Skip to main content

ทั้งที่แค่เป็นเวลาบ่าย แต่บ้านของเราไม่มีแสงแดด
ก้อนเมฆหนาทึบขนาดมหึมาเคลื่อนเร็วเหมือนคลื่นน้ำ แผ่ความเย็นให้วันธรรมดาในฤดูฝนเย็น ให้จับใจขึ้นไปอีก

20_8_01a
 

แน่นอนว่าคนใต้ฟ้าแถวบ้านฉันไม่ได้กลัวเปียก แต่พวกเขากลัวน้ำท่วม แม้ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คนข้างบ้านฉันยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า “ที่นี่น้ำไม่ท่วม” เขาบอกว่าเราเป็นตำบลที่อยู่ตรงกลางระหว่างน้ำปิงของเชียงใหม่และลำพูน โดยมีจุดชลประทานอยู่เหนือหมู่บ้าน มีประตูน้ำ ดังนั้นหากน้ำมามากเกินไป ก็จะมีการปิดประตูน้ำ ที่บอกว่ากักเก็บน้ำได้มากโข ความจริงฉันเชื่อในระบบชลประทานหมู่บ้าน แต่สิ่งที่ฉันไม่เชื่อมั่นคือปริมาณน้ำฝนและอากาศที่แปรปรวนเกินไปต่างหาก

วันที่เทาทึมพาคนมาจุกตัวกันที่แผงขายผัก ต่างสนทนาสารพันเรื่อง วันนี้ฉันแค่แวะซื้อขนมชั้นเพียงห่อเดียวเพื่อรองท้องก่อนออกไปข้างนอก เสียงขี้เมาคนหนึ่งโวยวายอยู่ข้างถนนทำเอาฉันสำลักขนม บางคนทำตาโตมองไปยังชายเฒ่าผู้นั้น เขามีอะไรทุกข์ใจหรือหงุดหงิดก็ไม่มีใครรู้ได้ รู้แต่ว่าฉันกำลังสะอึก และมองหาตู้แช่เพื่อจะซื้อน้ำสักขวด


“หนูๆ ไปตักกินตรงนั้นก็ได้ลูก”

คุณยายชี้ไปยังกระติกสีเขียวเก่าคร่ำคร่า แต่บรรจุน้ำไว้เต็มพร้อมน้ำแข็ง บนฝามีกระบวยอันหนึ่งวางอยู่ เพื่อบอกว่าทุกคนสามารถใช้ตักกินได้


“ยายเอาน้ำมาบริการให้ฟรี เผื่อใครผ่านไปผ่านมาร้อนๆ จะได้แวะกิน”

กลิ่นน้ำยาอุทัยทิพย์แทรกซึมอยู่ในหยดน้ำ กินแล้วชื่นใจหายสะอึก หันมาอีกทีลุงขี้เมาเดินเข้ามาใกล้ทุกคนแล้ว

“พ่อมีอะไรไม่ทุกข์อกทุกข์ใจหรือ ถึงได้เมาแต่บ่ายแบบนี้”

มีคนถามเขา คนถูกถามทำตาปรือ นิ่งไปสักพักแล้วก็หัวเราะ
|
“ก็ไม่มีอะไร๊ กลุ้มใจเรื่องลูกเรื่องหลาน ลูกที่ส่งไปเรียนกรุงเทพ มันจะมีผัว”

“ฮา...เอ้อ...เอ้ย”

ใครไม่รู้หัวเราะมาก่อนเลย ตามด้วยประโยคอุทาน คำว่า “เอ้อเอ้ย” แสดงได้ทั้งความเอ็นดูและอาการถอนหายใจ


“ลูกสาวคนไหน แล้วมันอายุเท่าไหร่ ผัวมันเป็นใคร...
?!!
เสียงระงมถามปลุกวันหม่นหมองให้ตื่น ใครหลายคนมีท่าทีกระชับกระเฉง พวกเขาคงมีเรื่องสนทนาไปอีกนับชั่วโมง ฉันค่อยๆ แทรกตัวจากความวุ่นวายออกมา เดาว่าคุณยายคงไม่ได้ยินเสียงขอบคุณเบาๆ สำหรับน้ำดื่มชื่นใจนั้น

20_8_02

....................

