Skip to main content

ฉันไม่รู้ว่าทำไมหอยทากหลายตัวชอบมาซ่อนอยู่ในรองเท้า แม้จะเคาะรองเท้าก่อนแล้ว หากไม่ดูดีๆ ก็อาจจะเผลอเหยียบเข้าไปเต็มๆ เพราะความเหนียวของลำตัวที่เกาะติดอยู่กับผนังรองเท้าผ้า

เวลานี้เข้าฤดูหนาวเต็มที่แล้ว หรือเปลือกหอยจะไม่สามารถกันความหนาวให้มันได้เพียงพอ ทั้งที่พอรู้มาบ้างว่า หอยทากเป็นสัตว์ที่อดทนมาก มีชีวิตได้ทั้งที่แห้ง ที่ป่าชื้น หรือบนภูเขาสูง นอกจากในรองเท้าแล้ว ซอกมุมเล็กๆ ในบ้าน หลังชั้นหนังสือ หรือแม้แต่ใต้เบาะจักรยาน ฉันก็ยังพบหอยทากมาเล่นซ่อนแอบเป็นประจำ จากที่เคยรู้สึกกึ่งรังเกียจ กึ่งขยะแขยง ก็เริ่มคุ้นชินกับสิ่งมีชีวิตชนิดนี้

แล้วความรู้สึกเหล่านั้นก็หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

กลายเป็นความรู้สึกที่ว่า ชีวิตหอยทากนั้นอัศจรรย์ดี มันมีความน่ารักบางอย่างที่น่าสนใจ สัตว์ที่มีลำตัวยืดหยุ่นได้เหมือนทาก(ที่ฉันกลัวมาก) ว่ากันว่ามันไม่มีกระดูกเลย มีแต่กล้ามเนื้อล้วนๆ   มีกระดองหรือเปลือกแบกอยู่บนหลัง ซึ่งนอกจากกระดองแล้ว เขาว่ามันสามารถแบกรับน้ำหนักได้ 12 เท่าของตัวมันเอง จากจะต้องลากอะไรสักอย่าง ก็ลากของงที่หนักถึง 200 เท่าของตัวมันด้วย

อย่างไรก็ดี เจ้าหอยทากก็คลานต้วมเตี้ยม เดินช้าและจะไม่เดินเลยหากเจอคนแปลกหน้าหรือสิ่งมีชีวิตอื่นที่มาอยู่ใกล้ๆ

เช้าวันหนึ่ง ฉันเดินเล่นในสวน ยืนมองต้นสะเดาที่เพิ่งงอกผลิมาใหม่ พลันสายตาก็ไปพบกับหอยทากน้อยที่เหมือนเพิ่งจะลืมตามาดูโลกเช่นกัน

ตัวของมันใสเหมือนวุ้น เพื่อนฉันบางคนคงเรียกว่ามัน "เอเลี่ยน" เป็นแน่แท้ ฉันถ่ายรูปแล้วก็ลองเขย่ากิ่งไม้ ดูว่ามันจะหดตัวไหม แต่กลับเปล่า มันเคลื่อนไหวลำตัวๆ นิดหน่อย จากนั้นก็ทอดตัวติดกับต้นไม้รับแสงแดดยามเช้าอย่างสบายใจ

จะว่าไป พอรู้มาว่า หอยทากนั้นทนแสงแดดมากไม่ค่อยได้ หากรู้สึกร้อนเกินไป ก็จะมุดเข้าไปอยู่ในกระดอง ฉันเฝ้าสังเกตมันอยู่นาน แล้วปล่อยให้มันใช้ชีวิตไปแบบนั้น  ตั้งใจว่าวันต่อไปจะขออนุญาตมาถ่ายรูปมันอีก

วันถัดมา ดูเหมือนกระดองจะแข็งแรงขึ้น มีสีน้ำตาลเข้มอีกนิด ลำตัวใสๆ ก็เริ่มขุ่น มันเคลื่อนย้ายมานอนเล่นอยู่บนใบไม้ที่เปียกชื้นใบหนึ่ง ว่ากันว่า หอยทากเป็นสัตว์ที่ชอบนอนมาก โดยเฉพาะฤดูหนาว หากมีโอกาสมันอาจจะงีบในช่วงสั้นๆ หรือไม่ก็นอนได้เป็นวัน มีคนบอกว่าหอยทากที่อาศัยในทะเลทรายสามารถนอนติดต่อกันได้ถึง 3 ปี

