Skip to main content

จะทำอะไรบ้างคะน้อง...”

พี่ช่างผมคนใหม่ยิ้มกริ่ม เมื่อต้อนรับลูกค้าอย่างฉันแล้วพาไปนอนบนเปลสระผมในบ่ายแก่ๆ ของวันหยุด

ฉันยิ้มให้เขา หยุดคิดในใจนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบไปเบาๆ ว่า

ช่วยตัดเล็มปลายผมแค่นั้นก็พอค่ะ”

แล้วสระกับไดร์ด้วยไหม”

ฉันพยักหน้า เธอตอบรับด้วยท่าทางคล่องแคล่ว จากนั้นก็โน้มศีรษะฉันให้ลงพอดีกับอ่าง เปิดน้ำจากสายยางเย็นเจี๊ยบราดรดลงไปบนศีรษะ เธอจับเส้นผมฉันเบาๆ อย่างเกรงใจ แล้วกระซิบมาข้างๆ หู

ถ้าแรงไปก็บอกนะ พี่มักจะเผลอตัว ถ้าไม่ให้นวดหัวก็บอกได้”





เธอราดแชมพูชโลมไปทั่วศีรษะ แชมพูของพี่คนนี้มีกลิ่นหอมมาก ดูเหมือนจะเป็นกลิ่นลาเวนเดอร์ผสมกับกุหลาบ แต่ฉันคิดไปเองหรือเปล่าไม่รู้ว่ากลิ่นคล้ายน้ำยาล้างรถ ฉันปล่อยให้พี่สาวร่างใหญ่ขลุกอยู่กับเส้นผม เมื่อสระเสร็จ
2 รอบ แกก็นวดด้วยครีมนวดผมต่อ ไม่นานจากนั้นฉันก็รู้สึกโล่งศีรษะจากการนวด เธอโพกผ้าให้ฉันแล้วพามานั่งที่เก้าอี้หน้ากระจกบานใหญ่

เข้าร้านทำผมบ่อยไหม”

ก็ไม่บ่อยค่ะ ส่วนใหญ่สระผมเอง นอกจากจะตัดหรือต้องไปงานสำคัญจริงๆ”

ฉันบอก เธอทำหน้าเรียบๆ อย่างประเมินแล้วว่า แบบนี้ฉันอาจจะไม่ใช่ลูกค้าประจำเป็นแน่ เพราะใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะตัดผมสักครั้ง


มาครั้งแรกพี่จะได้คิดราคาพิเศษน่ะ”

เธอบอก แล้วจัดการหวีผมฉันให้เรียบร้อย คว้ากรรไกร เปลี่ยนหวี มาถือจับไว้ จากนั้นก็จัดการเล็มปลายผมที่แตกออก เธอทำด้วยความคล่องแคล่ว

ผมน้องสุขภาพดีนะ ดูแข็งแรงเลยล่ะ แต่ถ้าจะให้ดีนะ ควรจะอบไอน้ำบ้าง หรือหมักผม สนใจไหม พี่คิดไม่แพง”

เอ่อ...”

เธอหยิบเมนูการตัดผมบนกระดาษสีเหลืองอ่อน เคลือบพลาสติกเรียบร้อยมาให้ดูฆ่าเวลา ฉันอ่านไปเพลินๆ มีทั้งรายการนวดหน้าด้วยโคลน นวดผม หมักผม อบไอน้ำ ติดขนตาถาวร ทำเล็บ และสารพัดอย่างที่ครบวงจรของคนที่ต้องการเสริมความงาม แต่ฉันก็ไม่ได้เลือกสักรายการ


ร้านโน้นเขาทำกี่บาท ถ้าสระและตัดแบบนี้น่ะ”

อืม..ทุกทีเขาคิด 80 บาทค่ะ”

อุ๊ย แพงจังเลย พี่คิด 60 บาทแค่นั้นแหละ” ฉันพยักหน้าเบาๆ

แล้วน้องว่าพี่คิดถูกไปไหม?”

