Skip to main content
หลายปีที่ผ่านมา พื้นที่การเกษตรขยายตัวอย่างช้าๆ จากพื้นที่ดินเค็มหรือพื้นที่ดอนอันแห้งแล้งก็แปรเปลี่ยนเป็นที่สวน ที่ไร่ ที่นา


เมื่อพื้นที่ขยายตัวไปมาก คลองส่งน้ำก็ถูกขุดต่อไปจนถึงพื้นที่ บางแห่งคลองไปไม่ถึงก็ขุดหาแหล่งน้ำใต้ดิน เพื่อจะพลิกฟื้นผืนดินไร้ชีวิตให้กลับมามีชีวิตให้ได้


อัตราเร่งเพิ่มขึ้น เมื่อราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ข้าว" มีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่ดินรกร้าง ที่ป่ารกเรื้อ ถูกรถไถจัดการเสียเรียบเตียน ไม่กี่วันก็พร้อมสำหรับการเพาะปลูก

 

คลองส่งน้ำสายใหม่(เทคอนกรีต) ที่จะถูกต่อมาจากลำคลองสายหลักอยู่ระหว่างการก่อสร้าง เสียงรถเกรดดิน รถบรรทุก รถบด ดังสนั่นลั่นทุ่งตลอดวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ลำคลองสายเก่ากว้างแค่เมตรกว่าถูกถ่างให้กว้างถึงห้าเมตร ต่อยาวพาดข้ามหมู่บ้านระยะทางเกือบสองกิโลเมตร เพื่อจะทะลุไปถึงหนองน้ำใหญ่ที่อยู่อีกฟากหนึ่ง


ที่นา ที่สวน ของชาวบ้านก็โดนตัดโดนเฉือนกันไปคนละนิดละหน่อย ส่วนใหญ่ก็ยินยอม เพราะนั่นหมายถึงความสะดวกของน้ำเพื่อการเกษตร ส่วนที่ไม่ยอมก็ต้องยอม ไม่งั้นคลองก็ไม่เสร็จเสียที


คนที่โดนคลองผ่าเข้าไปกลางสวนเต็มๆ คือยายรวย เพราะที่แกกั้นกลางระหว่างทางที่จะทะลุไปทางหนองน้ำพอดี

"...โดนเข้าไปร่วมสองงานเลยนะนั่น..." ยายรวยบ่นทุกทีที่เห็นแนวลำคลอง

"...เอาเหอะ...เพื่อส่วนรวม..." น้าหวี ปลอบ

 

ถึงแม้ การชลประทานกำลังจะไปทั่วถึงพื้นที่เกษตร แต่ชาวบ้านก็รู้ดีว่า พอถึงหน้าแล้ง แม้คลองส่งน้ำจะใหญ่ หรือทอดยาวไปไกลแค่ไหน ก็อาจช่วยอะไรไม่ได้ เพราะปริมาณการใช้น้ำ มันมากกว่าปริมาณน้ำที่ได้


ฟังดูเหลือเชื่อ แต่มันเป็นเรื่องจริง


และปัญหาเรื่องน้ำ ไม่ใช่แค่ปัญหาส่วนรวม อย่างน้ำน้อย ไม่พอใช้ หรือน้ำมาก จนท่วม เท่านั้น แต่รวมไปถึงเรื่องของการใช้น้ำ "ร่วมกัน" ด้วย

 

เมื่อปีก่อน น้าชน กับลุงล้วน เกือบจะได้ขึ้นโรงขึ้นศาล เพราะมีเรื่องกับไอ้ดุก

เรื่องของเรื่อง คือ ตอนนั้นทุกคนเขาทำนากันหมดแล้ว หว่านกันแล้ว ข้าวก็งอกแล้ว ต้องการเพียงแค่น้ำเพื่อเลี้ยงให้ข้าวโตเท่านั้น

