Skip to main content
 

ปีนี้ฉันได้ของขวัญปีใหม่เป็นเมล็ดถั่ว
มันเป็นเมล็ดแห้งๆ ที่นอนเรียงตัวอยู่ในฝักสีน้ำตาล ห่อมาในถุงพลาสติกใช้แล้วยับยู่ยี่ คนที่ยื่นให้บอกฉันว่าด้วยแววตาล้อเลียนว่า "มันเป็นถั่ววิเศษ"

ฉันอมยิ้ม แล้วคิดถึงนิทานตอนเด็กๆ ถั่ววิเศษปลูกแล้วต้นสูงใหญ่เกือบถึงท้องฟ้า ถ้าเราปีนไปอยู่บนต้นถั่วนั้นจะสามารถสัมผัสก้อนเมฆได้ หรือโอบกอดสายลม เอามือแตะพระจันทร์เล่น เป็นเจ้าหญิงอยู่บนหอคอยถั่วที่มีเพื่อนเป็นนกที่บินผ่านไปมา

ฉันกลับมาสู่โลกความเป็นจริง ถามคนให้ว่า ถั่ววิเศษต้องปลูกด้วยวิธีพิสดารแค่ไหน

คนตอบหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า ที่เป็นถั่ววิเศษเพราะมันปลูกง่ายมาก ต่อให้เป็นดินชนิดเลวมันก็ยังสามารถงอกงามได้ เพราะถั่วฝักนี้เก็บมาจากต้นที่สมบูรณ์ที่สุด บนผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ รดน้ำทุกวันโดยไม่ต้องใช้ปุ๋ย มันเป็นถั่วไร้สารพิษทั้งฝักไปตลอดทุกส่วนของเมล็ด ใช้เวลาปลูกน้อย และถ้าต้นสูงแค่ขนาดศอก มันก็สามารถออกฝักให้เอามาผัดกินได้แล้ว

ฉันเก็บเมล็ดถั่วในถุงพลาสติกกลับบ้านมาด้วยความตื่นเต้น

ก่อนหน้าจะถึงวันหยุดยาว ฉันจึงได้ฤกษ์ถางหญ้าบนที่ดินรกๆ หลังบ้าน เมื่อถางหญ้าเสร็จ ก็ขุดดินให้ร่วนซุย ฉันพบขยะจำนวนมากที่ฝังอยู่ใต้พื้นดิน ดินที่ดูภายนอกดำสนิท แต่ยิ่งขุดก็ยิ่งเหนื่อย จอบเสียงดังกึกกั่กเมื่อกระทบกับวัตถุแปลกปลอม

ฉันโกยขยะพวกนั้นออกมา มีทั้งขวดซีอิ้ว ตะหลิว ถุงพลาสติก กล่องโฟม และเศษซองขนม ซองมาม่า มันถูกฝังไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หากนับย้อนไปถึงอดีตของบ้านในสมัยเจ้าของอาศัยอยู่ก็นานนับหลายปี ฉันก็เลยตกใจนักหนาว่า ขยะพวกนี้มันย่อยสลายยากจริงๆ หากไม่ขุดมันขึ้นมา ก็คงจะอยู่ไปอีกนานแสนนาน

ฉันรื้อขยะออกมาดู มีเศษไม้เก่าๆ จำนวนหนึ่งที่หน้าตาแปลกประหลาด มันดูคล้ายส่วนประกอบของเครื่องดนตรีไทย จึงย้อนนึกได้ว่า ในอดีตนั้นเจ้าของบ้านหลังนี้เคยประกอบอาชีพหลายอย่างมาก ทั้งการทำสะล้อซอซึงขาย ถัดจากนั้นมาเขาขายก๋วยเตี๋ยว เมื่อไม่สำเร็จเขาก็ทำลูกชิ้นขายอย่างเดียว จนมาถึงน้ำพริกลาบ และเปิดร้านขายของชำ ดูเหมือนเศษขยะเหล่านั้นจะเป็นตัวเล่าเรื่องราวได้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย

