Skip to main content

เสียงจักจั่นกรีดปีกจากป่าเชิงดอย ฝ่าไอแดดร้อนมาถึงเคหะสถานเงียบงัน รถกระบะบรรทุกหนุ่มสาวร่างเปียกปอนยืนล้อมถังน้ำใบใหญ่แล่นผ่านไป

หญิงชราถือสายยางเดินออกมาหน้าบ้าน ฉีดน้ำใส่พื้นถนน ไอน้ำระเหยขึ้น
เด็กๆ หิ้วถังพลาสติก ขัน ปืนฉีดน้ำ มองสองข้างทางอย่างมีความหวัง
ร้านขายน้ำปั่น น้ำแข็งไส ขายดีจนต้องสั่งน้ำแข็งเพิ่มในช่วงบ่าย
เจ้าของโรงทำน้ำแข็ง หน้าบาน แต่ลูกจ้างหน้าเหี่ยว เพราะข้าวสารขึ้นราคาลิตรละหลายบาทแต่ค่าแรงเท่าเดิม
    
ดวงอาทิตย์กลับมาอยู่ใกล้ชิดโลก เหมือนคนรักที่ได้เจอกันแค่ปีละครั้ง
มวลอากาศอบอ้าวเข้าเกาะกุมผิว ยึดทุกรูขุมขน เหงื่อเค็มถูกขับซึมเสื้อ เหนอะหนะ
ลมผะผ่าวเคลื่อนอยู่กลางถนน ไหลเข้าสู่ปอด ร้อนเข้าไปในทรวง
เสียงจากวิทยุ รายงานข่าว

“...ท่านผู้ฟังที่จะเข้ามาในเมืองขอให้หลีกเลี่ยงเส้นทางรอบคูเมืองด้านนอก เพราะรถมากเคลื่อนตัวช้า บางจุด ทางเลนซ้ายที่ไม่มีคนเล่นน้ำรถเคลื่อนได้ช้ามาก ทางรายการจะประสานให้เจ้าหน้าที่ไปอำนวยความสะดวก ส่วนท่านผู้ฟังที่จะออกจากเมือง เส้นซุปเปอร์ไฮเวย์ และเส้นโชตนา รถมากแต่ยังเคลื่อนตัวสะดวก ขอให้ระมัดระวังในการขับขี่ หากพบกับปัญหาการจราจรหรือการเล่นน้ำสงกรานต์ ท่านสามารถแจ้งมาได้ที่เบอร์โทร...สำหรับท่านที่จะออกไปเล่นน้ำที่คูเมือง ขณะนี้การจราจรติดขัดมาก ขอให้เคลื่อนรถไปเรื่อยๆ อย่าจอดอยู่นิ่งๆ นะคะ เพราะปริมาณรถหนาแน่นมาก  ทางรายการขอต้อนรับ ทุกท่านที่เพิ่งจะหมุนคลื่นมาฟัง และขอต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่านสู่เมืองเชียงใหม่ ในงานประเพณีปีใหม่เมืองปีนี้...”

ผมมองท้องฟ้า เมฆขาวลอยเป็นกลุ่ม คิดไปเรื่อยเปื่อยว่า ตั้งแต่เมื่อไรกันหนอ ที่คนไทยออกมาสาดน้ำกันกลางถนน สาดคนไม่รู้จัก และเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับว่า สงกรานต์ต้องเล่นสาดน้ำ จนกระทั่ง ภาพที่ปรากฎ ทำให้ชาวต่างชาติต่างวัฒนธรรมรับรู้เพียงแค่ว่า สงกรานต์คือ Splashing  Festival หรือ Water Battle Festival  

บางที คนไทยเองก็คงจะลืมไปแล้วกระมังว่า สงกรานต์คือปีใหม่ไทย ไม่ใช่เทศกาลสาดน้ำ
แต่ใครจะสนใจ ในเมื่อเป้าหมายของวันหยุดยาว ไม่ใช่การเข้าวัดทำบุญ

เชียงใหม่-เมืองแอ่งกะทะ ปีนี้ร้อนเช่นเคย
ทุกเช้า อากาศเย็น แต่พอเริ่มสาย อุณหภูมิจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงเที่ยงตรง อากาศร้อนจนสามารถทำให้คนที่อยู่กลางแดดสักยี่สิบนาที หน้ามืดเอาได้ง่ายๆ