ไม่นานจากนั้น อีกวันหนึ่ง  ตื่นแต่เช้าฉันก็ไปเยี่ยมหอยทากน้อยอีก เปลือกสีน้ำตาลเริ่มขุ่นขึ้นเรื่อยๆ มันคงหนาพอที่ให้ความอบอุ่นได้แล้ว ลำตัวดูเหนียวแน่นขึ้น เหมือนกล้ามเนื้อของเด็กโตที่เริ่มมีกำลังวังชา แล้วฉันก็เริ่มคิดถึงข้อมูลที่ว่า เมื่อหอยทากเริ่มโต เวลาเดินไปไหนจะทิ้งเยื่อหรือเมือกบางๆ ไว้ เหมือนปูพรมป้องกันตัว ดังนั้นหากสงสัยว่าหอยทากเดินได้ยังไงแม้กระทั่งบนใบมีดโกนโดยไม่ระคายผิวเลย ก็เพราะเมือกอันนี้




เริ่มรู้สึกว่าหอยทากร้ายไม่เบา มีวิทยายุทธ์พิเศษ แล้วมีฤทธิ์เดชมากขึ้นอีกเรื่อยๆ หนวดของมันก็จะควานหาของกิน แล้วยืดออกไปเขมือบ ส่วนปลายหนวดเป็นที่ตั้งของลูกตา ให้มองเห็นได้และไวต่อการสัมผัสมาก

3 วันถัดมา ฉันกลับมายังต้นไม้ต้นเดิม เพื่อดูพัฒนาการของหอยทากน้อยอีกครั้ง แต่ก็ต้องแปลกใจมากที่อยู่ๆ ลำตัวของหอยทากก็หายไปแล้ว เหลือแต่กระดองเปล่าๆ ใสๆ ติดอยู่กับกิ่งไม้ มันไม่มีชีวิตรอดแล้วหรืออย่างไร หรือเป็นพัฒนาการอย่างหนึ่ง นึกไปถึงหอยทากตัวอื่นๆ ที่พบในรองเท้า บางตัวมีขนาดใหญ่เท่าลูกมะนาวด้วยซ้ำ เป็นไปได้ว่านอกจากมนุษย์แล้ว ยังมีผู้อื่นปองร้ายกับมันอยู่ไม่น้อย




ฉันรู้ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสียใจหรอก ระบบนิเวศวิทยาเล็กๆ ในสวนหลังบ้านดูจะมีความสมดุลดีอยู่ ฉันแค่ยิ้มขำๆ ให้กับตัวเองถึงช่วงเช้าที่หมกมุ่นอยู่กับหอยทากหลายวัน จนเพื่อนบ้านมาเห็น แล้วจึงบอกกับฉันว่า
"มันร้ายจะตาย ถ้ากัดกินต้นไม้จะ ฆ่ายังไงก็ไม่หมดซะที"

จริงอย่างพี่เขาว่า หอยทากมีปากที่ไม่ใหญ่ แต่มีฟันเล็กๆ ที่เขาบอกว่ามีนับเป็น 2 หมื่นซี่ทีเดียว แม้จับหอยทากใส่กล่องมันก็กัดกล่อง กัดรองเท้า กัดกระดาษ หรือผ้าได้อีกต่างหาก

พี่สาวข้างบ้านทำหน้าจริงจังบอกกับฉันว่า
"ตอนเด็กๆ มันก็น่ารักอยู่หรอก พอโตมาเอาไว้ไม่ได้ ยิ่งเวลาตั้งท้องทีออกไข่มาเป็นหลายสิบใบ แพร่พันธุ์เร็วมาก"
"โรยปูนขาวก็แล้ว กวาดทิ้งก็แล้ว สุดท้ายต้องไปซื้อยาฆ่าหอยจากตลาดนัดมาฉีด"