“อ้าว รถยางรั่วมั้งพี่”

เด็กหนุ่มในปั๊มน้ำมันบอกฉัน ทันทีที่เข้าขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าเข้าไปจอด ฉันเพิ่งจะเอ่ยปากบอกเขาว่าเติมน้ำมัน 50 บาท แต่ชายหนุ่มส่ายหน้าบอกว่าน้ำมันหมดถัง และมันขาดตลาดมาตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้ว

“ตายแล้ว ทำยังไงดี น้ำมันหมด ยางรถรั่ว”
ฉันรำพึง ขมวดคิ้ว

“เอาน้ำมันขวดไหมพี่”

เขากระซิบเบาๆ ฉันทำหน้างงๆ มันคืออะไรกันนะน้ำมันขวด

แววตาของฉันคงแทนคำตอบ ในเมื่อขีดน้ำมันบอกไว้ว่าคงไปได้ถึงแค่ร้านหนังสือ แต่ขากลับไม่รู้จะถึงบ้านหรือเปล่า เพียงสักครู่ที่ชายหนุ่มหายไปจากหน้าร้าน เขาก็กลับมาพร้อมกับขวดมิรินด้าขนาดเล็กราคา 7 บาทแต่ในนั้นบรรจุน้ำมันสีแดง

“25 บาท พี่”
“ค่ะๆ”
ฉันตอบพลางรีบล้วงเงินออกมาให้ คำนวณด้วยสมองอันเฉื่อยช้าว่าขวดมิรินด้านี้ไม่น่าจะมีความจุถึงครึ่งลิตร ดังนั้นหากเติม 2 ขวดให้ครบ 1 ลิตร เป็นเงิน  50 บาท

“สงสัยปั๊มกักน้ำมันแล้วขายของเถื่อน”
เสียงใครบางคนแทรกมาแทนคำตอบ ทั้งดูไม่เกรงใจและไม่พอใจนัก เด็กหนุ่มในปั๊มทำตาขวางใส่ แต่การค้าก็จบลงด้วยดี ในเมื่อทุกคนที่เข้าปั๊มมาต้องการให้รถเคลื่อนต่อไปได้

บางครั้งในความเงียบ ก็มีความวุ่นวายอยู่อึดอัดแน่นอยู่

20_8_03


ฉันกลับมาวุ่นวายอยู่กับเจ้ายางรถแบนๆ ที่แฟ่บเหี่ยวติดพื้นถนน เด็กหนุ่มชี้ไปยังมุมข้างร้านเพื่อบอกให้เติมลมเสียก่อน
“เติมแล้วเดี๋ยวพี่ขี่ไปปะร้านถัดไปนะ ยางจะได้ไม่เสีย”


ฉันพยักหน้า ค้นหาเศษตังค์ค่าเติมลมจากกระเป๋าพัลวัล ได้ยินเสียงบอกตามมา

“เติมฟรีครับ”

ขอบคุณเขาแล้วก็มุ่งหน้าไปยังมุมเติมลม เม็ดฝนเริ่มโปรยมาบางเบา กระดาษข้างผนังที่เขียนเอาไว้ด้วยลายมือโย้เย้ว่า “ทุกท่านเติมลมได้ฟรีครับ แต่ช่วยกันปิดวาวด้วยเพราะค่าไฟแพง” เริ่มจะซีดจางมองไม่ค่อยเห็น แต่ใครหลายคนที่มุ่งตรงเข้ามาคงคุ้นชินและไม่ต้องอาศัยป้ายอีกต่อไปแล้ว

ฉันทำตามคำแนะนำ เมื่อเติมเสร็จก็ปิดวาวให้เขาเรียบร้อย แล้วมุ่งหน้าไปยังร้านปะยาง

เจ้าของร้านเป็นชาวจีนวัยกลางคนต้อนรับอย่างดี จากนั้นก็สั่งลูกน้องในร้านให้ปะยางด้วยเสียงอันห้าวเหี้ยม เด็กหนุ่มกุลีกจอทำงานแทบไม่มีเสียงพูด บรรยากาศในร้านมีพลังบางอย่างที่ชวนอึดอัด ฉันจึงพยายามนั่งรออย่างเงียบๆ ได้ยินแต่เสียงเฮียบ่นลูกจ้างเรื่องวางของเกะกะ วันหยุด วันมาสาย พร้อมลำเลิกบุญคุณที่พามาทำงาน มีข้าวให้กิน ตบท้ายด้วยการสอนให้ขยันขันแข็ง

เฮียหันมายิ้มให้ลูกค้าอย่างฉันเป็นระยะๆ ในขณะที่เขานั่งเอกเขนกดูโอลิมปิกไปพร้อมกับกินลำไยในถาดไม้

............

ปะยางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันวนรถย้อนกลับมาทางเดิม เพื่อไปทำธุระตามที่ตั้งใจเอาไว้

ผ่านหน้าแผงขายผัก ผู้คนยังชุลมุนคงเดิม หันไปยิ้มอีกครั้งให้กับคุณยายที่มองมา แต่ทันใดนั้นมอเตอร์ไซค์กันเก่าเจ้ากรรมก็เร่งไม่ขึ้น แผ่วลง แผ่วลง แล้วก็ค่อยๆ ดับลงไป

พยายามสตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติด ความรู้เรื่องเครื่องยนต์อันน้อยนิดแถมยังขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ค่อยคล่อง ทำให้ฉันต้องลงมาจูงมันอย่างช้าๆ ผ่านหน้าแผงขายผักไป ท่ามกลางสายตาหลายคู่

สงสัยวันนี้เป็นวันที่ดีเกินไป ฉันคิดแบบขำๆ ก็หลังจากฝนโปรยไม่กี่นาที ก็มีแดดจัดจ้านสาดทาบเข้ามา เสียงคนร้องโห่เบาๆ ให้กับแสงแดด ถ้าฝนหยุดตกเสียแต่วันนี้ น้ำก็คงจะไม่ท่วมบ้านเราแล้ว มีแต่เหงื่อที่ท่วมตัวอยู่ระหว่างการเข็นรถไปซ่อม

20_8_04

เอาเถอะ สงสัยวันนี้จะไม่ได้ออกไปไหนแล้ว อะไรที่คั่งค้างก็แค่เสียเวลาไปอีกหนึ่งวัน แม้ฝนจะตก พรุ่งนี้น้ำจะท่วม ราคาน้ำมันจะพุ่งพรวด หรือโลกจะวุ่นวายขึ้นไปเรื่อยๆ เรื่องที่คนคุยกันในแผงผัก ราคาหมู ราคาข้าวสาร ฉันรู้ว่าทุกอย่างกำลังกระทบกระเทือนและให้บทเรียนกับเราอยู่

แต่อย่างน้อย บนถนนสายนี้ ฉันก็ยังชื่นใจกับกระติกน้ำดื่มฟรี ลมยางไม่คิดเงิน เด็กหนุ่มในร้านปะยางที่ช่วยใส่น้ำมันเบรคแถมให้โดยไม่คิดค่าแรง

เรื่องเล็กๆ เหล่านี้กระมัง ที่ทำให้เรายังยิ้มได้ ในวันที่มีพายุแบบนี้.