ไฟป่าเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน ผมไม่ทราบตัวเลขแน่นอน เท่าที่เห็นคือควันไฟลอยขึ้นจากป่าเชิงดอยสุเทพ และรถดับเพลิงวิ่งผ่านแยกหนองฮ่อเป็นประจำ

เมื่อปีที่แล้ว ชาวเชียงใหม่ต้องเผชิญกับวิกฤติมลภาวะฝุ่นควันที่เกิดจากการเผาไหม้
ท้องฟ้าเป็นสีแดงทั้งวัน เขม่า ขี้เถ้า ลอยคลุ้งเหมือนเมืองถูกล้อมด้วยกองไฟ
ฝุ่นควันหนาขนาดที่ทำให้คนเดินถนนแสบตา หายใจไม่ออก และมีผู้ป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจเข้าโรงพยาบาลวันละหลายร้อยคน
สัญญาณเตือนภัยจากธรรมชาติดังขึ้นเป็นครั้งแรก

คนทำงานด้านสิ่งแวดล้อมคนหนึ่ง กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น สาเหตุหลักมาจากการที่นักท่องเที่ยวกว่าสามล้านคนเข้ามาในเมืองเชียงใหม่ โดยปราศจากการคำนึงถึงผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องน้ำ

เมื่อคนใช้น้ำเพิ่มขึ้นถึงสามล้านคนในช่วงหน้าแล้ง ปริมาณน้ำในธรรมชาติจึงถูกดึงมาใช้มากกว่าปกติ ป่าจึงขาดน้ำ ต้นไม้จึงแห้ง ในที่สุดไฟป่าก็เกิดขึ้นได้ง่ายและบ่อยกว่าเดิม ประกอบกับปริมาณของความร้อนและควันจากท่อไอเสียของรถนับหมื่นคันจากทั่วประเทศที่มุ่งมาสู่เชียงใหม่ เมืองที่มีสภาพเป็นแอ่งกะทะ ถูกโอบล้อมด้วยภูเขา จึงถูกฝุ่นควันปกคลุมอยู่นานร่วมเดือน

นักท่องเที่ยวมาแล้วก็ไป ไม่มีใครรอชำระค่าฟื้นฟูสภาพแวดล้อม    

ปีนี้ นักท่องเที่ยวไม่มากถึงสามล้านคนดังเช่นปีที่ผ่านมา แต่ฝุ่นควันก็ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ประจำหน้าร้อนของเชียงใหม่ไปเสียแล้ว แม้ไม่หนาทึบขนาดต้องสวมผ้าปิดจมูก แต่ก็มากพอจะรู้สึกได้

คนมากขึ้น คนต้องใช้น้ำ น้ำถูกดึงมาจากป่า ป่าแห้งแล้ง เกิดไฟป่า เกิดฝุ่นควัน
น้ำน้อยลงแต่คนยังเพิ่มขึ้น และต้องใช้น้ำมากขึ้นด้วย
การรณรงค์ การออกข้อบังคับห้ามเผาขยะ ห้ามเผาป่า ช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ในระยะยาวแค่นี้อาจไม่พอ
เช่นเดียวกับเรื่องโลกร้อน ทุกคน(ในฐานะมนุษย์)ต้องลงมือทำ ทำในสิ่งที่สมควรจะทำ
เราคงไม่อยากได้ยินลูกหลานค่อนแคะว่า “…คนรุ่นคุณช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน…”

ย่ำค่ำในเมืองเชียงใหม่ รถราแน่นขนัด ทุกคนมุ่งจะไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงครอบครัว
รถมอเตอร์ไซค์ 2-3 คันความเร็วเกือบร้อย วิ่งฝ่าไฟแดงอย่างไม่กลัวใคร
รถกระบะบรรทุกวัยรุ่นเต็มคันบีบแตรไล่รถจักรยานที่ชายชราปั่นงกๆ เงิ่นๆ ขณะเลี้ยวเข้าซอยแคบ เมื่อพบหญิงสาวสองคนเดินสวนมา วัยรุ่นบนรถเป่าปากแซว