ฉันเข้าใจชาวสวนดี จึงได้แต่พยักหน้ารับรู้ เมื่อลองเปิดภาพหอยทากเด็กจากกล้องดิจิตอลให้พี่เขาดู แกหัวเราะชอบใจ แล้วบอกว่า

"มันก็น่ารักดีเนอะ เหมือนเด็ก แบบนี้ก็ฆ่าไม่ลงนะ ให้กระดองมันหนาๆ ทึบๆ ลำตัวใหญ่ๆ ก็ค่อยว่ากัน ตอนนั้นน่ะแปลว่ามันร้ายพอตัวแล้ว โดยเฉพาะถ้าหนวดมันแข็งๆ น่ะ"

พี่เขาให้ความรู้ฉันเพิ่ม ฉันหัวเราะเบาๆ แล้วตอบไปเล่นๆ ว่า
"แสดงว่าหอยทากยังดี มีเปลือกที่เห็นชัดว่าร้ายแค่ไหน ไม่เหมือนคนเรา"
"ใช่ๆ น้องพูดถูก คนเราสวมหน้ากากใสๆ มองไม่เห็น บางคนเห็นกันแต่เด็ก ไม่มีทางรู้เลยว่าโตขึ้นจะจิตใจเป็นยังไง"

ฉันหัวเราะอีกครั้ง แล้วเปลี่ยนเป็นสะดุ้ง ก่อนจะรีบเดินหนี หลังจากที่ได้ยินเสียงดัง "ต๊อบ
!!" ซึ่งพี่เขาแสดงให้ดูว่าหอยทากนั้นร้ายแค่ไหน แต่ก็ตายได้ง่ายๆ แค่เหยียบให้กระดองมันแตกเท่านั้นเอง

นั่นแหละ เช้านั้นฉันจึงได้แต่ฮัมเพลง "น้ำตาหอยทาก" ของน้าหมู พงษ์เทพ ที่บอกว่า "เห็นน้ำตาหอยทากหลั่งนอง เมื่อถูกเหยียบย่ำ เปลือกบางบางก็แตกสลาย" อยู่ทั้งวัน




บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
1.อากาศยามเช้าหนาวไอเย็นแผ่วเบา พัดมาจากภูเขาสูงผ่านทางไกล ใกล้รุ่งฝ่าหมอกคลุ้งสีเทา-เทา
วาดวลี
ฉันกับเพื่อนหย่อนก้นบนเก้าอี้ไม้ริมถนนของเมืองเชียงของ เราสั่งชานม ชามะนาว และกาแฟมากินให้สดชื่นหลังจากนั่งรถมาเป็นชั่วโมง มองดูผู้คนมาเยือนสวนทางกับเจ้าของท้องถิ่นไปมาในวันหยุด"เรากำลังจะไปที่ไหนต่อ"เพื่อนร่วมทางถามฉัน ฉันเหลือบมองเขา ไม่ตอบ แล้วคว้าหนังสืออ่านเล่นในร้านกาแฟมาเปิดอ่าน เราเพิ่งมาถึง แล้วจะไปไหน เธอถามแปลกจัง ฉันอยากตอบเล่นๆ ว่า เดี๋ยวจะพาเธอไปลงว่ายน้ำโขงเล่นก็แล้วกัน"เราต้องไปกินปลาบึกไหม?"เพื่อนถาม ฉันเกือบสำลักชามะนาว “เธออยากกินเหรอ”ฉันถามกลับ เขาทำหน้าไม่ถูก แต่แววตาลังเล “ก็มีคนบอกว่ามาเชียงของต้องกินปลาบึก”ฉันอมยิ้ม ฉันก็ได้ยินแบบนั้นเหมือนกัน แต่เท่าที่รู้…
วาดวลี
กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า กำลังถูกประทับด้วยตราปั๊มสีแดงเพื่อบอก “อนุญาต” ให้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปยังพม่า ผู้คนจำนวนนับร้อยนับพัน ต่อแถวกันอยู่ที่ท่าขี้เหล็กในเขตแม่สายด้วยใบหน้ารอคอย ตั้งแต่ขั้นตอนการทำบัตร ชำระเงิน ตรวจเอกสาร จนกระทั่งพวกเขาจะได้ข้ามพ้นประตูด่านของเจ้าหน้าที่เมื่อนั้น ใบหน้าที่บึ้งตึงก็จะเปลี่ยนเป็น “โล่งอก”ฉันและเพื่อนยืนรออยู่ที่ทำบัตรเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ขณะที่เพื่อนกำลังวาดฝันว่าเขาจะซื้ออะไรบ้างจากฝั่งพม่า ไม่ทันที่จะอ้าปากพูดว่า “เกาะกันไว้นะเดี๋ยวหลง” เพราะคนเยอะขนาดจนมีประกาศหาคนตลอดเวลา ไม่ทันไรฉันก็ถูกดันจากคนข้างหลังให้ขยับเข้าไปข้างหน้า ทั้งที่แถวมันเต็มแล้ว…
วาดวลี
1ฤดูหนาวไม่ได้มาเยือนอย่างเงียบเชียบอีกแล้ว มันแสดงตัวตน ชัดเจน ผ่านอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า รอยน้ำค้าง ประทับตรงนั้นตรงนี้  แม้กระทั่งบนขนตาของเธอ  หญิงวัยกลางคนที่ตื่นแต่เช้า ปั่นจักรยานไปตลาด กลับมาพร้อมกับข้าวของในมือที่มากจนจักรยานแทบเสียหลัก เธอจอดรถไว้ข้างๆ รั้ว หิ้วของ วางลง และยกมือเช็ดน้ำค้างบนขนตา2“หนาวมากไหม”เธอเอ่ยถามอย่างอาทร ฉันพยักหน้า อดคิดถึงแม่จริงๆ ของตัวเองไม่ได้ ฉันคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ หากจะคิดถึงฤดูหนาวและการอยู่ร่วมกัน  แค่คิดถึงการซุกตัวใน “ผ้าห่มขี้งา” ร่วมกับแม่ แค่นั้นก็เป็นสุขแล้ว หน้าหนาวพ่อจะให้ฉันนอนตรงกลาง เพื่อให้อุ่นมากพอ …
วาดวลี