แม้ดินจะร่วนซุยดีพอควร แต่ฉันก็ยังหวาดวิตกกับประสบการณ์ที่ปลูกผักแล้วได้ต้นหญ้า จึงขุดดินให้ลึกแล้วพลิกฟื้น ขึ้นแปลงเอาไว้ จากนั้นขุดร่องตรงกลาง เอาเศษอาหารที่กินลงไปทิ้งไว้ เป็นการหมักดินด้วยสารชีวภาพตามที่เคยอ่านมา เกลี่ยดินหมักไว้แล้วรดน้ำอยู่เป็นเวลา 3-4 วัน

ถั่ววิเศษยังไม่ทันจะได้ปลูก แต่ทำให้ฉันได้เหงื่อ ได้เอามือคลุกกับดินนุ่มๆ ขุดไปขุดมาฉันเริ่มบ้าพลังถางหญ้าไปรอบบ้าน แยกต้นไม้แบ่งไปปลูกที่อื่น ขุดดินตรงเนินที่สูงมาถมบริเวณที่ต่ำกว่า ฉันใช้เวลาอยู่หลายวันหมกมุ่นอยู่กับการทำสวนเล็กๆ ที่ยังไม่ได้หย่อนเมล็ดเลยสักเม็ดด้วยซ้ำ แต่พอเสร็จแล้วช่างรู้สึกดีเหลือเกิน หลังบ้านโล่งเตียน เหลือไว้แต่ต้นมะยม มะกรูด มะนาวและขนุน ที่ดินมีมากพอที่จะปลูกอะไรได้สารพัด และเริ่มต้นวางแผนที่จะปลูกผักอีกหลายชนิดไว้กิน นอกเหนือจากสระแหน่ ต้นหอม ผักชีฝรั่ง และหญ้าปักกิ่งที่กำลังงอกงามได้ที่

คนข้างกายคงเห็นฉันฝันเกินไป เขาเลยยับยั้งฉันว่า รอให้ต้นถั่ววิเศษนี้งอกงามก่อนดีไหม แล้วค่อยหาอย่างอื่นมาปลูก เวลามันไม่สำเร็จจะได้ค่อยๆ ตายลงไปทีละนิด หรือใช้แปลงดินอันเดิมปลูกพืชใหม่ จะได้ไม่ต้องเห็นมันตายไปพร้อมกันหมด

ฉันหัวเราะคิกคักแล้วจึงได้ฤกษ์หย่อนเมล็ดถั่วลงไปในหลุมในวันถัดมา ฉันเฝ้ารดน้ำทั้งเช้าและเย็น เมื่อรดต้นถั่วแล้วก็รดน้ำต้นไม้อื่นๆ อีกด้วย บางวันก็ต่อสายยางรดดอกไม้ไปให้บ้านข้างๆ น้ำบาดาลในฤดูหนาวเย็นจับจิตจับใจ บางทีรู้สึกมือชาไปหมด แถมขนยังลุกซู่ๆ แต่แปลกที่จิตใจกลับรู้สึกอุ่นขึ้นทุกวัน


ตอนนี้ผ่านมาได้ไม่กี่วันเท่านั้น เมล็ดถั่วค่อยๆ ดันก้านขาวๆ โผล่พ้นดินขึ้นมา มีหน้าตาเหมือนถั่วงอก ยอดของมันค่อยๆ ดันเมล็ดขาวๆ ที่ห่อหุ้มกิ่งก้านเอาไว้อย่างช้าๆ ฉันกลายเป็นคนตื่นเช้ากว่าเดิม เพื่อจะมารดน้ำและถ่ายรูปพัฒนาการของต้นถั่ว ยิ่งตื่นเช้าก็ยิ่งหนาว วันไหนหนาวมากๆ ไม่อยากลุกจากที่นอน ก็คิดไปว่าเดี๋ยวถั่ววิเศษจะน้อยใจไม่ยอมงอก เพราะมันรอกินน้ำอยู่