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
1.อากาศยามเช้าหนาวไอเย็นแผ่วเบา พัดมาจากภูเขาสูงผ่านทางไกล ใกล้รุ่งฝ่าหมอกคลุ้งสีเทา-เทา
วาดวลี
ฉันกับเพื่อนหย่อนก้นบนเก้าอี้ไม้ริมถนนของเมืองเชียงของ เราสั่งชานม ชามะนาว และกาแฟมากินให้สดชื่นหลังจากนั่งรถมาเป็นชั่วโมง มองดูผู้คนมาเยือนสวนทางกับเจ้าของท้องถิ่นไปมาในวันหยุด"เรากำลังจะไปที่ไหนต่อ"เพื่อนร่วมทางถามฉัน ฉันเหลือบมองเขา ไม่ตอบ แล้วคว้าหนังสืออ่านเล่นในร้านกาแฟมาเปิดอ่าน เราเพิ่งมาถึง แล้วจะไปไหน เธอถามแปลกจัง ฉันอยากตอบเล่นๆ ว่า เดี๋ยวจะพาเธอไปลงว่ายน้ำโขงเล่นก็แล้วกัน"เราต้องไปกินปลาบึกไหม?"เพื่อนถาม ฉันเกือบสำลักชามะนาว “เธออยากกินเหรอ”ฉันถามกลับ เขาทำหน้าไม่ถูก แต่แววตาลังเล “ก็มีคนบอกว่ามาเชียงของต้องกินปลาบึก”ฉันอมยิ้ม ฉันก็ได้ยินแบบนั้นเหมือนกัน แต่เท่าที่รู้…
วาดวลี
กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า กำลังถูกประทับด้วยตราปั๊มสีแดงเพื่อบอก “อนุญาต” ให้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปยังพม่า ผู้คนจำนวนนับร้อยนับพัน ต่อแถวกันอยู่ที่ท่าขี้เหล็กในเขตแม่สายด้วยใบหน้ารอคอย ตั้งแต่ขั้นตอนการทำบัตร ชำระเงิน ตรวจเอกสาร จนกระทั่งพวกเขาจะได้ข้ามพ้นประตูด่านของเจ้าหน้าที่เมื่อนั้น ใบหน้าที่บึ้งตึงก็จะเปลี่ยนเป็น “โล่งอก”ฉันและเพื่อนยืนรออยู่ที่ทำบัตรเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ขณะที่เพื่อนกำลังวาดฝันว่าเขาจะซื้ออะไรบ้างจากฝั่งพม่า ไม่ทันที่จะอ้าปากพูดว่า “เกาะกันไว้นะเดี๋ยวหลง” เพราะคนเยอะขนาดจนมีประกาศหาคนตลอดเวลา ไม่ทันไรฉันก็ถูกดันจากคนข้างหลังให้ขยับเข้าไปข้างหน้า ทั้งที่แถวมันเต็มแล้ว…
วาดวลี
1ฤดูหนาวไม่ได้มาเยือนอย่างเงียบเชียบอีกแล้ว มันแสดงตัวตน ชัดเจน ผ่านอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า รอยน้ำค้าง ประทับตรงนั้นตรงนี้  แม้กระทั่งบนขนตาของเธอ  หญิงวัยกลางคนที่ตื่นแต่เช้า ปั่นจักรยานไปตลาด กลับมาพร้อมกับข้าวของในมือที่มากจนจักรยานแทบเสียหลัก เธอจอดรถไว้ข้างๆ รั้ว หิ้วของ วางลง และยกมือเช็ดน้ำค้างบนขนตา2“หนาวมากไหม”เธอเอ่ยถามอย่างอาทร ฉันพยักหน้า อดคิดถึงแม่จริงๆ ของตัวเองไม่ได้ ฉันคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ หากจะคิดถึงฤดูหนาวและการอยู่ร่วมกัน  แค่คิดถึงการซุกตัวใน “ผ้าห่มขี้งา” ร่วมกับแม่ แค่นั้นก็เป็นสุขแล้ว หน้าหนาวพ่อจะให้ฉันนอนตรงกลาง เพื่อให้อุ่นมากพอ …
วาดวลี
