Skip to main content

ทั้งที่แค่เป็นเวลาบ่าย แต่บ้านของเราไม่มีแสงแดด
ก้อนเมฆหนาทึบขนาดมหึมาเคลื่อนเร็วเหมือนคลื่นน้ำ แผ่ความเย็นให้วันธรรมดาในฤดูฝนเย็น ให้จับใจขึ้นไปอีก

20_8_01a
 

แน่นอนว่าคนใต้ฟ้าแถวบ้านฉันไม่ได้กลัวเปียก แต่พวกเขากลัวน้ำท่วม แม้ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คนข้างบ้านฉันยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า “ที่นี่น้ำไม่ท่วม” เขาบอกว่าเราเป็นตำบลที่อยู่ตรงกลางระหว่างน้ำปิงของเชียงใหม่และลำพูน โดยมีจุดชลประทานอยู่เหนือหมู่บ้าน มีประตูน้ำ ดังนั้นหากน้ำมามากเกินไป ก็จะมีการปิดประตูน้ำ ที่บอกว่ากักเก็บน้ำได้มากโข ความจริงฉันเชื่อในระบบชลประทานหมู่บ้าน แต่สิ่งที่ฉันไม่เชื่อมั่นคือปริมาณน้ำฝนและอากาศที่แปรปรวนเกินไปต่างหาก

วันที่เทาทึมพาคนมาจุกตัวกันที่แผงขายผัก ต่างสนทนาสารพันเรื่อง วันนี้ฉันแค่แวะซื้อขนมชั้นเพียงห่อเดียวเพื่อรองท้องก่อนออกไปข้างนอก เสียงขี้เมาคนหนึ่งโวยวายอยู่ข้างถนนทำเอาฉันสำลักขนม บางคนทำตาโตมองไปยังชายเฒ่าผู้นั้น เขามีอะไรทุกข์ใจหรือหงุดหงิดก็ไม่มีใครรู้ได้ รู้แต่ว่าฉันกำลังสะอึก และมองหาตู้แช่เพื่อจะซื้อน้ำสักขวด


“หนูๆ ไปตักกินตรงนั้นก็ได้ลูก”

คุณยายชี้ไปยังกระติกสีเขียวเก่าคร่ำคร่า แต่บรรจุน้ำไว้เต็มพร้อมน้ำแข็ง บนฝามีกระบวยอันหนึ่งวางอยู่ เพื่อบอกว่าทุกคนสามารถใช้ตักกินได้


“ยายเอาน้ำมาบริการให้ฟรี เผื่อใครผ่านไปผ่านมาร้อนๆ จะได้แวะกิน”

กลิ่นน้ำยาอุทัยทิพย์แทรกซึมอยู่ในหยดน้ำ กินแล้วชื่นใจหายสะอึก หันมาอีกทีลุงขี้เมาเดินเข้ามาใกล้ทุกคนแล้ว

“พ่อมีอะไรไม่ทุกข์อกทุกข์ใจหรือ ถึงได้เมาแต่บ่ายแบบนี้”

มีคนถามเขา คนถูกถามทำตาปรือ นิ่งไปสักพักแล้วก็หัวเราะ
|
“ก็ไม่มีอะไร๊ กลุ้มใจเรื่องลูกเรื่องหลาน ลูกที่ส่งไปเรียนกรุงเทพ มันจะมีผัว”

“ฮา...เอ้อ...เอ้ย”

ใครไม่รู้หัวเราะมาก่อนเลย ตามด้วยประโยคอุทาน คำว่า “เอ้อเอ้ย” แสดงได้ทั้งความเอ็นดูและอาการถอนหายใจ


“ลูกสาวคนไหน แล้วมันอายุเท่าไหร่ ผัวมันเป็นใคร...
?!!
เสียงระงมถามปลุกวันหม่นหมองให้ตื่น ใครหลายคนมีท่าทีกระชับกระเฉง พวกเขาคงมีเรื่องสนทนาไปอีกนับชั่วโมง ฉันค่อยๆ แทรกตัวจากความวุ่นวายออกมา เดาว่าคุณยายคงไม่ได้ยินเสียงขอบคุณเบาๆ สำหรับน้ำดื่มชื่นใจนั้น

20_8_02

....................