แต่ไอ้ดุก มาทำนาทีหลังชาวบ้านเขา เนื่องจากเมียมันคลอดลูก มันจึงต้องดูแลครอบครัว กว่าจะเรียบร้อย กว่าจะมีเวลามาทำนา ต้นข้าวในนาของคนอื่นก็สูงเกือบคืบแล้ว


ไอ้ดุก ต้องการเปิดน้ำมาทำนา ซึ่งต้องเป็นน้ำปริมาณมากเสียด้วย เนื่องจากมันทำนาหลายไร่

งานนี้น้าชน กับลุงล้วน ซึ่งมีที่นาติดกับไอ้ดุกจึงยอมไม่ได้ เพราะถ้าน้ำมาก มันก็จะท่วมนาของทั้งสอง พลอยทำให้ต้นข้าวจมน้ำไปด้วย

น้าชน กับลุงล้วน ว่าไอ้ดุกที่ไม่ทำนาพร้อมคนอื่น จะมาทำทีหลังก็ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน


ไอ้ดุกก็บอกว่า น้าชน กับลุงล้วนใจแคบ ไม่ยอมเห็นใจมันมั่ง แล้วไอ้เรื่องน้ำจะท่วม ก็ไม่น่าจะท่วมนาน ถ้าปิดทางน้ำที่ต่อระหว่างนาเสีย มันก็แค่ซึมไป เดี๋ยวก็ลด

แต่น้าชน กับลุงล้วน ส่ายหน้าไม่เอาด้วย ก็ใครจะไปอยากเสี่ยงให้น้ำท่วมนาตัวเอง

ต่างฝ่ายต่างยืนยันและไม่ยอม


ไอ้ดุก ประกาศจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากน้ำชนกับลุงล้วน เพราะมันเตรียมเมล็ดพันธุ์ เตรียมไถ เตรียมปุ๋ย ยาไว้พร้อมหมดแล้ว ถ้าไม่ได้ทำนามันก็สูญ


แต่ก่อนที่จะเรื่องจะลุกลามไปไกล ทั้งกำนัน ทั้งอบต. ก็รีบเข้ามาห้ามศึก เจรจากันจนกระทั่งได้ข้อสรุปว่า กำนัน ควักเงินส่วนตัวจ่ายค่าเสียหายให้ไอ้ดุกไปส่วนหนึ่ง แล้วบอกให้มันทำนาคราวหน้า ไอ้ดุกแม้ไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ต้องยอมรับ

 

หน้าแล้งปีนี้เกิดเหตุซ้ำแบบปีก่อนอีกครั้ง เมื่อน้าตุ้ย จะเปิดน้ำทำนา เพราะทางชลประทานเขาประกาศมาแล้วว่า จะเปิดน้ำให้สำหรับทำนาเป็นเวลาครึ่งเดือน ข้าวราคาดีอย่างนี้ใครต่อใครก็อยากทำ ทว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็เอาที่นาไปปลูกพืชล้มลุกกันหมดแล้ว จึงมีเพียงส่วนน้อยที่คิดจะทำนา


ถ้าลำพังน้าตุ้ยจะเปิดน้ำเข้านาตัวเองก็ไม่เท่าไร แต่ ที่นาของน้าตุ้ยอยู่ติดกับที่นาของพี่ชุมกับพี่แหวว สองสามีภรรยา ที่ปลูกแตงโมเต็มไร่ อีกแค่สิบกว่าวันก็จะเก็บได้แล้ว


งานนี้ไม่ต้องถึงกับน้ำท่วมไร่ แค่น้ำซึมมาถึง แตงโมก็มีสิทธิ์เน่าทั้งหมด


พี่ชุมขอร้องให้น้าตุ้ยรอก่อนเพราะแตงโมแกใกล้จะเก็บได้แล้ว แต่น้าตุ้ยยืนยันว่าแกจะต้องเปิดน้ำทำนาให้ได้ เพราะถ้าเลยช่วงนี้ไปแล้ว ชลประทานจะงดส่งน้ำ แกก็จะหมดสิทธิ์ทำนา


