


น้าเป้าหนุ่มใหญ่วัยห้าสิบ เล่าว่า ดวงไฟนี้เห็นกันมาตั้งนานแล้ว บางช่วงก็หายไป บางช่วงก็กลับมาอีก คนสมัยก่อนเขาเรียกกันว่า “ผีจะกะ” เป็นครึ่งผีครึ่งคนเหมือนผีกระสือ พอตกกลางคืน ดวงไฟจะลอยออกจากร่างเจ้าของออกไปหากินของคาวของเน่า พวกเศษขยะ สิ่งปฏิกูล ซากสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ใหญ่ทั้งหลาย


“...
ตอนข้าหนุ่มๆ ยังชวนเพื่อนไปไล่จับอยู่เลย เสียดาย...ไปรอตั้งสามสี่คืน ไม่ยักกะเจอ...”

น้าเป้าคุย

...งั้น...ไปไล่จับกันอีกมั้ยเล่า? น้าเป็นคนนำนะ เดี๋ยวพวกฉันตาม...” ไอ้เป๊กชวน แต่น้าเป้าส่ายหน้าดิก

...ไม่เอาล่ะ วิ่งไม่ไหว...กูแก่แล้ว...”


ใครต่อใครก็พูดคุยกันเรื่องผี จากปากต่อปาก บางทีก็เสริมแต่งพูดคะนองปากกันไปตามประสา แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่มีใครอยากเจอ


ผลสืบเนื่องจากเรื่องผีๆ ที่โหมกระพือไปทั่วหมู่บ้าน ทำให้พอตกกลางคืน ในหมู่บ้านจะเงียบกริบ พวกวัยรุ่นที่ชอบมาสุมหัวคุยเสียงดัง หรือ บิดรถเครื่องกันสนั่นหวั่นไหว ก็พลอยหายไปด้วย


กระทั่งพวกลักเล็กขโมยน้อย ขโมยกล้วย ขโมยมะนาว ที่มีไม่เว้นแต่ละคืน ก็พลอยเงียบไปด้วย

...แหม...ผีมันน่าจะออกมาทุกคืนนะ ข้าจะได้นอนหลับสบาย...” ยายแป้ว เจ้าทุกข์ผู้ถูกลักของในสวนบ่อยๆ รำพึงขอบคุณผี ที่ทำให้ให้พวกหัวขโมยมันกลัว


หัวข้อถัดมาในการพูดคุยแบบลับเฉพาะ(กอสสิป) เนื่องจากผีพวกนี้ เป็นครึ่งผีครึ่งคน จึงเกิดคำถามว่า แล้วใครกันล่ะ ที่เป็นผี ? ...

...เมื่อหลายปีก่อน เขาว่าเป็น ยายอิ่ม...” น้าหวี ผู้สัดทัดกรณีผีสาง อธิบาย “...ลูกชายแกเคยมาเล่าให้ข้าฟังว่า พอตกกลางคืนแม่แกจะออกจากบ้านไปไหนก็ไม่รู้ พักใหญ่ๆ ถึงจะกลับมาบ้าน เป็นอย่างนี้ทุกคืน...จะตามไปดูก็ไม่กล้า ตอนหลังๆ มันได้งานที่อื่น เลยย้ายออกไป...แต่ยายอิ่มแกก็ตายไปตั้งหลายปีแล้ว...”

แล้วตอนนี้น่าจะเป็นใครล่ะน้า?...” ไอ้เป๊กถาม


“...
ที่เข้าข่ายก็น่าจะเป็น ยายจอบ แม่แก่(ยาย)ของทิดช่วงนั่นแหละ เพราะอยู่บ้านเดียวกัน...ผีที่ไหนมันจะเข้ามาบ้านได้ ถ้าไม่ได้อยู่บ้านนั้น...” น้าหวีตั้งข้อสังเกตุ

แต่ยายจอบแกไม่สบาย ย้ายไปอยู่กับลูกชายคนโตในจังหวัดตั้งนานแล้วนี่...”

...อ้าว...เหรอ...ถ้างั้น ก็ต้องเป็นยายไน้ เพราะพวกนี้บ้านจะสะอาดผิดปกติ แล้วยายไน้ก็อยู่กับตาเผย ผัวแกแค่สองคน ลูกหลานไม่ได้อยู่ด้วย ยายไน้แน่ๆ เลย...”


