Skip to main content
 

ฉันเพิ่งยอมรับความล้มเหลวอย่างหนึ่งของตัวเองในการปลูกต้นไม้
นั่นคือ ปลูกต้นกุหลาบแล้วไม่มีดอก

ตอนเด็กๆ พ่อของฉันคือคนสอนปลูกต้นไม้คนแรก พ่อขุดดินให้เป็นหลุม หย่อนต้นกล้าลงไป กลบดินแล้วรดน้ำ พ่อบอกด้วยสายตาโอ้อวดว่านี่ไง มันง่ายจะตายไป ที่เหลือเป็นหน้าที่ของดิน น้ำ และแดด จากนั้นให้ฉันทำเหมือนกัน

สิบกว่าวันผ่านไป พ่อและฉันยืนมองต้นกุหลาบของเราที่กึ่งรอดกึ่งตาย กิ่งใบเหี่ยวแห้ง ฉันจึงถามพ่อว่า "คนมือร้อน มือเย็นนี่อยู่มีจริงไหม"

พ่อเดินไปนั่งบนแคร่ มวนยาเส้น จุดสูบด้วยแววตานักคิด แล้วตอบว่า "ก็จริงอยู่นะ แต่มือเป็นอาวุธของใจ คนใจเย็นปลูกอะไรก็เป็น ใจร้อนก็ปลูกแล้วตาย"
พ่อพูดแล้วหัวเราะเบาๆ ดังนั้นคนหัวเราะที่ดังกว่าก็คือแม่ของฉัน

แม่เดินทำแววตาเจ้าเล่ห์มาแต่ไกล บอกกับฉันว่า ไปเชื่ออะไรกับพ่อ ก็พ่อน่ะปลูกต้นไม้ตายมานักต่อนักแล้ว ฉันเกือบสำลักน้ำในแก้วพลาสติกสีชมพูหมองๆ นั้น  เพิ่งรู้ตัวว่าถูกพ่อหลอก

สวนกุหลาบของฉันในวัยเด็ก งามสะพรั่ง มีดอกหลากสีสัน บางต้นถูกติดตาให้กลายเป็นหลายๆ สี บ้านไม้หลังเล็กมีชีวิตชีวาเพราะดอกไม้เหล่านั้น ซึ่งล้วนเป็นฝีมือการปลูกของแม่ แม่ปลูกอะไรก็ขึ้นและงอกงาม ไม่ว่าจะเด็ดกิ่งไม้มาจากสวนของใคร รูดเมล็ดแห้งๆ ที่ใกล้หล่น หรือกระทั่งเก็บฝักอะไรสักอย่างบนผืนดินมาหย่อนไว้ ไม่นานก็เติบโต

พ่อหัวเราะแหะๆ แล้วบอกด้วยเสียงเบาๆ ว่า
"คนเรามีสิ่งที่ทำได้ดี และทำได้ไม่ดี ไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าพ่อปลูกต้นไม้ได้งอกงามดีไปเสียหมด แม่ก็ไม่มีอะไรปลูกน่ะซี"


นี่แหละพ่อของฉัน วิธีคิดที่แสนร่าเริงและมองข้ามความล้มเหลว เป็นต้นว่า พ่อทำให้เราไม่มีอาหารเย็นเพราะชวนฉันเล่นปล่อยปลาที่แม่จับมาได้จนหมดถัง พ่อปีนต้นไม้ไม่เป็น เวลาจะสอยยอดมะม่วงก็โดนผึ้งรังควาน ครั้งหนึ่งที่พ่อสอนฉันสร้างไซดักปลา เอาไม้ไผ่มาสานคล้ายหลอดแคปซูลขนาดใหญ่ มีทางเข้าแต่ไม่มีทางออก แช่ไว้ในน้ำสองวันไปยกขึ้นมาไม่มีปลาสักตัว