1. ผืนดินปกคลุมไปด้วยต้นหญ้า และเป็นต้นหญ้าชนิดที่มีดอกสีขาว ฉันชะงักจอบเสียบที่เตรียมมา ด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อดอกหญ้าที่พากันบานสะพรั่งอวดสายลมหนาว ก็มันสวยขนาดนี้ ฉันจะขุด ตัดมันไปได้อย่างไรกันวางจอบลง แล้วนั่งยองๆ ฉันคว้ากล้องถ่ายรูปมาถ่ายเก็บเอาไว้ นอกจากดอกหญ้าที่บานเต็มที่แล้ว ยังมีต้นกล้าที่เพิ่งถือกำเนิด มันน่ารักดีจัง ฉันยิ้มให้กับต้นหญ้า แม้จะเคาะเขินคนข้างๆ อยู่บ้างที่ทำตัวอ่อนหัดแบบนี้ แต่เขาคงเข้าใจ คนโหยหาผืนดินอย่างฉัน“หญ้าก็คือหญ้า ถ้าไม่ตัดมันทิ้ง เราจะปลูกผักได้ยังไง”เธอช่วยเตือนสติ ฉันกลับมาโลกความจริง นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องถางมันทิ้ง “รกจะตาย” เธอว่า…
วาดวลี
ฤดูหนาวยามสาย แสงตะวันทอดผ่านเรือนร่างของผู้คนและตกกระทบเป็นผืนเงา อยู่ตรงนั้นตรงนี้บนถนน ชักชวนให้นักท่องเที่ยวบางคนอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเงาตัวเองเอาไว้ดูเล่น ฉันเองก็เช่นกัน ย้ายระดับสายตาไปอยู่บนผืนดิน แสงเงาจากผู้คนมากมาย มุ่งหน้าไปยังพระธาตุดอยสุเทพ นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ยิ้มสรวลหยอกล้อ ขอถ่ายรูปคู่กับบันได ประตู ป้าย และร้านค้า ดูเหมือนจะมีแต่เสียงหัวเราะ ตื่นเต้นและความสุข ปนเปื้อนเศษเสี้ยวของความหงุดหงิดรำคาญเล็กน้อย รอยยิ้มกว้างๆ ปรากฏบนใบหน้าของแม่ค้าหลายคน เงินสดถูกเก็บเข้ากระเป๋า ถุงพลาสติกถูกดึงขึ้น ใส่ของ ดึงขึ้นและใส่ของ…
วาดวลี
“หนาวไหมครับ”ชายแปลกหน้าเอ่ยถาม ขณะหย่อนตัวลงนั่งบนแคร่ไม้ เราสองคนอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าของใครสักคนหนึ่ง ฉันอยากเรียกแบบนั้น ทั้งๆ ที่มันคือสถานีรถโดยสารที่จะเดินทางจากตัวเมืองลำปางไปยังแจ้ซ้อนขณะรถเข็นคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาเรา ฉันตอบผู้ชายคนนั้นสั้นๆว่า “หนาวนะ” เขาอมยิ้ม กระชับเสื้อให้แน่นขึ้นแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม ฉันไม่สนใจเขานัก เอาแต่ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า เพื่อจะหยิบมาดูนาฬิกาว่าตอนนี้คือกี่โมงแล้ว แต่ยังหาโทรศัพท์ไม่เจอ ก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาขนาดใหญ่เกาะติดอยู่บนต้นไม้ ดูเหมือนจะเป็นต้นมะขาม มันสูงใหญ่ให้ร่มเงาเป็นอย่างดีแก่ท่ารถแห่งนี้…
วาดวลี
ท่ามกลางความมืดของผืนฟ้า  พระจันทร์ดวงกลมโตอวดแสงนวลอยู่บนนั้น แม้คืนนี้มองไม่เห็นดาว  แต่พระจันทร์คงไม่เหงา  ก็บนท้องฟ้า เต็มไปด้วยดวงไฟสีส้มนับร้อย นับพันดวง วาววับ จนไม่อาจนับจำนวนได้ โคมไฟ หรือ ว่าวไฟ ในเทศกาลลอยกระทง ต่างลอยขึ้นไปตามแรงลม และความร้อนจากเปลวไฟเล็กๆ ที่ห้อยอยู่ข้างท้าย แม้คนจุดจะมีทั้งชาวเมืองเชียงใหม่ หรือนักท่องเที่ยวจากเมืองอื่น แต่สิ่งที่ฉันได้รู้ในวันนี้ก็คือ สำหรับคนบางคนแล้ว ดาวสีส้มบางดวงนั้นขึ้นไปตามแรงศรัทธาและความเชื่อที่สั่งสมมาตลอดชีวิต“ได้เวลาจุดไฟกันแล้วนะ” ชายชราคนหนึ่งคนตะโกนบอกหลานชาย หลังจากเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้…
วาดวลี