ตอนนี้ ผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ไปได้แล้ว ต้นถั่วของฉันเริ่มออกใบอ่อนเล็กๆ เป็นสีเขียวอ่อน ชูช่อตั้งตรง มีก้านอวบอิ่มและใบที่สมบูรณ์โผล่พ้นมาจากหลุม ฉันแอบตื่นเต้นอยู่คนเดียว เพราะไม่อยากเชื่อว่าดินที่ปะปนด้วยขยะสารพัดนั้นจะมีสารอาหารอุดมให้เติบโตอย่างที่คนให้เมล็ดถั่วบอกเอาไว้

ฉันเล่าให้เพื่อนข้างบ้านฟัง เขาเลิกคิ้วแปลกใจ แล้วถามด้วยความสงสัย
"มันไม่ต้องใช้ปุ๋ยใช้ยาจริงๆ ใช่ไหม"
"ฮื่อ ใช่แล้วค่ะพี่ มันเป็นถั่ววิเศษ"
ฉันบอกไปด้วยแววตาโอ้อวดแล้วยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของคนที่ยืนล้อมรอบต้นถั่วพวกนั้น
..................



บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
1.อากาศยามเช้าหนาวไอเย็นแผ่วเบา พัดมาจากภูเขาสูงผ่านทางไกล ใกล้รุ่งฝ่าหมอกคลุ้งสีเทา-เทา
วาดวลี
ฉันกับเพื่อนหย่อนก้นบนเก้าอี้ไม้ริมถนนของเมืองเชียงของ เราสั่งชานม ชามะนาว และกาแฟมากินให้สดชื่นหลังจากนั่งรถมาเป็นชั่วโมง มองดูผู้คนมาเยือนสวนทางกับเจ้าของท้องถิ่นไปมาในวันหยุด"เรากำลังจะไปที่ไหนต่อ"เพื่อนร่วมทางถามฉัน ฉันเหลือบมองเขา ไม่ตอบ แล้วคว้าหนังสืออ่านเล่นในร้านกาแฟมาเปิดอ่าน เราเพิ่งมาถึง แล้วจะไปไหน เธอถามแปลกจัง ฉันอยากตอบเล่นๆ ว่า เดี๋ยวจะพาเธอไปลงว่ายน้ำโขงเล่นก็แล้วกัน"เราต้องไปกินปลาบึกไหม?"เพื่อนถาม ฉันเกือบสำลักชามะนาว “เธออยากกินเหรอ”ฉันถามกลับ เขาทำหน้าไม่ถูก แต่แววตาลังเล “ก็มีคนบอกว่ามาเชียงของต้องกินปลาบึก”ฉันอมยิ้ม ฉันก็ได้ยินแบบนั้นเหมือนกัน แต่เท่าที่รู้…
วาดวลี
กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า กำลังถูกประทับด้วยตราปั๊มสีแดงเพื่อบอก “อนุญาต” ให้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปยังพม่า ผู้คนจำนวนนับร้อยนับพัน ต่อแถวกันอยู่ที่ท่าขี้เหล็กในเขตแม่สายด้วยใบหน้ารอคอย ตั้งแต่ขั้นตอนการทำบัตร ชำระเงิน ตรวจเอกสาร จนกระทั่งพวกเขาจะได้ข้ามพ้นประตูด่านของเจ้าหน้าที่เมื่อนั้น ใบหน้าที่บึ้งตึงก็จะเปลี่ยนเป็น “โล่งอก”ฉันและเพื่อนยืนรออยู่ที่ทำบัตรเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ขณะที่เพื่อนกำลังวาดฝันว่าเขาจะซื้ออะไรบ้างจากฝั่งพม่า ไม่ทันที่จะอ้าปากพูดว่า “เกาะกันไว้นะเดี๋ยวหลง” เพราะคนเยอะขนาดจนมีประกาศหาคนตลอดเวลา ไม่ทันไรฉันก็ถูกดันจากคนข้างหลังให้ขยับเข้าไปข้างหน้า ทั้งที่แถวมันเต็มแล้ว…