น้าหวี ตั้งหน้าตั้งตา หาข้อสังเกตุจับคนมาเป็นผีให้ได้

...น้าหวี ไปไล่จับผีกับผมดีกว่า เขาว่าพวกนี้ ถ้าจับได้ก็จะรู้ว่าใครเป็น...” ไอ้เป๊กพยายามหาผู้ใหญ่ไปเป็นผู้นำ แต่น้าหวีส่ายหน้าดิก

...มึงจับได้ค่อยมาเรียกกูเหอะ...กูไม่ไปด้วยหรอก...” น้าหวีเดินหนีเข้าครัว


เรื่องผีโด่งดังถึงขนาดที่คนหมู่บ้านอื่นมาถาม และทำท่าว่าจะดังขึ้นเรื่อยๆ เพราะลุงจิตมีหลานทำงานอยู่ในบริษัททำรายการสารคดีที่กรุงเทพฯ แกบอกว่าจะติดต่อให้หลานมาถ่ายทำไปออกทีวี

ทว่า เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ เมื่อมีเรื่องใหม่มา เรื่องเก่าก็จางไป


เมื่อคณะลิเกมายึดศาลากลางหมู่บ้านเปิดวิกแสดงทุกค่ำคืน ทำให้ใครต่อใครพากันลืมเรื่องผีไปเสียสนิท


พระเอกก็หล่อ นางเอกก็สวย ทุกค่ำคืน เก้าอี้หน้าเวทีจะมีชาวบ้านทั้งในหมู่บ้านและต่างหมู่บ้านพากันมาจับจอง ก่อนลิเกจะเล่นก็มีการเรี่ยไรเงินพอเป็นพิธี พอพระเอกออก ก็ขอความกรุณาอีกรอบ พอนางเอกออก ก็ยังขอกันอีกรอบ กว่าลิเกจะเล่นจบ ชาวบ้านแต่ละคนก็จ่ายค่าดูไปคนละหลายสิบ


“...
พวกนี้เขามีของ มีคาถาเมตตามหานิยม ใครมาดูก็ต้องยอมให้ตังค์ทั้งนั้นแหละ...” ป้าแต้ว แม่ยกตัวหลักอธิบาย

ขณะที่ละครก็น้ำเน่า ดูข่าวก็เน่าพอๆ กับละคร เมื่อมีมหรสพมาให้ชมถึงที่ ชาวบ้านจึงหอบลูกจูงหลานไปดูลิเกกันทุกค่ำคืน กว่าลิเกจะเลิกก็เกือบห้าทุ่ม พวกเดินกลับบ้านคุยกันแซด ลืมเรื่องผีกันเสียสนิท


ผีตัวนั้น ถ้าหากมันมีอยู่จริง ก็คงจะโล่งอก ที่ไม่ต้องมีคนมาคอยจับจ้อง จะหากินก็สบายขึ้น