“พ่อเคยคิดจะย้ายไปอยู่ที่อื่นไหม?”ฉันเคยเอ่ยถามชายชราไว้นานแล้ว ไม่จริงจังในคำพูด และไม่มีประเด็นอะไรมากนัก ฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร ในวันรื้อถอนบ้านเก่าที่ผุพังเพราะน้ำท่วม จำเป็นต้องสร้างหลังใหม่มาแทนที่ ............ที่ดินของเราเป็นผืนยาวติดแม่น้ำเล็กๆ ซื้อมาด้วยเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของแม่ ราคาไม่กี่พันบาท ฉันย้ายมาอยู่ในตอนที่อายุ 7 ขวบ  เวลาต่อมา คืนหนึ่งแม่ก็เสียชีวิตในบ้านหลังนี้ ตายจากไปเหลือเพียงเถ้าถ่าน ร่างกายถูกเผากลางแดดด้วยฟืนกองโต จำได้ว่าหลังจากคืนเผาศพแม่ไม่นานนัก บ้านทั้งหลังเงียบสงบ…
วาดวลี
ผู้หญิงคนนั้นกำลังฉุน ส่วนหญิงสาวอีกคนในชุดกระโปรงสีชมพู มีท่าทางไม่สบายใจอารมณ์ขุ่นเคืองปะทุในแดดระอุของยามบ่าย  ขณะนั้น  ฉันฝ่าไอร้อนมาจอดรถหน้าร้านค้าของนวลเมื่อวานนี้ฉันขอให้เธอช่วยรื้อลังเก่าๆ ใบใหญ่ๆ ไว้ให้  เพื่อซื้อไปใส่ของขนย้ายบ้านนวลกำลังยุ่ง ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก แต่ก็ยังมีแก่ใจกระซิบบอกด้วยเสียงอ่อนโยนเช่นเคย“รอหน่อยนะ แม่กำลังหาลังใบใหญ่ให้ ไม่ได้ลืม เดี๋ยวคงเอาลงมา”“แม่เหรอ?”ฉันทวนคำ นวลกำลังพูดถึงใครกันนะ ก็เธอจากบ้านมาไกลจากพม่า มาทำงานในร้านขายของชำ ทุกทีนวลเรียกเจ้าของร้านผู้ชายว่า เฮีย และเรียกพี่ผู้หญิงว่า เจ๊ ฉันยังไม่ได้ถาม แต่เธอคงจะดูแววตาออก…
วาดวลี
เพิงผักสดหน้าวัดในตอนเช้า กำลังแปรสภาพเป็นร้านเหล้าในยามค่ำ ตะวันยังไม่แตะดินดี เคาน์เตอร์ไม้เล็กๆ ก็มีลูกค้ามารอแล้วเกือบเต็มร้านชายวัยกลางคนกระดกเหล้าขาวจากแก้วทรงเหลี่ยมอยู่หน้าเพิงป้าแดง  ไม่ยี่หระต่อสายตาเมียที่ยืนค้อนอยู่ด้านหลังเธอยืนเท้าสะเอวเหมือนแม่บ้านในการ์ตูน มองสามีเงียบๆ แล้วก็เอ่ยด้วยเสียงห้วนสั้น“กระดกเข้าไป บอกว่าให้กินข้าวรองท้องก่อน ป้าแดงเอาแกงอ่อมมาถ้วยหนึ่ง”เธอไม่ได้สั่งกลับบ้าน แต่สั่งให้สามี ป้าแดงตักแกงจากหม้อใส่ชาม วางไว้บนเคาน์เตอร์ไม้ แล้วรับเงินจากผู้เป็นภรรยา เธอจากไปพร้อมผักกาดกำใหญ่ในมือ“เดี๋ยวข้ากลับไปกินข้าว” “อือ”สามีภรรยาตอบกันห้วนสั้น…
วาดวลี
๑.ฤดูมาเร็ว ราวกระพริบตารู้สึกดังว่า เพิ่งผ่านเมื่อวานฝนหมาดถนน เพิ่งโดนแดดทักลมหนาวก็พัดมาจุมพิตผ่านแม่น้ำสีเหลืองลำเลียงเศษไม้เผลอมองวูบไหวหัวใจสะท้านฝนพอหรือยัง? หรือคั่งค้างอยู่รอการพรั่งพรู ไหลมาท่วมบ้าน  ๒.ต้นข้าวสีเขียว เคยซีดเซียวยับนิ่งงันสดับ กับทางน้ำผ่านเจ้าชูช่อใหม่ ในตุลาฤดูไม่อาจหยั่งรู้ หรือไม่คิดสะท้าน?ผีเสื้อกลัวไหม ไอหนาวจะมาหอบหมอกห่มฟ้า พัดป่าแห้งกร้านควันคลุ้งคลุมเมือง กลายเป็นเรื่องเล่าไฟฟอนแผดเผา เราไม่อาจต้าน  ๓.ไปหมดแล้วหรือ ที่คือฝันร้ายปัดกวาดบ้านใหม่ ไว้รอเพื่อนบ้านกลางคืนสงบ รอพบวันพรุ่งหวังเห็นสายรุ้ง ลา-วสันต์กาลรอยฝนกันยา ตุลารำลึกลบความคิดนึก…