Skip to main content
ชายชรายิ้มหวานให้ฉัน ทันทีที่เขารู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นแล้ว

ยิ้มบนริมฝีปากเบี้ยวๆ หนังตากระตุก ใบหน้าเหี่ยวย่น แต่ฉันรู้สึกได้ในตอนนั้นว่าเป็นยิ้มที่แสนหวานกว่าใครๆ ทีเดียว และเชื่อว่าเป็นยิ้มแรกของวันนี้


ก่อนหน้านี้หลายนาที เขาพาตาช้ำๆ ย่างก้าวมาอย่างเซๆ ออกจากห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล ตอนที่เจอกันฉันยกมือไหว้ สวมกอดเขาหลวมๆ พาเขาไปนั่งลงตรงระเบียง เขาพยายามสื่อสารทั้งที่อาการไม่หายดีนัก


เขาเล่าว่าวันนี้ตื่นแต่เช้ามืดเช่นทุกวัน นึ่งข้าวทิ้งไว้แล้วก็มาบริหารร่างกาย จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ แล้วจบท้ายที่การบริหารอีกรอบ แต่อยู่ๆ แขนขาซีกหนึ่งก็ไม่มีแรง เบานุ่นเหมือนสำลี ยกไปมาก็ไม่รู้สึกว่ามันอยู่ตรงไหน มองเห็นตัวเองเคลื่อนไหวแต่ไขว่คว้าอะไรไม่ถูก


เขาเล่าด้วยความตื่นเต้น จะว่าไปก็คงเป็นนาทีวิกฤตของชีวิตทีเดียว ที่ลิ่มเลือดไปอุดตันในเส้นเลือด เกิดแบบเฉียบพลัน สมองสั่งการไม่ได้ เขาพาร่างตัวเองไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ หาปากกา แล้วหยิบกระดาษ เขาบอกว่าพยายามจะเขียนอะไรบางอย่าง แต่มันก็ควบคุมปากกาให้เขียนไม่ได้

 

"ไหนลองยกมือดูซิ"

ฉันบอกขณะเรานั่งอยู่ที่ระเบียงของโรงพยาบาล ชายชราทำท่าเขียนหนังสือบนความว่างเปล่า หยิบปากกาในอากาศด้วยมือขวา หยิบกระดาษสมมุติด้วยมือซ้าย เขาเล่าว่าขยับข้อมือแบบนี้ ลากไปแบบนั้น แล้วควบคุมไม่ได้อย่างไร ปากกากระดาษเฉไฉไปไหนหมด เมื่อตัวหนังสือไม่ไหลออกมา ความคิดความอ่านของเขาจึงจมอยู่แต่ในสมองอีกด้านที่ใช้การได้เพียงลำพัง


เป็นความรู้สึกที่โดดเดี่ยว ตั้งตัวไม่ทัน และฉันก็ได้เห็นน้ำตาของเขา ที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว

 

"ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้วสิ"

ฉันลูบแขนเขาเบาๆ ให้หายจากอาการตกใจ เวลาผ่านไปทีละนาที ฉันจับตาดูเขาแทบทุกส่วนที่มองเห็นได้ เส้นผมหงอกที่ย้อมดำแล้ว รอยตีนกา ถุงน้ำใต้ตา จมูก ปากที่เราเหมือนกัน มือ เล็บ ลำคอ หลัง ไหล่ ราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน การสังเกตตอนนั้นก็เห็นว่า อาการกระตุกดีขึ้นตามลำดับ เรานั่งคุยกันไม่ถึงชั่วโมง ฉันก็รู้สึกว่าหน้าเบี้ยวๆ ของเขากลับมาตรงเหมือนปกติแล้ว


"
ดีขึ้นนะ รู้สึกดีขึ้นมา นี่ขยับได้แล้วนะ แขนขา เดินได้แล้วด้วย"

"งั้นก็ยิ้มได้แล้วสิ"

ฉันว่า ชายชราลุกขึ้นยืน แล้วออกเดินไปทีละก้าว เขาหันหลังมาหาฉัน รอยยิ้มหวานนั้นสว่างขึ้นอีกครั้ง

"เฮ้อ โล่งใจเนอะ เขาให้ยาอะไรทานบ้างถึงดีขึ้น"

"ไม่มียาอะไรเลย ตั้งแต่มายังไม่ได้กินยาสักเม็ด และยังไม่ได้กินข้าวเลยสักคำ เขาบอกให้รอดูอาการ ดูอย่างเดียว นั่งอยู่เฉยๆ นี่มันน่าเบื่อจริงๆ"