วาดวลี
1ฤดูหนาวไม่ได้มาเยือนอย่างเงียบเชียบอีกแล้ว มันแสดงตัวตน ชัดเจน ผ่านอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า รอยน้ำค้าง ประทับตรงนั้นตรงนี้  แม้กระทั่งบนขนตาของเธอ  หญิงวัยกลางคนที่ตื่นแต่เช้า ปั่นจักรยานไปตลาด กลับมาพร้อมกับข้าวของในมือที่มากจนจักรยานแทบเสียหลัก เธอจอดรถไว้ข้างๆ รั้ว หิ้วของ วางลง และยกมือเช็ดน้ำค้างบนขนตา2“หนาวมากไหม”เธอเอ่ยถามอย่างอาทร ฉันพยักหน้า อดคิดถึงแม่จริงๆ ของตัวเองไม่ได้ ฉันคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ หากจะคิดถึงฤดูหนาวและการอยู่ร่วมกัน  แค่คิดถึงการซุกตัวใน “ผ้าห่มขี้งา” ร่วมกับแม่ แค่นั้นก็เป็นสุขแล้ว หน้าหนาวพ่อจะให้ฉันนอนตรงกลาง เพื่อให้อุ่นมากพอ …
วาดวลี
1. ผืนดินปกคลุมไปด้วยต้นหญ้า และเป็นต้นหญ้าชนิดที่มีดอกสีขาว ฉันชะงักจอบเสียบที่เตรียมมา ด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อดอกหญ้าที่พากันบานสะพรั่งอวดสายลมหนาว ก็มันสวยขนาดนี้ ฉันจะขุด ตัดมันไปได้อย่างไรกันวางจอบลง แล้วนั่งยองๆ ฉันคว้ากล้องถ่ายรูปมาถ่ายเก็บเอาไว้ นอกจากดอกหญ้าที่บานเต็มที่แล้ว ยังมีต้นกล้าที่เพิ่งถือกำเนิด มันน่ารักดีจัง ฉันยิ้มให้กับต้นหญ้า แม้จะเคาะเขินคนข้างๆ อยู่บ้างที่ทำตัวอ่อนหัดแบบนี้ แต่เขาคงเข้าใจ คนโหยหาผืนดินอย่างฉัน“หญ้าก็คือหญ้า ถ้าไม่ตัดมันทิ้ง เราจะปลูกผักได้ยังไง”เธอช่วยเตือนสติ ฉันกลับมาโลกความจริง นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องถางมันทิ้ง “รกจะตาย” เธอว่า…
วาดวลี
ฤดูหนาวยามสาย แสงตะวันทอดผ่านเรือนร่างของผู้คนและตกกระทบเป็นผืนเงา อยู่ตรงนั้นตรงนี้บนถนน ชักชวนให้นักท่องเที่ยวบางคนอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเงาตัวเองเอาไว้ดูเล่น ฉันเองก็เช่นกัน ย้ายระดับสายตาไปอยู่บนผืนดิน แสงเงาจากผู้คนมากมาย มุ่งหน้าไปยังพระธาตุดอยสุเทพ นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ยิ้มสรวลหยอกล้อ ขอถ่ายรูปคู่กับบันได ประตู ป้าย และร้านค้า ดูเหมือนจะมีแต่เสียงหัวเราะ ตื่นเต้นและความสุข ปนเปื้อนเศษเสี้ยวของความหงุดหงิดรำคาญเล็กน้อย รอยยิ้มกว้างๆ ปรากฏบนใบหน้าของแม่ค้าหลายคน เงินสดถูกเก็บเข้ากระเป๋า ถุงพลาสติกถูกดึงขึ้น ใส่ของ ดึงขึ้นและใส่ของ…