วันที่สาม เหมือนมีอะไรดิ้นขลุกขลักอยู่ในไซ ฉันเกิดความคิดบ้าๆ ขึ้นมาอย่างหวาดระแวงว่า
"พ่อ แล้วถ้างูมันเข้าไปล่ะ"
พ่อบอกว่า  งูมันฉลาดกว่าปลา มันไม่เข้าไปหรอก
แต่แล้ว พอยกไซอันนั้นขึ้นมา ก็พบว่า มีงูตัวหนึ่งนอนอยู่ในนั้นจริงๆ 
"ยี๊
!!!"
ฉันอุทานเสียงดัง วิ่งถอยห่างออกไปเสียไกล พ่อหัวเราะแล้วบอกว่า
"เอ๊า งูก็เป็นอาหารได้"
"แล้วพ่อจับงูเป็นเหรอ"
พ่อเงียบ มองดูงูที่เริ่มเคลื่อนไหวในไซที่พ่อจับ ไม่กี่นาทีถัดจากนั้น พ่อก็โยนทิ้งลงน้ำ นั่นแหละฉันถึงรู้ว่าพ่อจับงูไม่เป็น แม่โกรธเราสองคนเพราะว่างูตัวนั้นถือเป็นอาหารอีกมื้อที่โอชะเลยทีเดียว

ผ่านไปหลายวัน ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าแล้วถ้างูตัวนั้นหาทางออกจากไซไม่ได้ แล้วมันจะมีชีวิตรอดเหรอ
พ่อตอบเบาๆ ว่า
"อะไรที่มันไม่เคยทำ จะได้ฝึกทำไง"

จำได้ว่า พ่อเลิกทำไซ และเลิกจับปลาอยู่หลายเดือน มารู้ตอนหลังว่าพ่อกลัวงูยิ่งกว่าสิ่งใด ทุกครั้งที่งูเข้ามาแอบกินไข่ในโรงเลี้ยงไก่ พ่อจะกระโดดหยองๆ ไปหลบอยู่หลังแม่ หรือไม่ก็ปิดตาเสีย แต่แม่ไม่โกรธเคืองพ่อเลยสักนิด แม่รำพึงเบาๆ อย่างเข้าใจว่า
"พ่อเขาไม่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิตน่ะ"
"แล้วปลูกต้นไม้ล่ะ?"
แม่ตอบด้วยเสียงหัวเราะแทน

ตลอดมา ความล้มเหลวในบ้านจึงกลายเป็นเรื่องขำๆ เสมอๆ จวบจนวันหนึ่งแม่ของฉันตายจากไปด้วยโรคหัวใจ เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นพ่อไปรดน้ำพรวนดินสวนกุหลาบ มันยังบานสะพรั่งสวยงามจนเราตัดดอกไม้ไปถวายทำบุญให้แม่ พ่อซึ่งกลายเป็นชายชราฉับพลัน งกๆ เงิ่นๆ สอยผัก หาปลา ไปตามประสาเหมือนนักเรียนหัดใหม่

วันหนึ่ง พ่อบอกว่าจะย้ายสวนกุหลาบของแม่ไปไว้หน้าบ้านแทน เพราะตรงนั้นมีที่ดินที่สูงกว่ากลัวน้ำจะท่วมหากอยู่ที่ต่ำ ฉันซึ่งมัวแต่ไปเรียนหนังสือกลับมาก็พบว่ากุหลาบอันตรธานไปหมดแล้ว แต่ไปเหี่ยวแห้งเหลืองซีดอยู่บนสวนแห่งใหม่ จากนั้นไม่กี่วัน ก็ตายเรียบไปทั้งสวน

"ปลูกกุหลาบไม่มีดอก ก็ยังดีกว่าตายน่า"
ฉันรดน้ำกุหลาบอีกครั้ง ที่ตอนนี้งอกงามเป็นผัก จากต้นตรงก็เริ่มหนักก้านเลื้อยพาดลงดิน ไม่รู้มันเป็นพันธุ์อะไร กินก็ไม่ได้แถมมีหนามคมเสียด้วย

"เลี้ยงไปเรื่อยๆ สักวันอาจจะมีดอกขึ้นมาเองก็ได้" ฉันรำพึง คิดถึงความล้มเหลว และคิดถึงพ่อ
ความล้มเหลวสอนฉันให้เข้าใจเขา หรือเขากำลังสอนให้ฉันเข้าใจความล้มเหลวกันแน่

ก็ไม่รู้.