หนุ่มสาวที่รวมตัวกันเล่นน้ำอยู่ริมถนน เปิดเพลงเสียงดัง ตั้งวงดื่ม ตั้งวงดิ้น สมมติให้ถนนเป็นผับชั่วคราว
ความหฤหรรษ์กู่ตะโกนอยู่ข้างใน มีพลังกระตุ้นเร้าให้เล่นน้ำตลอดวัน ร้อง ดิ้น และเมาตลอดคืน ฮึกเหิมถึงขนาดกล้าทำในสิ่งที่ปกติไม่คิดทำ สนุกกันสุดเหวี่ยง สนุกจนลืมตาย
จนกระทั่ง ตายเพราะสนุกเสียจนลืมตัว
ความประมาทเดินตามความคึกคะนอง แต่ไม่มีใครมองเห็น

ข่าววิทยุรายงานอุบัติเหตุนับสิบรายในช่วงสงกรานต์ มีทั้งอุบัติเหตุจากคนขับเมาสุรา อุบัติเหตุจากการเล่นสาดน้ำทำให้รถมอเตอร์ไซค์ล้ม รถที่ตามหลังเบรคไม่ทันเลยวิ่งทับ  อุบัติเหตุจากรถโดยสารที่บรรทุกคนล้นคัน ตอนเข้าโค้งเลยเสียหลักพลิกคว่ำ
ฯลฯ
เจ้าหน้าที่ระดับสูงให้สัมภาษณ์ว่า ปีนี้ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุน่าจะน้อยกว่าปีที่แล้ว
“…ตายน้อยลง...”  คงเป็นเป้าหมายการรณรงค์ที่แปลกที่สุดในโลก
ไม่ตายเลยแม้แต่คนเดียว จะได้ไหม ?

แดดสาย
คนเก็บของเก่าปั่นซาเล้งคู่ชีพตระเวนหาของที่ถูกทิ้งแต่ยังมีราคา
คนกวาดถนนทำงานหนักขึ้นเพราะขยะมากขึ้น
คนเก็บขยะรู้หน้าที่ของตน หน้าที่ป้องกันไม่ให้ขยะท่วมเมือง
ขอทานกับขันสังกะสี ที่เดิมหน้าตลาด
ตำรวจจราจร ยืนเฝ้าที่สี่แยก อธิษฐานขออย่าให้มีอุบัติเหตุให้ต้องปวดกะโหลก
พนักงานร้านสะดวกซื้อ เปิดลังเบียร์เตรียมแช่ขาย
พนักงานร้านกาแฟที่เจ้าของร้านเห็นแก่ตัวระดับสิบดาว รำพึงถึงวันหยุดที่เจ้าของร้านแกล้งลืม และเงินพิเศษที่เจ้าของไม่เคยพูดถึง
คนเขียนหนังสือรีบปั่นต้นฉบับ ใบแจ้งหนี้ที่หนีบไว้ข้างหน้าต่างโบกตามแรงลม

ผมฟังเสียงจักจั่นกรีดปีก เหม่อมองฟ้าใส เมฆขาวชวนให้คิดถึงขนมสายไหมรสหวานแหลม และ น้ำแข็งไสใส่น้ำหวานราดนมข้นชุ่มฉ่ำ แต่ไม่มีความอยากออกจากบ้านแม้แต่น้อย
สำหรับบางคน มันไม่ต่างจากวันธรรมดา แค่วันหนึ่งในฤดูร้อน เหมือนกันทุกวัน

ความร้อน
น้ำ
คน


ผมคิดไปเรื่อยเปื่อย เรายังมีน้ำให้ดื่ม ให้ใช้ ให้สาดเล่นสนุกสนาน อย่างเหลือเฟือจนถึงวันไหน แล้วถ้าวันนั้นสิ้นสุดลง