ของเน่าของบูด มูลคนมูลสัตว์ เศษอาหาร ฯลฯ ล้วนอาหารอันโอชะ

ทำนองเดียวกับ คนมีอำนาจในบ้านเมือง ล่อลวงประชาชนด้วยความบันเทิง


แล้วแอบโกงกินกันจนอิ่มแปร้


บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
“...ที่สุดแล้ว ปัญหาการเมืองรวมถึงปัญหาส่วนตัวทุกเรื่อง เมื่อสืบเสาะลงไปให้ลึกที่สุดจะพบว่า เป็นปัญหาทางจิตวิญญาณทั้งนั้น ทุกชีวิตเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ฉะนั้นปัญหาทุกอย่างของชีวิตจึงมีต้นตอมาจากจิตวิญญาณและจะแก้ไขได้ด้วยวิธีทางจิตวิญญาณ สงครามเกิดขึ้นเพราะใครบางคนมีสิ่งที่อีกคนอยากได้ นี่คือสิ่งที่ทำให้คนบางคนทำสิ่งที่อีกคนไม่อยากให้ทำความขัดแย้งทุกชนิดเกิดจากการวางความปรารถนาไว้ผิดที่สินติเดียวที่จะยั่งยืนได้ในโลกหล้าคือศานติภายในให้แต่ละคนค้นพบสันติในใจตน เมื่อนั้นเธอจะพบว่า เธอไม่ต้องพึ่งพาอะไรอีก...”(สนทนากับพระเจ้าเล่ม 2 หน้า 204)
ฐาปนา
เมื่อครั้งยังเด็ก ผมเคยเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีชะตากรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ทุกๆ อย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว ทุกๆ อย่างถูกลิขิตไว้หมดแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย พอเติบโตขึ้น ความเชื่อเรื่องชะตากรรมก็เปลี่ยนไป ผมเชื่อว่ามีแค่สามสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วและเราไม่อาจล่วงรู้ได้ นั่นคือ การเกิด คู่ครอง และการตาย ไม่นานมานี้ ผมมองชะตากรรมอีกแบบหนึ่ง ผมคิดว่า ชะตากรรม คือ สิ่งที่เข้ามาสู่ชีวิตเพื่อให้เราเลือก ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม และมันจะส่งผลต่อเรา เราจะเรียนรู้และเติบโตจากมัน เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปจากมุมมองที่เรามีต่อมัน ลองย้อนมองกลับไปถึงอดีตของเราแต่ละคน สิ่งที่เราเลือก เสมือนจุดๆ หนึ่ง…
ฐาปนา
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ลมหนาวคลายความยะเยือกลง เหลือเพียงลมเย็นโชยเฉื่อย เจือกลิ่นหอมของไม้เมืองหนาวหลายชนิดที่ยังคงผลิดอกแม้ฤดูหนาวสิ้นสุด แล้วเมืองเชียงใหม่ก็เข้าสู่ช่วงเวลาพิเศษของคนหนุ่มสาวอีกครั้ง“วันแห่งความรัก” (Valentines Day) ที่ใครหลายคนรอคอยอันที่จริง แม้จะเรียกกันว่า วัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป บริบทของสังคมเปลี่ยนไป ด้วยอานุภาพแห่งความรักและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความรัก จึงไม่อาจจำกัดให้วันแห่งความรักอยู่แค่เพียง วันที่ 14 ของเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น วันแห่งความรักได้ขยายช่วงเวลาเป็น สัปดาห์แห่งความรัก จนกระทั่งเป็น เดือนแห่งความรัก ในที่สุด นอกจากบรรยากาศแห่งความรัก…
ฐาปนา
ไม่ทราบว่าใครเป็นเหมือนผมบ้างหลังจากข้าวของพาเหรดกันขึ้นราคา แต่รายได้มันไม่ได้ขึ้นตามไปด้วย ทำให้ต้องปรับตัวทุกทางเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ถีงขั้นต้องใช้คำว่า “เพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้” นั่นละครับเพราะรายได้ที่ไม่แน่นอน ไม่มากมาย บวกกับสภาพหนี้ทั้งงานราษฎร์งานหลวง จากที่เคยตามใจปากตามใจตัวได้บ้างก็ต้องกลายมาเป็น “งด” แทบจะทุกรายการ จะกินขนมสักสิบยี่สิบบาทก็เปลี่ยนไปเป็นอาหารญี่ปุ่นสำหรับคนจน (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) ดีกว่านี่ก็แว่วว่า บะหมี่ซองเหล่านี้จะขึ้นราคากันแล้วเราคงต้องไปหาดินอร่อยๆ กินกันแทนข้าวแล้วกระมัง ก่อนที่ดินอร่อยๆ จะได้รับความนิยมขึ้นมา แล้วดินก็จะขึ้นราคาอีก