 

 

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
"ได้กินเห็ดถอบหรือยังลูก"คำถามแรกจากหญิงวัยใกล้ชราซึ่งเอื้อนเอ่ยแข่งกับเสียงฝนตกเปาะแปะอยู่นอกชานเรือน เธอเป็นแม่คนที่สองของฉัน ที่รักใคร่เอ็นดูเหมือนแม่แท้ๆ กวักมือเรียกให้ไปช่วยดาขันโตก แม้ฉันจะทำท่าแบ่งรับแบ่งสู้เพราะไปเยือนบ้านเกิดวันนี้ตั้งใจจะไปกินข้าวมื้อกลางวันกับพ่อ แต่ทำยังไงได้ในเมื่ออาหารการกินสำรับเตรียมไว้เพียบพร้อม ฉันนึกถึงคำของแม่แท้ๆ ที่บอกว่าถ้าผู้ใหญ่ชวนทานข้าว ก็อย่าได้ทำให้เขาเสียใจ
วาดวลี
  1."ผมชอบรถคันนั้นจริงๆ"เพื่อนชายวัย 33 ปีของฉันบอก หลังจากนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่นานหลายชั่วโมง ภาพเวบไซต์แห่งหนึ่งปรากฏภาพรถคันเล็กๆ สีขาวทั้งคัน เป็นรถเฟี๊ยสที่ฉันจำปี พ.ศ.และรุ่นไม่ได้ รู้แต่ว่ามันน่าจะมีอายุเกือบเท่าๆ เขาด้วยซ้ำ
วาดวลี
  ท้องทุ่งแห่งความทรงจำ มีกลิ่นอบอวลด้วยดอกไม้ ทุ่งหญ้า และกลิ่นชื้นของที่ดินริมแม่น้ำ พ่อของฉันตื่นนอนก่อนลูกๆ ในเช้าก่อนวันสงกรานต์ เขาส่งเสียงร้องเอื้อนเอ่ยเป็นทำนองของค่าวซอบนเก้าอี้ไม้ หันหน้าไปหาแม่น้ำและดวงอาทิตย์ ในมือถือกระดาษมีเส้น บรรจุตัวอักษรที่เขาเขียนแต่งขึ้นมาเอง และเนื้อหาในนั้นก็กำลังกล่าวถึงวันคืนของปีเก่าที่ผ่านไปและปีใหม่เมือง ที่กำลังจะมา
วาดวลี
"บนท้องฟ้านั้นมีความจริงอยู่ครึ่งหนึ่ง"  ฉันไม่รู้ว่าจำประโยคนี้มาจากไหน  แล้วก็มีคนเคยเห็นด้วยอย่างปักใจว่าบางทีท้องฟ้าก็โกหกเราได้  สีฟ้าแบบนี้ไม่ควรจะมีฝน  ประกายสีส้มจากดวงตะวันแบบนั้น  มองเผินๆ  คล้ายเตือนว่าพายุจะมา  แต่สุดท้ายก็เหลือแค่อากาศร้อนอบอ้าว
วาดวลี
 