วันหนึ่งในฤดูร้อน มันคงจะยาวนานเหลือเกิน

บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
“...ที่สุดแล้ว ปัญหาการเมืองรวมถึงปัญหาส่วนตัวทุกเรื่อง เมื่อสืบเสาะลงไปให้ลึกที่สุดจะพบว่า เป็นปัญหาทางจิตวิญญาณทั้งนั้น ทุกชีวิตเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ฉะนั้นปัญหาทุกอย่างของชีวิตจึงมีต้นตอมาจากจิตวิญญาณและจะแก้ไขได้ด้วยวิธีทางจิตวิญญาณ สงครามเกิดขึ้นเพราะใครบางคนมีสิ่งที่อีกคนอยากได้ นี่คือสิ่งที่ทำให้คนบางคนทำสิ่งที่อีกคนไม่อยากให้ทำความขัดแย้งทุกชนิดเกิดจากการวางความปรารถนาไว้ผิดที่สินติเดียวที่จะยั่งยืนได้ในโลกหล้าคือศานติภายในให้แต่ละคนค้นพบสันติในใจตน เมื่อนั้นเธอจะพบว่า เธอไม่ต้องพึ่งพาอะไรอีก...”(สนทนากับพระเจ้าเล่ม 2 หน้า 204)
ฐาปนา
เมื่อครั้งยังเด็ก ผมเคยเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีชะตากรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ทุกๆ อย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว ทุกๆ อย่างถูกลิขิตไว้หมดแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย พอเติบโตขึ้น ความเชื่อเรื่องชะตากรรมก็เปลี่ยนไป ผมเชื่อว่ามีแค่สามสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วและเราไม่อาจล่วงรู้ได้ นั่นคือ การเกิด คู่ครอง และการตาย ไม่นานมานี้ ผมมองชะตากรรมอีกแบบหนึ่ง ผมคิดว่า ชะตากรรม คือ สิ่งที่เข้ามาสู่ชีวิตเพื่อให้เราเลือก ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม และมันจะส่งผลต่อเรา เราจะเรียนรู้และเติบโตจากมัน เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปจากมุมมองที่เรามีต่อมัน ลองย้อนมองกลับไปถึงอดีตของเราแต่ละคน สิ่งที่เราเลือก เสมือนจุดๆ หนึ่ง…
ฐาปนา
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ลมหนาวคลายความยะเยือกลง เหลือเพียงลมเย็นโชยเฉื่อย เจือกลิ่นหอมของไม้เมืองหนาวหลายชนิดที่ยังคงผลิดอกแม้ฤดูหนาวสิ้นสุด แล้วเมืองเชียงใหม่ก็เข้าสู่ช่วงเวลาพิเศษของคนหนุ่มสาวอีกครั้ง“วันแห่งความรัก” (Valentines Day) ที่ใครหลายคนรอคอยอันที่จริง แม้จะเรียกกันว่า วัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป บริบทของสังคมเปลี่ยนไป ด้วยอานุภาพแห่งความรักและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความรัก จึงไม่อาจจำกัดให้วันแห่งความรักอยู่แค่เพียง วันที่ 14 ของเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น วันแห่งความรักได้ขยายช่วงเวลาเป็น สัปดาห์แห่งความรัก จนกระทั่งเป็น เดือนแห่งความรัก ในที่สุด นอกจากบรรยากาศแห่งความรัก…
ฐาปนา
ไม่ทราบว่าใครเป็นเหมือนผมบ้างหลังจากข้าวของพาเหรดกันขึ้นราคา แต่รายได้มันไม่ได้ขึ้นตามไปด้วย ทำให้ต้องปรับตัวทุกทางเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ถีงขั้นต้องใช้คำว่า “เพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้” นั่นละครับเพราะรายได้ที่ไม่แน่นอน ไม่มากมาย บวกกับสภาพหนี้ทั้งงานราษฎร์งานหลวง จากที่เคยตามใจปากตามใจตัวได้บ้างก็ต้องกลายมาเป็น “งด” แทบจะทุกรายการ จะกินขนมสักสิบยี่สิบบาทก็เปลี่ยนไปเป็นอาหารญี่ปุ่นสำหรับคนจน (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) ดีกว่านี่ก็แว่วว่า บะหมี่ซองเหล่านี้จะขึ้นราคากันแล้วเราคงต้องไปหาดินอร่อยๆ กินกันแทนข้าวแล้วกระมัง ก่อนที่ดินอร่อยๆ จะได้รับความนิยมขึ้นมา แล้วดินก็จะขึ้นราคาอีก