ฐาปนา
“...ยังไม่เคยเห็นธนาคารไหนในโลกให้ดอกเบี้ยร้อยเปอร์เซนต์ ฝากพันให้พัน ฝากหมื่นให้หมื่น ฝากล้านให้ล้าน ไม่เคยเห็น แต่ธรรมชาติจะให้มากกว่านั้นแทบทุกเรื่อง ถ้าเราฝากธรรมชาติ อย่างเช่น ถ้าเราเอาเงินสิบบาทไปฝากธนาคาร ถ้าเขาให้ดอกร้อยเปอร์เซนต์ สิ้นปีก็ได้สิบบาท รวมที่ฝากเป็นยี่สิบบาท คือสูงสุดแล้ว แต่ถ้าฝากธรรมชาติ ก็เหมือนฝากให้คนอื่นทำงาน สมมติต้นกล้วยห้าบาท ค่าปลูกกล้วยอีกห้าบาท รวมเป็นต้นทุนสิบบาท พอสิ้นปีได้ปลีกล้วยมาอันหนึ่ง เครือกล้วยอีกเครือหนึ่ง หน่อกล้วยอีกสองหน่อ อันนี้ไม่รู้ราคาเท่าไรแล้ว ถามว่ามันได้ร้อยเปอร์เซนต์ หรือกี่ร้อยเปอร์เซนต์…
ฐาปนา
กิจกรรมส่วนที่สองของโครงการ one year # 2 ของมูลนิธิที่นา ที่ผมเข้าร่วม คือกิจกรรมเรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ เริ่มต้นด้วยการประชุมแนะนำโครงการและให้ผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละคนวาดรูปพืช ที่ตนเองอยากปลูก หรือ สัตว์ที่ตนเองอยากเลี้ยง ซึ่งในช่วงเวลาสามเดือนของกิจกรรมส่วนที่สองนี้ ทุกคนจะต้องดูแลสิ่งมีชีวิตของตนเองสองวันต่อมา เราเดินทางไปชมการทำเกษตรกรรมอินทรีย์และการดูแลสุขภาพวิถีไทที่ “สวนสายลมจอย” อำเภอสันกำแพง พื้นที่ไม่ถึงสิบไร่แห่งนี้ ถูกปรับเปลี่ยนจากพื้นที่นามาเป็นร่องสวน และบ่อเลี้ยงปลา, เต็มไปด้วยมะพร้าว พืชผล พืชผัก และสมุนไพรนานาชนิดจากการทำนาทำสวนที่ใช้สารเคมีในอดีต…
ฐาปนา
หวังให้ประเทศเล็กที่มีพลเมืองน้อยมีอาหารพอที่จะเลี้ยงดูพลเมืองมากกว่าที่เขาต้องการถึงสิบเท่าร้อยเท่าให้ประชาชนเห็นคุณค่าของชีวิตและไม่ท่องเที่ยวพเนจรไปไกลถึงแม้จะมีพาหนะเรือและรถก็ไม่มีใครปรารถนาจะขับขี่ถึงแม้จะมีเกราะและอาวุธก็ไม่มีโอกาสจะใช้ให้กลับไปใช้การจดจำเรื่องราวด้วยการผูกเงื่อนแทนการเขียนหนังสือให้เขานึกว่าอาหารพื้นๆนั้นโอชะเสื้อผ้าอันสามัญนั้นสวยงามบ้านเรือนธรรมดานั้นสุขสบายประเพณีวิถีชีวิตนั้นน่าชื่นชมในระหว่างเพื่อนบ้านต่างเอาใจใส่ซึ่งกันและกันจนอาจได้ยินเสียงไก่ขันสุนัขเห่าจากข้างบ้านและตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตจะไม่มีใครได้เคยออกไปนอกประเทศของตนเลย(บทที่ 80 ประเทศในฝัน,…
ฐาปนา
หากให้ลองย้อนคิดดูว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไปเราได้ทำอะไรไปบ้าง คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะระบุให้ครบถ้วน เพราะการกระทำเป็นรูปธรรม มีผลลัพธ์ชัดเจน มีร่องรอยที่ติตตามได้แต่หากให้ลองย้อนคิดดูว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไป เราได้ "พูด" อะไรไปบ้าง ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ เว้นเสียแต่ว่า วันนั้นเราจะพูดน้อยจนนับคำได้คำพูด คือความคิดที่แสดงออกเพื่อสื่อสาร ซึ่งเนื้อแท้ของสิ่งที่ต้องการสื่อสารนั้นก็คือ ความรู้สึก ความรู้สึกคือภาษาของวิญญาณ เป็นหัวใจเป็นแก่นแกนกลางของการสื่อสารทุกชนิด แต่เราก็มักจะหลงลืมหัวใจของการสื่อสารนี้ไป และไปให้ค่ากับคำพูดเสียมากกว่าฉะนั้น หากเปลี่ยนคำถามเสียใหม่ว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไป…