ฉันนิ่งไป น้อยมากที่จะเจอคำถามแบบนี้ ลูกค้ามักอยากได้ของดีราคาถูกเสมอ ฉันจึงหัวเราะเบาๆ

ไม่ขึ้นราคาเหรอคะ”

โอ้ย อยากขึ้นใจจะขาด แต่เศรษฐกิจมันกำลังแย่ กลัวขึ้นแล้วจะไม่มีคนเข้าร้านน่ะสิ”





ช่างผมขมวดคิ้วเล็กน้อย ฉันเห็นใบหน้าเธอในกระจกที่แสดงความวิตกบางอย่าง ฉันรับฟังแล้วอยากชวนคุยบ้าง แต่พี่คนนี้ก็รีบถามฉันกลับมาอีก

ทำงานอะไรน่ะเรา”

เอ่อ ทำเกี่ยวกับพวกหนังสือค่ะ”

อยู่ลำพูนหรือเปล่า โรงงาน”

เอ่อ...เปล่าค่ะ...”

อืม แล้วโดนพิษเศรษฐกิจบ้างไหม?”

เอ่อ...ก็มีผลอยู่บ้างค่ะ”

ฉันตอบไม่ใคร่ถูก ทั้งยังไม่ชอบอธิบายอะไรยืดยาว จึงได้แต่ตอบเท่าที่เธอถามเป็นครั้งๆ พี่สาวทำผมไปด้วยแล้วทำหน้าหนักใจ


สามีพี่โดนให้ออกจากงาน ตอนนี้เหลือร้านตัดผมนี่ จะพอจ่ายหนี้ ส่งลูกเรียนหรือเปล่าไม่รู้นะ พี่รู้สึกได้นะ ลูกค้าเข้าร้านทำผมน้อยลง ความงามอะไรก็ไม่ค่อยทำกันละ แต่ก็อย่างว่า เราเองยังไม่เข้าเลย..”

อ่า พี่คงทำเองได้มั้งคะเลยไม่ไปร้านอื่น”

ไม่หรอก...เราเองก็ประหยัด อะไรไม่ควรจ่ายก็ไม่จ่าย แต่เรามาทางนี้แล้ว ทำไงได้ อาชีพเรา”

แกถอนหายใจเบาๆ ฉันนิ่งเงียบ ฟังแกพูดไป เศษผมกระจายไปทั่วพื้น หลังจากตัดแล้วก็หวีให้เรียบร้อย จากนั้นเสียงของไดร์เป่าผมก็ดังกระหึ่ม ความร้อนชโลมไปทั่วศีรษะ


เอาล่ะ สวยแล้ว”

แกว่าเมื่อเสร็จทุกขึ้นตอน จากนั้นก็สะบัดผ้าคลุมไหล่ออก หวีอีกครั้งให้ดูเรียบสวย

เอ๊ะ เดี๋ยว พี่จะใส่น้ำยาบำรุงให้ จะได้อยู่นานๆ ปกติไม่ใช้แล้วนะ ยี่ห้อนี้ แพง”

ฉันยิ้มขอบคุณ จ่ายเงินแล้วก็ลุกออกจากร้านเล็กๆ ในห้องสี่เหลี่ยมชั้นล่างสุดของตึกแถวให้เช่าย่านห่างไกลตลาด เวลานี้ ร้านทั้งร้านเงียบกริบ มีหมาตัวเล็กๆ มาหมอบหลับอยู่หน้าร้าน ตัวกระเพื่อมแผ่วจากการหายใจ


ช่างตัดผมทอนตังแล้วยิ้มให้ฉันบางๆ ก่อนจะถามเป็นคำสุดท้ายว่า

น้องว่าพี่จะอยู่ได้ไหม?”




ฉันพยายามนึกหาคำตอบ แต่ก็หาไม่ได้ ใครเล่าจะรู้อนาคตของคนอื่น เพราะตัวเราเองยังไม่อาจจะรู้ได้ ได้แต่ให้กำลังใจไปว่า

ลองทนไปก่อน ก็คงเหมือนกันถ้วนหน้าค่ะ เราน่าจะผ่านมันไปได้นะ”

เธอยิ้มตอบฉัน รอยยิ้มนั้นเป็นยิ้มที่จริงใจและเปิดเผย ฉันรู้ว่าคำพูดนั้นไม่ได้พิเศษอะไร แต่น่าจะเป็นคำที่เธออยากฟังอยู่แล้วกระมัง