วาดวลี
“หนาวไหมครับ”ชายแปลกหน้าเอ่ยถาม ขณะหย่อนตัวลงนั่งบนแคร่ไม้ เราสองคนอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าของใครสักคนหนึ่ง ฉันอยากเรียกแบบนั้น ทั้งๆ ที่มันคือสถานีรถโดยสารที่จะเดินทางจากตัวเมืองลำปางไปยังแจ้ซ้อนขณะรถเข็นคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาเรา ฉันตอบผู้ชายคนนั้นสั้นๆว่า “หนาวนะ” เขาอมยิ้ม กระชับเสื้อให้แน่นขึ้นแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม ฉันไม่สนใจเขานัก เอาแต่ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า เพื่อจะหยิบมาดูนาฬิกาว่าตอนนี้คือกี่โมงแล้ว แต่ยังหาโทรศัพท์ไม่เจอ ก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาขนาดใหญ่เกาะติดอยู่บนต้นไม้ ดูเหมือนจะเป็นต้นมะขาม มันสูงใหญ่ให้ร่มเงาเป็นอย่างดีแก่ท่ารถแห่งนี้…
วาดวลี
ท่ามกลางความมืดของผืนฟ้า  พระจันทร์ดวงกลมโตอวดแสงนวลอยู่บนนั้น แม้คืนนี้มองไม่เห็นดาว  แต่พระจันทร์คงไม่เหงา  ก็บนท้องฟ้า เต็มไปด้วยดวงไฟสีส้มนับร้อย นับพันดวง วาววับ จนไม่อาจนับจำนวนได้ โคมไฟ หรือ ว่าวไฟ ในเทศกาลลอยกระทง ต่างลอยขึ้นไปตามแรงลม และความร้อนจากเปลวไฟเล็กๆ ที่ห้อยอยู่ข้างท้าย แม้คนจุดจะมีทั้งชาวเมืองเชียงใหม่ หรือนักท่องเที่ยวจากเมืองอื่น แต่สิ่งที่ฉันได้รู้ในวันนี้ก็คือ สำหรับคนบางคนแล้ว ดาวสีส้มบางดวงนั้นขึ้นไปตามแรงศรัทธาและความเชื่อที่สั่งสมมาตลอดชีวิต“ได้เวลาจุดไฟกันแล้วนะ” ชายชราคนหนึ่งคนตะโกนบอกหลานชาย หลังจากเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้…
วาดวลี
“พ่อเคยคิดจะย้ายไปอยู่ที่อื่นไหม?”ฉันเคยเอ่ยถามชายชราไว้นานแล้ว ไม่จริงจังในคำพูด และไม่มีประเด็นอะไรมากนัก ฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร ในวันรื้อถอนบ้านเก่าที่ผุพังเพราะน้ำท่วม จำเป็นต้องสร้างหลังใหม่มาแทนที่ ............ที่ดินของเราเป็นผืนยาวติดแม่น้ำเล็กๆ ซื้อมาด้วยเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของแม่ ราคาไม่กี่พันบาท ฉันย้ายมาอยู่ในตอนที่อายุ 7 ขวบ  เวลาต่อมา คืนหนึ่งแม่ก็เสียชีวิตในบ้านหลังนี้ ตายจากไปเหลือเพียงเถ้าถ่าน ร่างกายถูกเผากลางแดดด้วยฟืนกองโต จำได้ว่าหลังจากคืนเผาศพแม่ไม่นานนัก บ้านทั้งหลังเงียบสงบ…