พูดยังไงก็ไม่ฟัง น้าตุ้ยอ้างว่าเป็นสิทธิ์ของแกที่จะเปิดน้ำทำนา ไม่มีใครมาห้ามแกได้


งานนี้พี่ชุม พูดไม่ออก จำต้องยอมรับแบบช้ำใจสุดๆ ไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องบาดหมางใหญ่โต เพราะ น้าตุ้ยก็ใช่ใครที่ไหน เป็นพี่คนโตของพี่แหวว แฟนแกนั่นเอง

 

กรณีพิพาทแบบนี้ ไม่มีใครอยากให้เกิดกับตัวเอง แค่ได้ยินได้ฟังก็ยังหดหู่

ชาวบ้านก็เห็นใจทั้งสองฝ่ายเพราะมันก็ญาติๆ พี่น้องกันทั้งนั้น

แต่เรื่องอย่างนี้มันไม่เข้าใครออกใคร หากคนเรายังยืนยันว่าตัวเองถูก ไม่ฟังใคร ไม่ประนีประนอมรอมชอมกัน จะเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว

สำนวนที่ว่า เลือดข้นกว่าน้ำ

คงต้องเปลี่ยนเป็น

น้ำข้นกว่าเลือด

บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
“...ที่สุดแล้ว ปัญหาการเมืองรวมถึงปัญหาส่วนตัวทุกเรื่อง เมื่อสืบเสาะลงไปให้ลึกที่สุดจะพบว่า เป็นปัญหาทางจิตวิญญาณทั้งนั้น ทุกชีวิตเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ฉะนั้นปัญหาทุกอย่างของชีวิตจึงมีต้นตอมาจากจิตวิญญาณและจะแก้ไขได้ด้วยวิธีทางจิตวิญญาณ สงครามเกิดขึ้นเพราะใครบางคนมีสิ่งที่อีกคนอยากได้ นี่คือสิ่งที่ทำให้คนบางคนทำสิ่งที่อีกคนไม่อยากให้ทำความขัดแย้งทุกชนิดเกิดจากการวางความปรารถนาไว้ผิดที่สินติเดียวที่จะยั่งยืนได้ในโลกหล้าคือศานติภายในให้แต่ละคนค้นพบสันติในใจตน เมื่อนั้นเธอจะพบว่า เธอไม่ต้องพึ่งพาอะไรอีก...”(สนทนากับพระเจ้าเล่ม 2 หน้า 204)
ฐาปนา
เมื่อครั้งยังเด็ก ผมเคยเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีชะตากรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ทุกๆ อย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว ทุกๆ อย่างถูกลิขิตไว้หมดแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย พอเติบโตขึ้น ความเชื่อเรื่องชะตากรรมก็เปลี่ยนไป ผมเชื่อว่ามีแค่สามสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วและเราไม่อาจล่วงรู้ได้ นั่นคือ การเกิด คู่ครอง และการตาย ไม่นานมานี้ ผมมองชะตากรรมอีกแบบหนึ่ง ผมคิดว่า ชะตากรรม คือ สิ่งที่เข้ามาสู่ชีวิตเพื่อให้เราเลือก ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม และมันจะส่งผลต่อเรา เราจะเรียนรู้และเติบโตจากมัน เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปจากมุมมองที่เรามีต่อมัน ลองย้อนมองกลับไปถึงอดีตของเราแต่ละคน สิ่งที่เราเลือก เสมือนจุดๆ หนึ่ง…
ฐาปนา