ก็รู้นะ พี่ก็ถามไปงั้นแหละ”

เธอบอกฉันและเหมือนบอกตัวเอง แล้วหยิบไม้กวาดมาปัดเศษเส้นผมที่หล่นตามพื้น ก่อนจะออกมาฉันได้ยินเสียงเพลงจากลำโพงเล็กๆ ดังขึ้น เธอเปิดให้ตัวเองฟัง สร้างบรรยากาศที่ดีแม้ไม่มีใครในร้านเลยนอกจากหมาที่หน้าร้าน


เหลียวมองกลับไปอีกที พบสายตานั้น จ้องผ่านแสงแดดจ้าบนท้องถนนที่ซึ่งนานๆ จะมีใครผ่านมาทีหนึ่ง และนานๆ ครั้งนั้น ก็ยังไม่มีวี่แววจะมีคนเดินเข้าร้านแก ฉันออกห่างมาแล้ว ยังเผลอมองกลับไปอีกที หญิงสาวนั่งอยู่ที่เดิม เหมือนจะละลายคำถามให้หายไปกับอากาศ หรือบางทีอาจหวังว่าคำตอบจะฝ่าแสงแดดพวกนั้นมาถึง

พี่จะอยู่ได้ไหม”


คำถามนี้วนเวียนอีกครั้ง ฉันตอบไม่ได้ และอีกนานกว่าเราจะได้เจอกัน ฉันรู้แต่ว่าหากอีกครั้งที่จะต้องมาตัดผม ก็หวังว่าร้านของแกจะยังอยู่ตรงนี้ เปิดบริการเช่นเดิม เพราะนั่นคือคำตอบที่ยังทะลุแสงแดดไปไม่ถึงเธอ

ก็เท่านั้นเอง.



บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
ความชื้นแฉะเหล่านั้นคงไม่เป็นไรหรอกกระมัง หยดน้ำที่ทำให้พื้นดินที่สีดำขึ้นมากกว่าปกติ ดินที่นุ่มลง หญ้าที่ปกคลุมไปถ้วนทั่ว ฉันว่ามันชุ่มฉ่ำดีเหมือนกัน เมื่อฤดูฝนยาวกว่าที่เราคิด และปีนี้ ฝนก็ตกบ่อยกว่าปีที่ผ่านมา
วาดวลี
ท้องฟ้าอ้อยสร้อยแบบนั้นแหละ ที่คนแถวบ้านฉันรำพึงกันว่า เป็นความชุ่มฉ่ำต้อนรับเทศกาลเข้าพรรษา ฝนตกเอื่อยๆ พรมความชื้นไปทั่วถนนเล็กๆ ของหมู่บ้านเรา แต่ก็ไม่มีใครย่อท้อที่จะออกไปทำบุญ ดอกไม้ธูปเทียน อาหารคาวหวาน ข้าวตอกดอกไม้ คนข้างบ้านของฉันซึ่งเป็นครอบครัวที่ขยันทำงานไม่มีวันหยุด ก็ยังเอ่ยปากบอกว่า หยุดงานสักวันสองวันดีกว่า นอกจากไปทำบุญแล้ว ก็ยังได้หยุดอยู่บ้านกับครอบครัวอีกด้วย
วาดวลี
นานมาแล้วที่ฉันเคยได้ยินประโยคที่ว่า “แค่กระพริบตา โลกก็เปลี่ยน” แล้วเคยคิดเล่นๆ ว่า อะไรก็ตามที่เปลี่ยนไปแบบฉับพลัน หรือ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังนั้น คงไม่ได้เกิดบ่อยนัก และหากจะเกิดขึ้นจริง ทุกอย่างล้วนมีสาเหตุ มีสัญญาณเตือนมาก่อน อยู่ที่เราจะสังเกตหรือไม่ก็เท่านั้น แต่สำหรับเรื่องของพี่ชาย พอจะทำให้ฉันเชื่อได้บ้างว่า กับเรื่องบางเรื่องนั้น การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้มีอะไรมาเตือนล่วงหน้า
วาดวลี
 “รักของพี่กับเขาเริ่มตรงนี้”ตรงที่พี่ชายพูด มันคือถนนเส้นหนึ่ง ที่ตัดผ่านกลางระหว่างคูเมืองด้านในของเชียงใหม่ ไปยังชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่ง รอบๆ ถนนมีอาหารพื้นเมืองขาย มีส้มตำ ไก่ย่าง ร้านรวง บริษัท รวมทั้งวัดเก่าแก่สวยงาม   ฉันก้มลงไปมองตามนิ้วชี้ของเขา ที่ตรงนั้น คือฝาท่อกลมๆ เก่าๆ ปิดรอยโหว่ขี้เหร่ของถนนเอาไว้“ตรงนี้น่ะหรือ จุดเริ่มต้นของความรัก”ฉันทำหน้าไม่อยากเชื่อ พี่ชายยิ้มที่มุมปาก แล้วพยักหน้า “มีอยู่วันหนึ่ง พี่มาก้มๆ เงยๆ ผูกเชือกรองเท้าตรงนี้ ว่าจะเดินไปเยี่ยมเพื่อนที่ร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าข้างหน้านั่น ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินมา ผมยาว ผิวขาว หน้าตาก็ไม่สวยมาก…
วาดวลี
“บ้านพอมีที่เหลือว่างไหม” คนถามฉันเป็นชายหนุ่ม ที่นับนามว่าเป็น “เพื่อน” กัน มาได้ 4 ปีแล้ว ความจริง เขาเป็นเพื่อนของเพื่อน เมื่อรู้จักกันได้นับปี ก็ตัดสินใจได้ว่าเขาน่าจะเป็น “คนดี” พอในแบบที่ร้องขออะไร แล้วเราไม่กล้าที่จะไม่ให้ หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย หรือลำบากใจกันจริงๆ มาครั้งนี้ บนถ้อยคำอาวรณ์ น้ำเสียงเขาหม่นเศร้า แววตาก็หม่นเศร้า เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือ เช้าวันอาทิตย์ที่แสงแดดสายสาดส่องให้อบอุ่น บนฟ้ามีก้อนเมฆปุกปุยสีขาว ไหลไปมาบนพื้นสีคราม สวยยิ่งกว่าสวย แต่เขาคนนี้มีแววเหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มา
วาดวลี
 ๑. จะมี อะไรบ้าง ยั่งยืน ? กลางวัน กลางคืน แดด ฝน ลม หนาว มนุษย์ สมมุติ ชั่วคราว ว่าเรา ครอบครอง เพื่อ "ของเรา" ๒. ไยแย่งโอบกอดอนาคต แล้วเอ่ยกล่าวโทษวันเก่า ไยถก ไยเถียง เรื่องเงา ที่ลาลับ ล่วงกับ ดวงตะวัน 
วาดวลี