1. ผืนดินปกคลุมไปด้วยต้นหญ้า และเป็นต้นหญ้าชนิดที่มีดอกสีขาว ฉันชะงักจอบเสียบที่เตรียมมา ด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อดอกหญ้าที่พากันบานสะพรั่งอวดสายลมหนาว ก็มันสวยขนาดนี้ ฉันจะขุด ตัดมันไปได้อย่างไรกันวางจอบลง แล้วนั่งยองๆ ฉันคว้ากล้องถ่ายรูปมาถ่ายเก็บเอาไว้ นอกจากดอกหญ้าที่บานเต็มที่แล้ว ยังมีต้นกล้าที่เพิ่งถือกำเนิด มันน่ารักดีจัง ฉันยิ้มให้กับต้นหญ้า แม้จะเคาะเขินคนข้างๆ อยู่บ้างที่ทำตัวอ่อนหัดแบบนี้ แต่เขาคงเข้าใจ คนโหยหาผืนดินอย่างฉัน“หญ้าก็คือหญ้า ถ้าไม่ตัดมันทิ้ง เราจะปลูกผักได้ยังไง”เธอช่วยเตือนสติ ฉันกลับมาโลกความจริง นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องถางมันทิ้ง “รกจะตาย” เธอว่า…
วาดวลี
ฤดูหนาวยามสาย แสงตะวันทอดผ่านเรือนร่างของผู้คนและตกกระทบเป็นผืนเงา อยู่ตรงนั้นตรงนี้บนถนน ชักชวนให้นักท่องเที่ยวบางคนอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเงาตัวเองเอาไว้ดูเล่น ฉันเองก็เช่นกัน ย้ายระดับสายตาไปอยู่บนผืนดิน แสงเงาจากผู้คนมากมาย มุ่งหน้าไปยังพระธาตุดอยสุเทพ นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ยิ้มสรวลหยอกล้อ ขอถ่ายรูปคู่กับบันได ประตู ป้าย และร้านค้า ดูเหมือนจะมีแต่เสียงหัวเราะ ตื่นเต้นและความสุข ปนเปื้อนเศษเสี้ยวของความหงุดหงิดรำคาญเล็กน้อย รอยยิ้มกว้างๆ ปรากฏบนใบหน้าของแม่ค้าหลายคน เงินสดถูกเก็บเข้ากระเป๋า ถุงพลาสติกถูกดึงขึ้น ใส่ของ ดึงขึ้นและใส่ของ…
วาดวลี
“หนาวไหมครับ”ชายแปลกหน้าเอ่ยถาม ขณะหย่อนตัวลงนั่งบนแคร่ไม้ เราสองคนอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าของใครสักคนหนึ่ง ฉันอยากเรียกแบบนั้น ทั้งๆ ที่มันคือสถานีรถโดยสารที่จะเดินทางจากตัวเมืองลำปางไปยังแจ้ซ้อนขณะรถเข็นคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาเรา ฉันตอบผู้ชายคนนั้นสั้นๆว่า “หนาวนะ” เขาอมยิ้ม กระชับเสื้อให้แน่นขึ้นแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม ฉันไม่สนใจเขานัก เอาแต่ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า เพื่อจะหยิบมาดูนาฬิกาว่าตอนนี้คือกี่โมงแล้ว แต่ยังหาโทรศัพท์ไม่เจอ ก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาขนาดใหญ่เกาะติดอยู่บนต้นไม้ ดูเหมือนจะเป็นต้นมะขาม มันสูงใหญ่ให้ร่มเงาเป็นอย่างดีแก่ท่ารถแห่งนี้…
วาดวลี
ท่ามกลางความมืดของผืนฟ้า  พระจันทร์ดวงกลมโตอวดแสงนวลอยู่บนนั้น แม้คืนนี้มองไม่เห็นดาว  แต่พระจันทร์คงไม่เหงา  ก็บนท้องฟ้า เต็มไปด้วยดวงไฟสีส้มนับร้อย นับพันดวง วาววับ จนไม่อาจนับจำนวนได้ โคมไฟ หรือ ว่าวไฟ ในเทศกาลลอยกระทง ต่างลอยขึ้นไปตามแรงลม และความร้อนจากเปลวไฟเล็กๆ ที่ห้อยอยู่ข้างท้าย แม้คนจุดจะมีทั้งชาวเมืองเชียงใหม่ หรือนักท่องเที่ยวจากเมืองอื่น แต่สิ่งที่ฉันได้รู้ในวันนี้ก็คือ สำหรับคนบางคนแล้ว ดาวสีส้มบางดวงนั้นขึ้นไปตามแรงศรัทธาและความเชื่อที่สั่งสมมาตลอดชีวิต“ได้เวลาจุดไฟกันแล้วนะ” ชายชราคนหนึ่งคนตะโกนบอกหลานชาย หลังจากเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้…
วาดวลี