ฐาปนา
“...ยังไม่เคยเห็นธนาคารไหนในโลกให้ดอกเบี้ยร้อยเปอร์เซนต์ ฝากพันให้พัน ฝากหมื่นให้หมื่น ฝากล้านให้ล้าน ไม่เคยเห็น แต่ธรรมชาติจะให้มากกว่านั้นแทบทุกเรื่อง ถ้าเราฝากธรรมชาติ อย่างเช่น ถ้าเราเอาเงินสิบบาทไปฝากธนาคาร ถ้าเขาให้ดอกร้อยเปอร์เซนต์ สิ้นปีก็ได้สิบบาท รวมที่ฝากเป็นยี่สิบบาท คือสูงสุดแล้ว แต่ถ้าฝากธรรมชาติ ก็เหมือนฝากให้คนอื่นทำงาน สมมติต้นกล้วยห้าบาท ค่าปลูกกล้วยอีกห้าบาท รวมเป็นต้นทุนสิบบาท พอสิ้นปีได้ปลีกล้วยมาอันหนึ่ง เครือกล้วยอีกเครือหนึ่ง หน่อกล้วยอีกสองหน่อ อันนี้ไม่รู้ราคาเท่าไรแล้ว ถามว่ามันได้ร้อยเปอร์เซนต์ หรือกี่ร้อยเปอร์เซนต์…
ฐาปนา
กิจกรรมส่วนที่สองของโครงการ one year # 2 ของมูลนิธิที่นา ที่ผมเข้าร่วม คือกิจกรรมเรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ เริ่มต้นด้วยการประชุมแนะนำโครงการและให้ผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละคนวาดรูปพืช ที่ตนเองอยากปลูก หรือ สัตว์ที่ตนเองอยากเลี้ยง ซึ่งในช่วงเวลาสามเดือนของกิจกรรมส่วนที่สองนี้ ทุกคนจะต้องดูแลสิ่งมีชีวิตของตนเองสองวันต่อมา เราเดินทางไปชมการทำเกษตรกรรมอินทรีย์และการดูแลสุขภาพวิถีไทที่ “สวนสายลมจอย” อำเภอสันกำแพง พื้นที่ไม่ถึงสิบไร่แห่งนี้ ถูกปรับเปลี่ยนจากพื้นที่นามาเป็นร่องสวน และบ่อเลี้ยงปลา, เต็มไปด้วยมะพร้าว พืชผล พืชผัก และสมุนไพรนานาชนิดจากการทำนาทำสวนที่ใช้สารเคมีในอดีต…
ฐาปนา
หวังให้ประเทศเล็กที่มีพลเมืองน้อยมีอาหารพอที่จะเลี้ยงดูพลเมืองมากกว่าที่เขาต้องการถึงสิบเท่าร้อยเท่าให้ประชาชนเห็นคุณค่าของชีวิตและไม่ท่องเที่ยวพเนจรไปไกลถึงแม้จะมีพาหนะเรือและรถก็ไม่มีใครปรารถนาจะขับขี่ถึงแม้จะมีเกราะและอาวุธก็ไม่มีโอกาสจะใช้ให้กลับไปใช้การจดจำเรื่องราวด้วยการผูกเงื่อนแทนการเขียนหนังสือให้เขานึกว่าอาหารพื้นๆนั้นโอชะเสื้อผ้าอันสามัญนั้นสวยงามบ้านเรือนธรรมดานั้นสุขสบายประเพณีวิถีชีวิตนั้นน่าชื่นชมในระหว่างเพื่อนบ้านต่างเอาใจใส่ซึ่งกันและกันจนอาจได้ยินเสียงไก่ขันสุนัขเห่าจากข้างบ้านและตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตจะไม่มีใครได้เคยออกไปนอกประเทศของตนเลย(บทที่ 80 ประเทศในฝัน,…
ฐาปนา
หากให้ลองย้อนคิดดูว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไปเราได้ทำอะไรไปบ้าง คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะระบุให้ครบถ้วน เพราะการกระทำเป็นรูปธรรม มีผลลัพธ์ชัดเจน มีร่องรอยที่ติตตามได้แต่หากให้ลองย้อนคิดดูว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไป เราได้ "พูด" อะไรไปบ้าง ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ เว้นเสียแต่ว่า วันนั้นเราจะพูดน้อยจนนับคำได้คำพูด คือความคิดที่แสดงออกเพื่อสื่อสาร ซึ่งเนื้อแท้ของสิ่งที่ต้องการสื่อสารนั้นก็คือ ความรู้สึก ความรู้สึกคือภาษาของวิญญาณ เป็นหัวใจเป็นแก่นแกนกลางของการสื่อสารทุกชนิด แต่เราก็มักจะหลงลืมหัวใจของการสื่อสารนี้ไป และไปให้ค่ากับคำพูดเสียมากกว่าฉะนั้น หากเปลี่ยนคำถามเสียใหม่ว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไป…