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ลมหนาวคลายความยะเยือกลง เหลือเพียงลมเย็นโชยเฉื่อย เจือกลิ่นหอมของไม้เมืองหนาวหลายชนิดที่ยังคงผลิดอกแม้ฤดูหนาวสิ้นสุด แล้วเมืองเชียงใหม่ก็เข้าสู่ช่วงเวลาพิเศษของคนหนุ่มสาวอีกครั้ง“วันแห่งความรัก” (Valentines Day) ที่ใครหลายคนรอคอยอันที่จริง แม้จะเรียกกันว่า วัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป บริบทของสังคมเปลี่ยนไป ด้วยอานุภาพแห่งความรักและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความรัก จึงไม่อาจจำกัดให้วันแห่งความรักอยู่แค่เพียง วันที่ 14 ของเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น วันแห่งความรักได้ขยายช่วงเวลาเป็น สัปดาห์แห่งความรัก จนกระทั่งเป็น เดือนแห่งความรัก ในที่สุด นอกจากบรรยากาศแห่งความรัก…
ฐาปนา
ไม่ทราบว่าใครเป็นเหมือนผมบ้างหลังจากข้าวของพาเหรดกันขึ้นราคา แต่รายได้มันไม่ได้ขึ้นตามไปด้วย ทำให้ต้องปรับตัวทุกทางเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ถีงขั้นต้องใช้คำว่า “เพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้” นั่นละครับเพราะรายได้ที่ไม่แน่นอน ไม่มากมาย บวกกับสภาพหนี้ทั้งงานราษฎร์งานหลวง จากที่เคยตามใจปากตามใจตัวได้บ้างก็ต้องกลายมาเป็น “งด” แทบจะทุกรายการ จะกินขนมสักสิบยี่สิบบาทก็เปลี่ยนไปเป็นอาหารญี่ปุ่นสำหรับคนจน (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) ดีกว่านี่ก็แว่วว่า บะหมี่ซองเหล่านี้จะขึ้นราคากันแล้วเราคงต้องไปหาดินอร่อยๆ กินกันแทนข้าวแล้วกระมัง ก่อนที่ดินอร่อยๆ จะได้รับความนิยมขึ้นมา แล้วดินก็จะขึ้นราคาอีก
ฐาปนา
“...ยังไม่เคยเห็นธนาคารไหนในโลกให้ดอกเบี้ยร้อยเปอร์เซนต์ ฝากพันให้พัน ฝากหมื่นให้หมื่น ฝากล้านให้ล้าน ไม่เคยเห็น แต่ธรรมชาติจะให้มากกว่านั้นแทบทุกเรื่อง ถ้าเราฝากธรรมชาติ อย่างเช่น ถ้าเราเอาเงินสิบบาทไปฝากธนาคาร ถ้าเขาให้ดอกร้อยเปอร์เซนต์ สิ้นปีก็ได้สิบบาท รวมที่ฝากเป็นยี่สิบบาท คือสูงสุดแล้ว แต่ถ้าฝากธรรมชาติ ก็เหมือนฝากให้คนอื่นทำงาน สมมติต้นกล้วยห้าบาท ค่าปลูกกล้วยอีกห้าบาท รวมเป็นต้นทุนสิบบาท พอสิ้นปีได้ปลีกล้วยมาอันหนึ่ง เครือกล้วยอีกเครือหนึ่ง หน่อกล้วยอีกสองหน่อ อันนี้ไม่รู้ราคาเท่าไรแล้ว ถามว่ามันได้ร้อยเปอร์เซนต์ หรือกี่ร้อยเปอร์เซนต์…
ฐาปนา