“อ้าว รถยางรั่วมั้งพี่”

เด็กหนุ่มในปั๊มน้ำมันบอกฉัน ทันทีที่เข้าขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าเข้าไปจอด ฉันเพิ่งจะเอ่ยปากบอกเขาว่าเติมน้ำมัน 50 บาท แต่ชายหนุ่มส่ายหน้าบอกว่าน้ำมันหมดถัง และมันขาดตลาดมาตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้ว

“ตายแล้ว ทำยังไงดี น้ำมันหมด ยางรถรั่ว”
ฉันรำพึง ขมวดคิ้ว

“เอาน้ำมันขวดไหมพี่”

เขากระซิบเบาๆ ฉันทำหน้างงๆ มันคืออะไรกันนะน้ำมันขวด

แววตาของฉันคงแทนคำตอบ ในเมื่อขีดน้ำมันบอกไว้ว่าคงไปได้ถึงแค่ร้านหนังสือ แต่ขากลับไม่รู้จะถึงบ้านหรือเปล่า เพียงสักครู่ที่ชายหนุ่มหายไปจากหน้าร้าน เขาก็กลับมาพร้อมกับขวดมิรินด้าขนาดเล็กราคา 7 บาทแต่ในนั้นบรรจุน้ำมันสีแดง

“25 บาท พี่”
“ค่ะๆ”
ฉันตอบพลางรีบล้วงเงินออกมาให้ คำนวณด้วยสมองอันเฉื่อยช้าว่าขวดมิรินด้านี้ไม่น่าจะมีความจุถึงครึ่งลิตร ดังนั้นหากเติม 2 ขวดให้ครบ 1 ลิตร เป็นเงิน  50 บาท

“สงสัยปั๊มกักน้ำมันแล้วขายของเถื่อน”
เสียงใครบางคนแทรกมาแทนคำตอบ ทั้งดูไม่เกรงใจและไม่พอใจนัก เด็กหนุ่มในปั๊มทำตาขวางใส่ แต่การค้าก็จบลงด้วยดี ในเมื่อทุกคนที่เข้าปั๊มมาต้องการให้รถเคลื่อนต่อไปได้

บางครั้งในความเงียบ ก็มีความวุ่นวายอยู่อึดอัดแน่นอยู่

20_8_03


ฉันกลับมาวุ่นวายอยู่กับเจ้ายางรถแบนๆ ที่แฟ่บเหี่ยวติดพื้นถนน เด็กหนุ่มชี้ไปยังมุมข้างร้านเพื่อบอกให้เติมลมเสียก่อน
“เติมแล้วเดี๋ยวพี่ขี่ไปปะร้านถัดไปนะ ยางจะได้ไม่เสีย”


ฉันพยักหน้า ค้นหาเศษตังค์ค่าเติมลมจากกระเป๋าพัลวัล ได้ยินเสียงบอกตามมา

“เติมฟรีครับ”

ขอบคุณเขาแล้วก็มุ่งหน้าไปยังมุมเติมลม เม็ดฝนเริ่มโปรยมาบางเบา กระดาษข้างผนังที่เขียนเอาไว้ด้วยลายมือโย้เย้ว่า “ทุกท่านเติมลมได้ฟรีครับ แต่ช่วยกันปิดวาวด้วยเพราะค่าไฟแพง” เริ่มจะซีดจางมองไม่ค่อยเห็น แต่ใครหลายคนที่มุ่งตรงเข้ามาคงคุ้นชินและไม่ต้องอาศัยป้ายอีกต่อไปแล้ว

ฉันทำตามคำแนะนำ เมื่อเติมเสร็จก็ปิดวาวให้เขาเรียบร้อย แล้วมุ่งหน้าไปยังร้านปะยาง

เจ้าของร้านเป็นชาวจีนวัยกลางคนต้อนรับอย่างดี จากนั้นก็สั่งลูกน้องในร้านให้ปะยางด้วยเสียงอันห้าวเหี้ยม เด็กหนุ่มกุลีกจอทำงานแทบไม่มีเสียงพูด บรรยากาศในร้านมีพลังบางอย่างที่ชวนอึดอัด ฉันจึงพยายามนั่งรออย่างเงียบๆ ได้ยินแต่เสียงเฮียบ่นลูกจ้างเรื่องวางของเกะกะ วันหยุด วันมาสาย พร้อมลำเลิกบุญคุณที่พามาทำงาน มีข้าวให้กิน ตบท้ายด้วยการสอนให้ขยันขันแข็ง

เฮียหันมายิ้มให้ลูกค้าอย่างฉันเป็นระยะๆ ในขณะที่เขานั่งเอกเขนกดูโอลิมปิกไปพร้อมกับกินลำไยในถาดไม้

............

ปะยางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันวนรถย้อนกลับมาทางเดิม เพื่อไปทำธุระตามที่ตั้งใจเอาไว้

ผ่านหน้าแผงขายผัก ผู้คนยังชุลมุนคงเดิม หันไปยิ้มอีกครั้งให้กับคุณยายที่มองมา แต่ทันใดนั้นมอเตอร์ไซค์กันเก่าเจ้ากรรมก็เร่งไม่ขึ้น แผ่วลง แผ่วลง แล้วก็ค่อยๆ ดับลงไป

พยายามสตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติด ความรู้เรื่องเครื่องยนต์อันน้อยนิดแถมยังขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ค่อยคล่อง ทำให้ฉันต้องลงมาจูงมันอย่างช้าๆ ผ่านหน้าแผงขายผักไป ท่ามกลางสายตาหลายคู่

สงสัยวันนี้เป็นวันที่ดีเกินไป ฉันคิดแบบขำๆ ก็หลังจากฝนโปรยไม่กี่นาที ก็มีแดดจัดจ้านสาดทาบเข้ามา เสียงคนร้องโห่เบาๆ ให้กับแสงแดด ถ้าฝนหยุดตกเสียแต่วันนี้ น้ำก็คงจะไม่ท่วมบ้านเราแล้ว มีแต่เหงื่อที่ท่วมตัวอยู่ระหว่างการเข็นรถไปซ่อม

20_8_04

เอาเถอะ สงสัยวันนี้จะไม่ได้ออกไปไหนแล้ว อะไรที่คั่งค้างก็แค่เสียเวลาไปอีกหนึ่งวัน แม้ฝนจะตก พรุ่งนี้น้ำจะท่วม ราคาน้ำมันจะพุ่งพรวด หรือโลกจะวุ่นวายขึ้นไปเรื่อยๆ เรื่องที่คนคุยกันในแผงผัก ราคาหมู ราคาข้าวสาร ฉันรู้ว่าทุกอย่างกำลังกระทบกระเทือนและให้บทเรียนกับเราอยู่

แต่อย่างน้อย บนถนนสายนี้ ฉันก็ยังชื่นใจกับกระติกน้ำดื่มฟรี ลมยางไม่คิดเงิน เด็กหนุ่มในร้านปะยางที่ช่วยใส่น้ำมันเบรคแถมให้โดยไม่คิดค่าแรง

เรื่องเล็กๆ เหล่านี้กระมัง ที่ทำให้เรายังยิ้มได้ ในวันที่มีพายุแบบนี้.