วาดวลี
   ๑.หัวเราะกับความแยบยลของชีวิตที่บางครั้งตกหลุมพรางความหยาบกระด้างเมื่อรู้สึกได้กับความละเอียดอ่อนก็เห็นค่าจนไม่อยากจะสูญเสีย
วาดวลี
 ฉันนั่งมองกลีบดอกไม้สีชมพูที่หน้าตาเหมือนๆ กัน ผ่านทางกระจกรถ ขณะคิดในใจว่า เดือนกุมภาพันธ์ที่ฉันรักได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว เดือนที่อากาศเย็นแสนทรมานจะค่อยๆ คลายตัวลงเป็นเย็นสบายกำลังดี ดอกไม้สีเหลือง สีขาว สีส้ม และสีชมพูจะบานสะพรั่งเต็มต้น เรียงรายตลอดถนน แสงแดดเช้าและบ่ายนั้นสวยงาม เช่นเดียวกับท้องฟ้าที่โปร่งใส มีก้อนเมฆสีขาวฟูฟ่องลอยไปมาแต่ความเป็นจริงเวลานี้คือวิทยุกำลังประกาศซ้ำๆ เรื่องมลภาวะเป็นพิษเพราะหมอกควัน และเน้นย้ำให้เราป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น
วาดวลี
ชายชรายิ้มหวานให้ฉัน ทันทีที่เขารู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นแล้ว ยิ้มบนริมฝีปากเบี้ยวๆ หนังตากระตุก ใบหน้าเหี่ยวย่น แต่ฉันรู้สึกได้ในตอนนั้นว่าเป็นยิ้มที่แสนหวานกว่าใครๆ ทีเดียว และเชื่อว่าเป็นยิ้มแรกของวันนี้ก่อนหน้านี้หลายนาที เขาพาตาช้ำๆ ย่างก้าวมาอย่างเซๆ ออกจากห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล ตอนที่เจอกันฉันยกมือไหว้ สวมกอดเขาหลวมๆ พาเขาไปนั่งลงตรงระเบียง เขาพยายามสื่อสารทั้งที่อาการไม่หายดีนัก เขาเล่าว่าวันนี้ตื่นแต่เช้ามืดเช่นทุกวัน นึ่งข้าวทิ้งไว้แล้วก็มาบริหารร่างกาย จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ แล้วจบท้ายที่การบริหารอีกรอบ แต่อยู่ๆ แขนขาซีกหนึ่งก็ไม่มีแรง เบานุ่นเหมือนสำลี…
วาดวลี
“จะทำอะไรบ้างคะน้อง...” พี่ช่างผมคนใหม่ยิ้มกริ่ม เมื่อต้อนรับลูกค้าอย่างฉันแล้วพาไปนอนบนเปลสระผมในบ่ายแก่ๆ ของวันหยุด ฉันยิ้มให้เขา หยุดคิดในใจนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบไปเบาๆ ว่า “ช่วยตัดเล็มปลายผมแค่นั้นก็พอค่ะ” “แล้วสระกับไดร์ด้วยไหม” ฉันพยักหน้า เธอตอบรับด้วยท่าทางคล่องแคล่ว จากนั้นก็โน้มศีรษะฉันให้ลงพอดีกับอ่าง เปิดน้ำจากสายยางเย็นเจี๊ยบราดรดลงไปบนศีรษะ เธอจับเส้นผมฉันเบาๆ อย่างเกรงใจ แล้วกระซิบมาข้างๆ หู “ถ้าแรงไปก็บอกนะ พี่มักจะเผลอตัว ถ้าไม่ให้นวดหัวก็บอกได้”
วาดวลี
"ยี่เป็ง” เป็นชื่อแมวของฉันเอง ซึ่งตั้งให้แมวตัวสีขาวลายสีเทา ทรงหน้าเหลี่ยม หางกุด ตัวเท่ากำปั้น ที่กระโดดขึ้นมาอยู่บนตักขณะกินจิ้มจุ่มในวันลอยกระทงเมื่อ 2 ปีก่อน และจากนั้นมาอีก 1 ชั่วโมง ฉันก็ถามตัวเองอีกครั้งว่า เราจะมีลูกแมวเลี้ยงเพิ่มอีกหนึ่งตัวหรือนี่ ทั้งที่การมีแมวแสนไฮเปอร์ชื่อ “พี่แม้ว” แค่ตัวเดียวนั้นยังรับมือแทบจะไม่ไหว แต่นั่นเป็นการถามตัวเองเมื่อกลับมาถึงบ้านโดยมียี่เป็งในอ้อมแขน
วาดวลี
ในฐานะที่ต้นพืชต้นนี้ถูกฉันเรียกว่าเป็น “ถั่ววิเศษ” หากมันพูดได้ มันคงสงสัยในตัวฉันว่า จะคอยจับจ้องมันไปถึงไหน ทั้งเช้าทั้งเย็น นอกจากวนเวียนรดน้ำแล้วก็ยังแอบถ่ายรูป สังเกตสังกา พาเพื่อนมาชมแปลงถั่ว เฝ้าจับจ้องแมลงตัวน้อยนิดที่บินมาเกาะ มากัดกิน พลางครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้กิ่งใบของมันเสียหายก่อนเวลาอันสมควร ถั่ววิเศษอาจกำลังสอนฉันว่า อย่าคาดหวังในตัวมันมากเกินไปกระมัง ในแปลงผักแปลงเดียว เมล็ดพันธุ์ที่หยอดหว่านลงไปนั้น กำลังเติบโตได้อย่างแตกต่างกัน บางต้น อวบอิ่ม สีเขียวสด ยืดลำต้นตั้งตรง สูงประมาณ 10 เซนติเมตรได้ ขยายใบเล็กๆ นั้นกลายเป็นใบกว้าง เติบใหญ่อย่างมีสุขภาพดี
วาดวลี
  ปีนี้ฉันได้ของขวัญปีใหม่เป็นเมล็ดถั่วมันเป็นเมล็ดแห้งๆ ที่นอนเรียงตัวอยู่ในฝักสีน้ำตาล ห่อมาในถุงพลาสติกใช้แล้วยับยู่ยี่ คนที่ยื่นให้บอกฉันว่าด้วยแววตาล้อเลียนว่า "มันเป็นถั่ววิเศษ"