“พ่อเคยคิดจะย้ายไปอยู่ที่อื่นไหม?”ฉันเคยเอ่ยถามชายชราไว้นานแล้ว ไม่จริงจังในคำพูด และไม่มีประเด็นอะไรมากนัก ฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร ในวันรื้อถอนบ้านเก่าที่ผุพังเพราะน้ำท่วม จำเป็นต้องสร้างหลังใหม่มาแทนที่ ............ที่ดินของเราเป็นผืนยาวติดแม่น้ำเล็กๆ ซื้อมาด้วยเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของแม่ ราคาไม่กี่พันบาท ฉันย้ายมาอยู่ในตอนที่อายุ 7 ขวบ  เวลาต่อมา คืนหนึ่งแม่ก็เสียชีวิตในบ้านหลังนี้ ตายจากไปเหลือเพียงเถ้าถ่าน ร่างกายถูกเผากลางแดดด้วยฟืนกองโต จำได้ว่าหลังจากคืนเผาศพแม่ไม่นานนัก บ้านทั้งหลังเงียบสงบ…
วาดวลี
ผู้หญิงคนนั้นกำลังฉุน ส่วนหญิงสาวอีกคนในชุดกระโปรงสีชมพู มีท่าทางไม่สบายใจอารมณ์ขุ่นเคืองปะทุในแดดระอุของยามบ่าย  ขณะนั้น  ฉันฝ่าไอร้อนมาจอดรถหน้าร้านค้าของนวลเมื่อวานนี้ฉันขอให้เธอช่วยรื้อลังเก่าๆ ใบใหญ่ๆ ไว้ให้  เพื่อซื้อไปใส่ของขนย้ายบ้านนวลกำลังยุ่ง ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก แต่ก็ยังมีแก่ใจกระซิบบอกด้วยเสียงอ่อนโยนเช่นเคย“รอหน่อยนะ แม่กำลังหาลังใบใหญ่ให้ ไม่ได้ลืม เดี๋ยวคงเอาลงมา”“แม่เหรอ?”ฉันทวนคำ นวลกำลังพูดถึงใครกันนะ ก็เธอจากบ้านมาไกลจากพม่า มาทำงานในร้านขายของชำ ทุกทีนวลเรียกเจ้าของร้านผู้ชายว่า เฮีย และเรียกพี่ผู้หญิงว่า เจ๊ ฉันยังไม่ได้ถาม แต่เธอคงจะดูแววตาออก…
วาดวลี
เพิงผักสดหน้าวัดในตอนเช้า กำลังแปรสภาพเป็นร้านเหล้าในยามค่ำ ตะวันยังไม่แตะดินดี เคาน์เตอร์ไม้เล็กๆ ก็มีลูกค้ามารอแล้วเกือบเต็มร้านชายวัยกลางคนกระดกเหล้าขาวจากแก้วทรงเหลี่ยมอยู่หน้าเพิงป้าแดง  ไม่ยี่หระต่อสายตาเมียที่ยืนค้อนอยู่ด้านหลังเธอยืนเท้าสะเอวเหมือนแม่บ้านในการ์ตูน มองสามีเงียบๆ แล้วก็เอ่ยด้วยเสียงห้วนสั้น“กระดกเข้าไป บอกว่าให้กินข้าวรองท้องก่อน ป้าแดงเอาแกงอ่อมมาถ้วยหนึ่ง”เธอไม่ได้สั่งกลับบ้าน แต่สั่งให้สามี ป้าแดงตักแกงจากหม้อใส่ชาม วางไว้บนเคาน์เตอร์ไม้ แล้วรับเงินจากผู้เป็นภรรยา เธอจากไปพร้อมผักกาดกำใหญ่ในมือ“เดี๋ยวข้ากลับไปกินข้าว” “อือ”สามีภรรยาตอบกันห้วนสั้น…
วาดวลี
๑.ฤดูมาเร็ว ราวกระพริบตารู้สึกดังว่า เพิ่งผ่านเมื่อวานฝนหมาดถนน เพิ่งโดนแดดทักลมหนาวก็พัดมาจุมพิตผ่านแม่น้ำสีเหลืองลำเลียงเศษไม้เผลอมองวูบไหวหัวใจสะท้านฝนพอหรือยัง? หรือคั่งค้างอยู่รอการพรั่งพรู ไหลมาท่วมบ้าน  ๒.ต้นข้าวสีเขียว เคยซีดเซียวยับนิ่งงันสดับ กับทางน้ำผ่านเจ้าชูช่อใหม่ ในตุลาฤดูไม่อาจหยั่งรู้ หรือไม่คิดสะท้าน?ผีเสื้อกลัวไหม ไอหนาวจะมาหอบหมอกห่มฟ้า พัดป่าแห้งกร้านควันคลุ้งคลุมเมือง กลายเป็นเรื่องเล่าไฟฟอนแผดเผา เราไม่อาจต้าน  ๓.ไปหมดแล้วหรือ ที่คือฝันร้ายปัดกวาดบ้านใหม่ ไว้รอเพื่อนบ้านกลางคืนสงบ รอพบวันพรุ่งหวังเห็นสายรุ้ง ลา-วสันต์กาลรอยฝนกันยา ตุลารำลึกลบความคิดนึก…