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
ความชื้นแฉะเหล่านั้นคงไม่เป็นไรหรอกกระมัง หยดน้ำที่ทำให้พื้นดินที่สีดำขึ้นมากกว่าปกติ ดินที่นุ่มลง หญ้าที่ปกคลุมไปถ้วนทั่ว ฉันว่ามันชุ่มฉ่ำดีเหมือนกัน เมื่อฤดูฝนยาวกว่าที่เราคิด และปีนี้ ฝนก็ตกบ่อยกว่าปีที่ผ่านมา
วาดวลี
ท้องฟ้าอ้อยสร้อยแบบนั้นแหละ ที่คนแถวบ้านฉันรำพึงกันว่า เป็นความชุ่มฉ่ำต้อนรับเทศกาลเข้าพรรษา ฝนตกเอื่อยๆ พรมความชื้นไปทั่วถนนเล็กๆ ของหมู่บ้านเรา แต่ก็ไม่มีใครย่อท้อที่จะออกไปทำบุญ ดอกไม้ธูปเทียน อาหารคาวหวาน ข้าวตอกดอกไม้ คนข้างบ้านของฉันซึ่งเป็นครอบครัวที่ขยันทำงานไม่มีวันหยุด ก็ยังเอ่ยปากบอกว่า หยุดงานสักวันสองวันดีกว่า นอกจากไปทำบุญแล้ว ก็ยังได้หยุดอยู่บ้านกับครอบครัวอีกด้วย
วาดวลี
นานมาแล้วที่ฉันเคยได้ยินประโยคที่ว่า “แค่กระพริบตา โลกก็เปลี่ยน” แล้วเคยคิดเล่นๆ ว่า อะไรก็ตามที่เปลี่ยนไปแบบฉับพลัน หรือ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังนั้น คงไม่ได้เกิดบ่อยนัก และหากจะเกิดขึ้นจริง ทุกอย่างล้วนมีสาเหตุ มีสัญญาณเตือนมาก่อน อยู่ที่เราจะสังเกตหรือไม่ก็เท่านั้น แต่สำหรับเรื่องของพี่ชาย พอจะทำให้ฉันเชื่อได้บ้างว่า กับเรื่องบางเรื่องนั้น การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้มีอะไรมาเตือนล่วงหน้า
วาดวลี
 “รักของพี่กับเขาเริ่มตรงนี้”ตรงที่พี่ชายพูด มันคือถนนเส้นหนึ่ง ที่ตัดผ่านกลางระหว่างคูเมืองด้านในของเชียงใหม่ ไปยังชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่ง รอบๆ ถนนมีอาหารพื้นเมืองขาย มีส้มตำ ไก่ย่าง ร้านรวง บริษัท รวมทั้งวัดเก่าแก่สวยงาม   ฉันก้มลงไปมองตามนิ้วชี้ของเขา ที่ตรงนั้น คือฝาท่อกลมๆ เก่าๆ ปิดรอยโหว่ขี้เหร่ของถนนเอาไว้“ตรงนี้น่ะหรือ จุดเริ่มต้นของความรัก”ฉันทำหน้าไม่อยากเชื่อ พี่ชายยิ้มที่มุมปาก แล้วพยักหน้า “มีอยู่วันหนึ่ง พี่มาก้มๆ เงยๆ ผูกเชือกรองเท้าตรงนี้ ว่าจะเดินไปเยี่ยมเพื่อนที่ร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าข้างหน้านั่น ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินมา ผมยาว ผิวขาว หน้าตาก็ไม่สวยมาก…
วาดวลี
“บ้านพอมีที่เหลือว่างไหม” คนถามฉันเป็นชายหนุ่ม ที่นับนามว่าเป็น “เพื่อน” กัน มาได้ 4 ปีแล้ว ความจริง เขาเป็นเพื่อนของเพื่อน เมื่อรู้จักกันได้นับปี ก็ตัดสินใจได้ว่าเขาน่าจะเป็น “คนดี” พอในแบบที่ร้องขออะไร แล้วเราไม่กล้าที่จะไม่ให้ หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย หรือลำบากใจกันจริงๆ มาครั้งนี้ บนถ้อยคำอาวรณ์ น้ำเสียงเขาหม่นเศร้า แววตาก็หม่นเศร้า เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือ เช้าวันอาทิตย์ที่แสงแดดสายสาดส่องให้อบอุ่น บนฟ้ามีก้อนเมฆปุกปุยสีขาว ไหลไปมาบนพื้นสีคราม สวยยิ่งกว่าสวย แต่เขาคนนี้มีแววเหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มา
วาดวลี
 ๑. จะมี อะไรบ้าง ยั่งยืน ? กลางวัน กลางคืน แดด ฝน ลม หนาว มนุษย์ สมมุติ ชั่วคราว ว่าเรา ครอบครอง เพื่อ "ของเรา" ๒. ไยแย่งโอบกอดอนาคต แล้วเอ่ยกล่าวโทษวันเก่า ไยถก ไยเถียง เรื่องเงา ที่ลาลับ ล่วงกับ ดวงตะวัน 
วาดวลี