ฐาปนา
 ผมเพิ่งจะไปเที่ยววัดพระธาตุดอยสุเทพมาครับ หลังจากไม่ได้ไปมาเป็นเวลาร่วมสิบปี  ครั้งสุดท้ายที่ขึ้นไปคือตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย พอย้ายมาอยู่ทางเหนือก็ไม่ได้โอกาสเสียที มาสบโอกาสเอาก็ตอนลมหนาวเริ่มมาเยือนนี่เอง ขับมอเตอร์ไซต์ขึ้นดอยตอนเช้า อากาศเย็นสบาย ใช้เวลาสัก 20-30 นาทีเท่านั้นวัดพระธาตุดอยสุเทพเป็นสถานที่อันดับแรกที่ใครต่อใครที่มาเชียงใหม่จะต้องมาเยือนมาชม มากราบไหว้ เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง ที่นี่จึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมายตลอดเวลา ยิ่งในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยว ดูเหมือนว่า ดอยสุเทพคือสถานที่แรกที่ทุกคนต้องมา…
ฐาปนา
คืนหนึ่งผมฝันถึงสถานที่หนึ่งซึ่งผมไม่เคยคาดคิดว่าจะฝันถึงสถานที่แห่งนั้นเป็นทางเดินที่ทอดยาว เชื่อมระหว่างอาคารหนึ่งไปสู่อาคารหนึ่งผมเดินไปตามทางนั้นด้วยความรู้สึกประหลาด ประหลาดเพราะรู้ว่านี่คือความฝัน แต่ทั้งรู้ว่าฝันผมกลับตื่นตื่นโพลงอยู่ในความฝัน ผมเดินไปตามทางด้วยความตื่นโพลง และรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในภาพวาดซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง แม้แต่ใบไม้แห้งก็แทบจะไม่ไหวติง ผมรู้จักสถานที่แห่งนั้นดี มันคือทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารพักอาศัยไปยังอาคารปฏิบัติรวมของศูนย์วิปัสสนาธรรมอาภา สถานที่ที่ผมไปอบรมวิปัสสนาเป็นเวลาสิบวันผมพยายามหาเหตุผลว่า ทำไมผมจึงฝันถึงสถานที่แห่งนั้น…
ฐาปนา
หากได้รับตั๋วเครื่องบินไป-กลับยุโรป พร้อมเงินติดกระเป๋าไปเที่ยวฟรีๆ 10 วัน เป็นใครย่อมไม่รอช้า ทั้งพร้อมจะเลื่อน – ลา – หยุด ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไป มันคงเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตที่น้อยคนจะมีโอกาส แต่ด้วยเงื่อนไขเดียวกันนี้ หากเปลี่ยนจากไปเที่ยวยุโรป 10 วัน เป็นการไป ‘วิปัสสนา’ 10 วันแทน หลายคนคงต้องคิดหนัก เราหมายใจจะท่องเที่ยวไปให้ทั่วประเทศ ทั่วทวีป ทั่วโลก จากทะเลลึกถึงภูเขาที่สูงที่สุด จากมหานครสู่ป่าดิบ จากกลางตลาดที่คราคร่ำด้วยผู้คนสู่ทะเลทรายเวิ้งว้าง แต่เรากลับไม่สนใจที่จะท่องเที่ยวสำรวจ ‘จิต’ ของเราเอง ... แปลกมั้ย ?ในฐานะชาวพุทธ ไม่ว่าจะกล่าวด้วยความภาคภูมิ…
ฐาปนา
ผมสมัครเข้าร่วมโครงการหนึ่งปี “ชุมชนทดลอง # 2” ของมูลนิธิที่นา [1] ด้วยความไม่รู้ กล่าวคือ ไม่รู้เรื่องวิปัสสนา ไม่รู้เรื่องศิลปะ และไม่รู้เรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ  ความไม่รู้นี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะถ้ารู้แล้วคงไม่ต้องมาเมื่อได้คุยกับทีมงานหลายท่านก่อนเริ่มโครงการ ก็ได้รับความห่วงใยเกรงว่า ผู้เข้าร่วมโครงการจะคาดหวังมากเกินไป เนื่องจาก the land ไม่ใช่ utopia ซึ่งผมก็เข้าใจ ขณะเดียวกันผมเองก็ห่วงใยเกรงว่า ทีมงานจะคาดหวังกับผู้เข้าร่วมโครงการมากเกินไปเช่นเดียวกันเพราะในความต่างของปัจเจกที่มาอยู่ร่วมกันภายใต้เงื่อนไขหลวมๆ นี้ หากผู้เข้าร่วมไม่มีความชัดเจนในจุดประสงค์ของตนเอง…