กิจกรรมส่วนที่สองของโครงการ one year # 2 ของมูลนิธิที่นา ที่ผมเข้าร่วม คือกิจกรรมเรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ เริ่มต้นด้วยการประชุมแนะนำโครงการและให้ผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละคนวาดรูปพืช ที่ตนเองอยากปลูก หรือ สัตว์ที่ตนเองอยากเลี้ยง ซึ่งในช่วงเวลาสามเดือนของกิจกรรมส่วนที่สองนี้ ทุกคนจะต้องดูแลสิ่งมีชีวิตของตนเองสองวันต่อมา เราเดินทางไปชมการทำเกษตรกรรมอินทรีย์และการดูแลสุขภาพวิถีไทที่ “สวนสายลมจอย” อำเภอสันกำแพง พื้นที่ไม่ถึงสิบไร่แห่งนี้ ถูกปรับเปลี่ยนจากพื้นที่นามาเป็นร่องสวน และบ่อเลี้ยงปลา, เต็มไปด้วยมะพร้าว พืชผล พืชผัก และสมุนไพรนานาชนิดจากการทำนาทำสวนที่ใช้สารเคมีในอดีต…
ฐาปนา
หวังให้ประเทศเล็กที่มีพลเมืองน้อยมีอาหารพอที่จะเลี้ยงดูพลเมืองมากกว่าที่เขาต้องการถึงสิบเท่าร้อยเท่าให้ประชาชนเห็นคุณค่าของชีวิตและไม่ท่องเที่ยวพเนจรไปไกลถึงแม้จะมีพาหนะเรือและรถก็ไม่มีใครปรารถนาจะขับขี่ถึงแม้จะมีเกราะและอาวุธก็ไม่มีโอกาสจะใช้ให้กลับไปใช้การจดจำเรื่องราวด้วยการผูกเงื่อนแทนการเขียนหนังสือให้เขานึกว่าอาหารพื้นๆนั้นโอชะเสื้อผ้าอันสามัญนั้นสวยงามบ้านเรือนธรรมดานั้นสุขสบายประเพณีวิถีชีวิตนั้นน่าชื่นชมในระหว่างเพื่อนบ้านต่างเอาใจใส่ซึ่งกันและกันจนอาจได้ยินเสียงไก่ขันสุนัขเห่าจากข้างบ้านและตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตจะไม่มีใครได้เคยออกไปนอกประเทศของตนเลย(บทที่ 80 ประเทศในฝัน,…
ฐาปนา
หากให้ลองย้อนคิดดูว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไปเราได้ทำอะไรไปบ้าง คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะระบุให้ครบถ้วน เพราะการกระทำเป็นรูปธรรม มีผลลัพธ์ชัดเจน มีร่องรอยที่ติตตามได้แต่หากให้ลองย้อนคิดดูว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไป เราได้ "พูด" อะไรไปบ้าง ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ เว้นเสียแต่ว่า วันนั้นเราจะพูดน้อยจนนับคำได้คำพูด คือความคิดที่แสดงออกเพื่อสื่อสาร ซึ่งเนื้อแท้ของสิ่งที่ต้องการสื่อสารนั้นก็คือ ความรู้สึก ความรู้สึกคือภาษาของวิญญาณ เป็นหัวใจเป็นแก่นแกนกลางของการสื่อสารทุกชนิด แต่เราก็มักจะหลงลืมหัวใจของการสื่อสารนี้ไป และไปให้ค่ากับคำพูดเสียมากกว่าฉะนั้น หากเปลี่ยนคำถามเสียใหม่ว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไป…
ฐาปนา
 ผมเพิ่งจะไปเที่ยววัดพระธาตุดอยสุเทพมาครับ หลังจากไม่ได้ไปมาเป็นเวลาร่วมสิบปี  ครั้งสุดท้ายที่ขึ้นไปคือตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย พอย้ายมาอยู่ทางเหนือก็ไม่ได้โอกาสเสียที มาสบโอกาสเอาก็ตอนลมหนาวเริ่มมาเยือนนี่เอง ขับมอเตอร์ไซต์ขึ้นดอยตอนเช้า อากาศเย็นสบาย ใช้เวลาสัก 20-30 นาทีเท่านั้นวัดพระธาตุดอยสุเทพเป็นสถานที่อันดับแรกที่ใครต่อใครที่มาเชียงใหม่จะต้องมาเยือนมาชม มากราบไหว้ เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง ที่นี่จึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมายตลอดเวลา ยิ่งในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยว ดูเหมือนว่า ดอยสุเทพคือสถานที่แรกที่ทุกคนต้องมา…