เชียงใหม่ในวันที่ฝนซา เพื่อนที่แวะมาเยี่ยมต่อสายบอกว่ากลับถึงบางกอกเรียบร้อยดีแล้ว เสียงอึกทึกครึกโครมที่รายล้อมตัวเธอบอกฉันว่า เธอไม่ได้อยู่ลำพังขณะคุยโทรศัพท์ ฉันแซวเธอเล่นๆ ว่ากำลังอยู่ในถิ่นอโคจรหรือเปล่านะ ก็เราคุยกันแทบจะไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงเพลง เสียงรถ และเสียงคนมากมายเธอหัวเราะชอบใจ แล้วตอบว่า "ใช่ ฉันอยู่ในถิ่นอะโคจร" แล้วย้อนสวนมาว่า"ก็ดีกว่าอยู่ในแดนสนธยาเหมือนเธอ"ดอกหญ้าในสวนหลังบ้าน รกร้าง แต่ก็สวยงามในความรู้สึก 
วาดวลี
ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางไปประเทศจีน เดินทางโดยยังไม่ได้ก้าวขาออกจากบ้านเสียด้วยซ้ำ มันเป็นการเดินทางด้วยจิตใจและจินตนาการ เมื่อน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งของฉัน เธอเดินทางไปเป็นครูสอนภาษาไทยอยู่ที่เมืองหนานหนิง มณฑลกวางสีตั้งแต่ 1 ปีที่แล้ว อีกไม่กี่เดือนก็จะย่างครบ 1 ปี เธอบอกว่าคิดถึงเมืองไทยเป็นที่สุด และนับจากวันนี้ไปอีกแค่ 8 วันเท่านั้นเธอก็จะได้กลับมาเหยียบผืนดินไทยอีกครั้งแล้ว“ดีใจนะที่ปลอดภัย”จำได้ว่าเอ่ยกับเธอด้วยประโยคนี้ หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศจีนไม่นาน ฉันนึกถึงใบหน้าของเธอ แก้มยุ้ยๆ  และแววตาวาบวับที่ระยิบระยับเสมอ…
วาดวลี
"เธอว่าเราจะไปไหน ?"ฉันถาม แล้วก็ก้าวขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ โดยไม่รอคำตอบมาถึง เสียงติดเครื่องของรถคันเก่าดั่งกระหึ่ม ยามบ่ายๆ ของวันหยุดที่เราควรจะได้เดินทางบ้าง แม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ หรือยามว่างอันน้อยนิด ฉันอยากออกไปสูดอากาศ ส่วนเธออยากขี่รถเล่นเงยหน้ามองท้องฟ้า วันนี้ไม่มีฝน แม้จะไม่มีแดด แต่ก้อนเมฆยามบ่ายขับเคลื่อนราวว่า อีกนานกว่าพายุจะคลุมเมืองไว้อีกครั้ง
วาดวลี
ท้องฟ้าในเมืองของเรายังสวยเสมอ โดยเฉพาะยามที่เพื่อนเก่าของฉันรีบจอดจักรยานไว้ข้างตลาด แล้วเดินเข้ามาจับมือ เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางทิศตะวันตก ก้อนเมฆพวกนั้นเลื้อยตัวมากอดภูเขาเอาไว้ มองไกลๆ เหมือนใครเอาผ้าขนหนูสีขาวนุ่มๆ ไปพันทิ้งไว้(เมืองเล็กๆ ของเราหลังฝนตก)
วาดวลี
ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ฉันและแม่มีกฎร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งว่า หากไปเยี่ยมบ้านใครแล้วเขาให้ขนมกิน ก็ให้ยกมือไหว้ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็นต้องรับไปเสียทั้งหมด แม่เคยเปรยๆ ว่า ถึงครอบครัวเราจะยากจนแต่แม่สามารถทำอาหารอร่อยๆ ให้กินได้ทุกมื้อ อีกอย่างก็คือบางคนเขาไม่ได้ตั้งใจทำเผื่อเราหรอก แต่เป็นการให้โดยมารยาทเท่านั้น หากรับไว้เสียหมดก็กลายเป็นการรบกวนเขาไปก็เป็นได้แม้แม่จะบอกแบบนี้ แต่ฉันและแม่ก็รู้ดีว่า ผู้คนรอบตัวที่ใจดีมีน้ำใจกับเรานั้นมีมากมายเพียงใด พ่อเล่าว่าฉันเป็นเด็กอ้วนแก้มยุ้ย ใครเห็นก็เอ็นดู มักเรียกให้ไปกินขนมอยู่ร่ำไป ดังนั้นข้อตกลงของฉันกับแม่ จึงกลายเป็นว่า หากมีคนยื่นให้…
วาดวลี
ฝนยังโปรยลงมาไม่ขาดสาย แม้จะเพิ่งผ่านเดือนเมษายนมาได้ไม่เท่าไหร่  ท้องทุ่งฉ่ำไปด้วยฝนและดูจะมากไปจนน่าวิตก ลานกว้างหน้าบ้านของยายปลีวันนี้จึงไม่มีเด็กๆ มาวิ่งเล่น แต่หลบฝนกันไปวาดรูปเล่นอยู่ตรงชานเรือน หลานอีกคนทำหน้าตาเบื่อเพราะอยากออกไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อน นี่เป็นวันธรรมดาที่อาจมีทั้งความหมายหรือไม่มี สำหรับยายปลี เพราะหลังจากแกเก็บผ้าเข้าไปตากใต้ยุ้งข้าวเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมานั่งอยู่ประจำที่ อยู่กับเครื่องทอด้ายแบบสมัยโบราณ มันทำจากไม้ และไม่รู้ว่ามันมีอายุมาแล้วเท่าไหร่