เชียงใหม่ในวันที่ฝนซา เพื่อนที่แวะมาเยี่ยมต่อสายบอกว่ากลับถึงบางกอกเรียบร้อยดีแล้ว เสียงอึกทึกครึกโครมที่รายล้อมตัวเธอบอกฉันว่า เธอไม่ได้อยู่ลำพังขณะคุยโทรศัพท์ ฉันแซวเธอเล่นๆ ว่ากำลังอยู่ในถิ่นอโคจรหรือเปล่านะ ก็เราคุยกันแทบจะไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงเพลง เสียงรถ และเสียงคนมากมายเธอหัวเราะชอบใจ แล้วตอบว่า "ใช่ ฉันอยู่ในถิ่นอะโคจร" แล้วย้อนสวนมาว่า"ก็ดีกว่าอยู่ในแดนสนธยาเหมือนเธอ"ดอกหญ้าในสวนหลังบ้าน รกร้าง แต่ก็สวยงามในความรู้สึก 
วาดวลี
ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางไปประเทศจีน เดินทางโดยยังไม่ได้ก้าวขาออกจากบ้านเสียด้วยซ้ำ มันเป็นการเดินทางด้วยจิตใจและจินตนาการ เมื่อน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งของฉัน เธอเดินทางไปเป็นครูสอนภาษาไทยอยู่ที่เมืองหนานหนิง มณฑลกวางสีตั้งแต่ 1 ปีที่แล้ว อีกไม่กี่เดือนก็จะย่างครบ 1 ปี เธอบอกว่าคิดถึงเมืองไทยเป็นที่สุด และนับจากวันนี้ไปอีกแค่ 8 วันเท่านั้นเธอก็จะได้กลับมาเหยียบผืนดินไทยอีกครั้งแล้ว“ดีใจนะที่ปลอดภัย”จำได้ว่าเอ่ยกับเธอด้วยประโยคนี้ หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศจีนไม่นาน ฉันนึกถึงใบหน้าของเธอ แก้มยุ้ยๆ  และแววตาวาบวับที่ระยิบระยับเสมอ…
วาดวลี
"เธอว่าเราจะไปไหน ?"ฉันถาม แล้วก็ก้าวขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ โดยไม่รอคำตอบมาถึง เสียงติดเครื่องของรถคันเก่าดั่งกระหึ่ม ยามบ่ายๆ ของวันหยุดที่เราควรจะได้เดินทางบ้าง แม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ หรือยามว่างอันน้อยนิด ฉันอยากออกไปสูดอากาศ ส่วนเธออยากขี่รถเล่นเงยหน้ามองท้องฟ้า วันนี้ไม่มีฝน แม้จะไม่มีแดด แต่ก้อนเมฆยามบ่ายขับเคลื่อนราวว่า อีกนานกว่าพายุจะคลุมเมืองไว้อีกครั้ง
วาดวลี
ท้องฟ้าในเมืองของเรายังสวยเสมอ โดยเฉพาะยามที่เพื่อนเก่าของฉันรีบจอดจักรยานไว้ข้างตลาด แล้วเดินเข้ามาจับมือ เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางทิศตะวันตก ก้อนเมฆพวกนั้นเลื้อยตัวมากอดภูเขาเอาไว้ มองไกลๆ เหมือนใครเอาผ้าขนหนูสีขาวนุ่มๆ ไปพันทิ้งไว้(เมืองเล็กๆ ของเราหลังฝนตก)
วาดวลี
ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ฉันและแม่มีกฎร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งว่า หากไปเยี่ยมบ้านใครแล้วเขาให้ขนมกิน ก็ให้ยกมือไหว้ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็นต้องรับไปเสียทั้งหมด แม่เคยเปรยๆ ว่า ถึงครอบครัวเราจะยากจนแต่แม่สามารถทำอาหารอร่อยๆ ให้กินได้ทุกมื้อ อีกอย่างก็คือบางคนเขาไม่ได้ตั้งใจทำเผื่อเราหรอก แต่เป็นการให้โดยมารยาทเท่านั้น หากรับไว้เสียหมดก็กลายเป็นการรบกวนเขาไปก็เป็นได้แม้แม่จะบอกแบบนี้ แต่ฉันและแม่ก็รู้ดีว่า ผู้คนรอบตัวที่ใจดีมีน้ำใจกับเรานั้นมีมากมายเพียงใด พ่อเล่าว่าฉันเป็นเด็กอ้วนแก้มยุ้ย ใครเห็นก็เอ็นดู มักเรียกให้ไปกินขนมอยู่ร่ำไป ดังนั้นข้อตกลงของฉันกับแม่ จึงกลายเป็นว่า หากมีคนยื่นให้…
วาดวลี
ฝนยังโปรยลงมาไม่ขาดสาย แม้จะเพิ่งผ่านเดือนเมษายนมาได้ไม่เท่าไหร่  ท้องทุ่งฉ่ำไปด้วยฝนและดูจะมากไปจนน่าวิตก ลานกว้างหน้าบ้านของยายปลีวันนี้จึงไม่มีเด็กๆ มาวิ่งเล่น แต่หลบฝนกันไปวาดรูปเล่นอยู่ตรงชานเรือน หลานอีกคนทำหน้าตาเบื่อเพราะอยากออกไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อน นี่เป็นวันธรรมดาที่อาจมีทั้งความหมายหรือไม่มี สำหรับยายปลี เพราะหลังจากแกเก็บผ้าเข้าไปตากใต้ยุ้งข้าวเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมานั่งอยู่ประจำที่ อยู่กับเครื่องทอด้ายแบบสมัยโบราณ มันทำจากไม้ และไม่รู้ว่ามันมีอายุมาแล้วเท่าไหร่