วาดวลี
ผู้หญิงคนนั้นกำลังฉุน ส่วนหญิงสาวอีกคนในชุดกระโปรงสีชมพู มีท่าทางไม่สบายใจอารมณ์ขุ่นเคืองปะทุในแดดระอุของยามบ่าย  ขณะนั้น  ฉันฝ่าไอร้อนมาจอดรถหน้าร้านค้าของนวลเมื่อวานนี้ฉันขอให้เธอช่วยรื้อลังเก่าๆ ใบใหญ่ๆ ไว้ให้  เพื่อซื้อไปใส่ของขนย้ายบ้านนวลกำลังยุ่ง ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก แต่ก็ยังมีแก่ใจกระซิบบอกด้วยเสียงอ่อนโยนเช่นเคย“รอหน่อยนะ แม่กำลังหาลังใบใหญ่ให้ ไม่ได้ลืม เดี๋ยวคงเอาลงมา”“แม่เหรอ?”ฉันทวนคำ นวลกำลังพูดถึงใครกันนะ ก็เธอจากบ้านมาไกลจากพม่า มาทำงานในร้านขายของชำ ทุกทีนวลเรียกเจ้าของร้านผู้ชายว่า เฮีย และเรียกพี่ผู้หญิงว่า เจ๊ ฉันยังไม่ได้ถาม แต่เธอคงจะดูแววตาออก…
วาดวลี
เพิงผักสดหน้าวัดในตอนเช้า กำลังแปรสภาพเป็นร้านเหล้าในยามค่ำ ตะวันยังไม่แตะดินดี เคาน์เตอร์ไม้เล็กๆ ก็มีลูกค้ามารอแล้วเกือบเต็มร้านชายวัยกลางคนกระดกเหล้าขาวจากแก้วทรงเหลี่ยมอยู่หน้าเพิงป้าแดง  ไม่ยี่หระต่อสายตาเมียที่ยืนค้อนอยู่ด้านหลังเธอยืนเท้าสะเอวเหมือนแม่บ้านในการ์ตูน มองสามีเงียบๆ แล้วก็เอ่ยด้วยเสียงห้วนสั้น“กระดกเข้าไป บอกว่าให้กินข้าวรองท้องก่อน ป้าแดงเอาแกงอ่อมมาถ้วยหนึ่ง”เธอไม่ได้สั่งกลับบ้าน แต่สั่งให้สามี ป้าแดงตักแกงจากหม้อใส่ชาม วางไว้บนเคาน์เตอร์ไม้ แล้วรับเงินจากผู้เป็นภรรยา เธอจากไปพร้อมผักกาดกำใหญ่ในมือ“เดี๋ยวข้ากลับไปกินข้าว” “อือ”สามีภรรยาตอบกันห้วนสั้น…
วาดวลี
๑.ฤดูมาเร็ว ราวกระพริบตารู้สึกดังว่า เพิ่งผ่านเมื่อวานฝนหมาดถนน เพิ่งโดนแดดทักลมหนาวก็พัดมาจุมพิตผ่านแม่น้ำสีเหลืองลำเลียงเศษไม้เผลอมองวูบไหวหัวใจสะท้านฝนพอหรือยัง? หรือคั่งค้างอยู่รอการพรั่งพรู ไหลมาท่วมบ้าน  ๒.ต้นข้าวสีเขียว เคยซีดเซียวยับนิ่งงันสดับ กับทางน้ำผ่านเจ้าชูช่อใหม่ ในตุลาฤดูไม่อาจหยั่งรู้ หรือไม่คิดสะท้าน?ผีเสื้อกลัวไหม ไอหนาวจะมาหอบหมอกห่มฟ้า พัดป่าแห้งกร้านควันคลุ้งคลุมเมือง กลายเป็นเรื่องเล่าไฟฟอนแผดเผา เราไม่อาจต้าน  ๓.ไปหมดแล้วหรือ ที่คือฝันร้ายปัดกวาดบ้านใหม่ ไว้รอเพื่อนบ้านกลางคืนสงบ รอพบวันพรุ่งหวังเห็นสายรุ้ง ลา-วสันต์กาลรอยฝนกันยา ตุลารำลึกลบความคิดนึก…