ฐาปนา
 ผมเพิ่งจะไปเที่ยววัดพระธาตุดอยสุเทพมาครับ หลังจากไม่ได้ไปมาเป็นเวลาร่วมสิบปี  ครั้งสุดท้ายที่ขึ้นไปคือตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย พอย้ายมาอยู่ทางเหนือก็ไม่ได้โอกาสเสียที มาสบโอกาสเอาก็ตอนลมหนาวเริ่มมาเยือนนี่เอง ขับมอเตอร์ไซต์ขึ้นดอยตอนเช้า อากาศเย็นสบาย ใช้เวลาสัก 20-30 นาทีเท่านั้นวัดพระธาตุดอยสุเทพเป็นสถานที่อันดับแรกที่ใครต่อใครที่มาเชียงใหม่จะต้องมาเยือนมาชม มากราบไหว้ เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง ที่นี่จึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมายตลอดเวลา ยิ่งในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยว ดูเหมือนว่า ดอยสุเทพคือสถานที่แรกที่ทุกคนต้องมา…
ฐาปนา
คืนหนึ่งผมฝันถึงสถานที่หนึ่งซึ่งผมไม่เคยคาดคิดว่าจะฝันถึงสถานที่แห่งนั้นเป็นทางเดินที่ทอดยาว เชื่อมระหว่างอาคารหนึ่งไปสู่อาคารหนึ่งผมเดินไปตามทางนั้นด้วยความรู้สึกประหลาด ประหลาดเพราะรู้ว่านี่คือความฝัน แต่ทั้งรู้ว่าฝันผมกลับตื่นตื่นโพลงอยู่ในความฝัน ผมเดินไปตามทางด้วยความตื่นโพลง และรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในภาพวาดซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง แม้แต่ใบไม้แห้งก็แทบจะไม่ไหวติง ผมรู้จักสถานที่แห่งนั้นดี มันคือทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารพักอาศัยไปยังอาคารปฏิบัติรวมของศูนย์วิปัสสนาธรรมอาภา สถานที่ที่ผมไปอบรมวิปัสสนาเป็นเวลาสิบวันผมพยายามหาเหตุผลว่า ทำไมผมจึงฝันถึงสถานที่แห่งนั้น…
ฐาปนา
หากได้รับตั๋วเครื่องบินไป-กลับยุโรป พร้อมเงินติดกระเป๋าไปเที่ยวฟรีๆ 10 วัน เป็นใครย่อมไม่รอช้า ทั้งพร้อมจะเลื่อน – ลา – หยุด ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไป มันคงเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตที่น้อยคนจะมีโอกาส แต่ด้วยเงื่อนไขเดียวกันนี้ หากเปลี่ยนจากไปเที่ยวยุโรป 10 วัน เป็นการไป ‘วิปัสสนา’ 10 วันแทน หลายคนคงต้องคิดหนัก เราหมายใจจะท่องเที่ยวไปให้ทั่วประเทศ ทั่วทวีป ทั่วโลก จากทะเลลึกถึงภูเขาที่สูงที่สุด จากมหานครสู่ป่าดิบ จากกลางตลาดที่คราคร่ำด้วยผู้คนสู่ทะเลทรายเวิ้งว้าง แต่เรากลับไม่สนใจที่จะท่องเที่ยวสำรวจ ‘จิต’ ของเราเอง ... แปลกมั้ย ?ในฐานะชาวพุทธ ไม่ว่าจะกล่าวด้วยความภาคภูมิ…
ฐาปนา
ผมสมัครเข้าร่วมโครงการหนึ่งปี “ชุมชนทดลอง # 2” ของมูลนิธิที่นา [1] ด้วยความไม่รู้ กล่าวคือ ไม่รู้เรื่องวิปัสสนา ไม่รู้เรื่องศิลปะ และไม่รู้เรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ  ความไม่รู้นี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะถ้ารู้แล้วคงไม่ต้องมาเมื่อได้คุยกับทีมงานหลายท่านก่อนเริ่มโครงการ ก็ได้รับความห่วงใยเกรงว่า ผู้เข้าร่วมโครงการจะคาดหวังมากเกินไป เนื่องจาก the land ไม่ใช่ utopia ซึ่งผมก็เข้าใจ ขณะเดียวกันผมเองก็ห่วงใยเกรงว่า ทีมงานจะคาดหวังกับผู้เข้าร่วมโครงการมากเกินไปเช่นเดียวกันเพราะในความต่างของปัจเจกที่มาอยู่ร่วมกันภายใต้เงื่อนไขหลวมๆ นี้ หากผู้เข้าร่วมไม่มีความชัดเจนในจุดประสงค์ของตนเอง…