ฐาปนา
คืนหนึ่งผมฝันถึงสถานที่หนึ่งซึ่งผมไม่เคยคาดคิดว่าจะฝันถึงสถานที่แห่งนั้นเป็นทางเดินที่ทอดยาว เชื่อมระหว่างอาคารหนึ่งไปสู่อาคารหนึ่งผมเดินไปตามทางนั้นด้วยความรู้สึกประหลาด ประหลาดเพราะรู้ว่านี่คือความฝัน แต่ทั้งรู้ว่าฝันผมกลับตื่นตื่นโพลงอยู่ในความฝัน ผมเดินไปตามทางด้วยความตื่นโพลง และรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในภาพวาดซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง แม้แต่ใบไม้แห้งก็แทบจะไม่ไหวติง ผมรู้จักสถานที่แห่งนั้นดี มันคือทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารพักอาศัยไปยังอาคารปฏิบัติรวมของศูนย์วิปัสสนาธรรมอาภา สถานที่ที่ผมไปอบรมวิปัสสนาเป็นเวลาสิบวันผมพยายามหาเหตุผลว่า ทำไมผมจึงฝันถึงสถานที่แห่งนั้น…
ฐาปนา
หากได้รับตั๋วเครื่องบินไป-กลับยุโรป พร้อมเงินติดกระเป๋าไปเที่ยวฟรีๆ 10 วัน เป็นใครย่อมไม่รอช้า ทั้งพร้อมจะเลื่อน – ลา – หยุด ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไป มันคงเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตที่น้อยคนจะมีโอกาส แต่ด้วยเงื่อนไขเดียวกันนี้ หากเปลี่ยนจากไปเที่ยวยุโรป 10 วัน เป็นการไป ‘วิปัสสนา’ 10 วันแทน หลายคนคงต้องคิดหนัก เราหมายใจจะท่องเที่ยวไปให้ทั่วประเทศ ทั่วทวีป ทั่วโลก จากทะเลลึกถึงภูเขาที่สูงที่สุด จากมหานครสู่ป่าดิบ จากกลางตลาดที่คราคร่ำด้วยผู้คนสู่ทะเลทรายเวิ้งว้าง แต่เรากลับไม่สนใจที่จะท่องเที่ยวสำรวจ ‘จิต’ ของเราเอง ... แปลกมั้ย ?ในฐานะชาวพุทธ ไม่ว่าจะกล่าวด้วยความภาคภูมิ…
ฐาปนา
ผมสมัครเข้าร่วมโครงการหนึ่งปี “ชุมชนทดลอง # 2” ของมูลนิธิที่นา [1] ด้วยความไม่รู้ กล่าวคือ ไม่รู้เรื่องวิปัสสนา ไม่รู้เรื่องศิลปะ และไม่รู้เรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ  ความไม่รู้นี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะถ้ารู้แล้วคงไม่ต้องมาเมื่อได้คุยกับทีมงานหลายท่านก่อนเริ่มโครงการ ก็ได้รับความห่วงใยเกรงว่า ผู้เข้าร่วมโครงการจะคาดหวังมากเกินไป เนื่องจาก the land ไม่ใช่ utopia ซึ่งผมก็เข้าใจ ขณะเดียวกันผมเองก็ห่วงใยเกรงว่า ทีมงานจะคาดหวังกับผู้เข้าร่วมโครงการมากเกินไปเช่นเดียวกันเพราะในความต่างของปัจเจกที่มาอยู่ร่วมกันภายใต้เงื่อนไขหลวมๆ นี้ หากผู้เข้าร่วมไม่มีความชัดเจนในจุดประสงค์ของตนเอง…