เขาว่า ดวงตามีประกายระยับ ฉันดีใจที่ชายชราคนเดิมกลับมาแล้ว สรุปว่าทุกอย่างดีขึ้นเองโดยไม่ต้องรับการรักษา พยาบาลให้คำแนะนำเรื่องการออกกำลังกายและควบคุมความดันด้วยอาหาร เขาพยักหน้ารับทราบอย่างจริงจัง และย้ำกับพยาบาลอย่างหนักแน่นว่า เขาดูแลสุขภาพอย่างที่สุดอยู่แล้ว ทานแต่อาหารมีประโยชน์ ไม่มีไขมัน จากนั้นก็หันมาบอกลูกๆ ว่า ต่อแต่นี้ไปเขาจะเขียนบันทึกสุขภาพเอาไว้ทุกวัน แน่นอนว่ามาโรงพยาบาลคราวหน้า เขาจะได้เก็บมาให้หมออ่านด้วย

 

ริมระเบียงชั้นสองของโรงพยาบาล

 

"พ่อ กลัวตายไหม"

ฉันถามเล่นๆ ชายชราที่เพิ่งหายป่วยหัวเราะออกมาดังๆ

"ไม่กลัวหรอก"

"จริงอ่ะ"

"จริง คนเราก็ต้องตายทุกคน แก่แล้วก็ใกล้จะไปแล้ว"

"แสดงว่าปล่อยวางได้หมดแล้วน่ะสิ"

ชายชราหยุดพัก ทำหน้าครุ่นคิดก่อนตอบ จากที่หัวเราะดีๆ อยู่ๆ น้ำตาของเขาก็ไหลซึมออกมาอีก

"เราน่ะไปได้นะ แต่คนที่อยู่กับเราน่ะสิ เขาจะอยู่อย่างไร ใครจะดูแล แม่เฒ่าที่บ้านนั่นก็เดินไม่ได้ ถ้าเราไปจริงๆ เขาคงลำบาก...."

เขารำพัน ฉันจึงพยักหน้าเข้าใจ ความห่วงใยในดวงตานั้น มากเกินคณานับ นี่คงเป็นเหตุผลที่คนเรากลัวความตาย ไม่อยากไปเพราะเป็นห่วงคนข้างหลัง ฉันเพิ่งรู้ว่าแรงผลักสำหรับพ่อ ไม่ใช่การอยากมีชีวิตยืนยาวแล้วอยู่ลำพัง แต่เป็นความรักที่อยากเห็นมันอยู่นานที่สุด มิใช่เพื่อตัวเองแต่เพื่อคนอื่น

 

ยกมือสู้

 

"นี่ๆๆ เจอแล้วๆๆ"

ชายชราทำหน้าตื่นเต้น เมื่อเขาล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเจอกระดาษใบหนึ่ง เขาหยิบมันขึ้นมา กางออก แล้วส่งให้ดู


บรรทัดแรกในนั้นเป็นตัวหนังสือโย้เย้ บ่งบอกการควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างที่เขาเล่า ฉันพยายามอ่านแต่อ่านไม่ออก ส่วนบรรทัดถัดมานั้น เขาเขียนฝากไว้ให้คนที่เจอช่วยพาเขาไปโรงพยาบาล ส่วนอีกบรรทัดเขาเหมือนมีอะไรอยากเขียนถึงลูก...แต่ยังเขียนไม่จบ

"ถ้าเขียนได้มากกว่านี้นะ จะเขียนสัก 3 หน้า"

"จะเขียนอะไรอีก"

"จะบอกลูกๆ ว่าขอให้อยู่กันอย่างสันติ"

ฉันหัวเราะเบาๆ โอบกอดเข้ากับลำตัวใหญ่ๆ นั้น กลิ่นเสื้อผ้าใหม่ยังหอมกลิ่นแดด หันไปมองหน้าพี่สาวที่ไปด้วยกัน แล้วประสานเสียงให้พ่อรู้ว่า ไม่ต้องบอกเราก็ไม่ทะเลาะกันอยู่แล้ว และนั่นก็คงจะทำให้พ่อภูมิใจ

พ่อหันมากอดตอบ แล้วเอียงคอเข้าหาพี่สาว เขาชูสองนิ้วขึ้นมา ทำนองว่า "สู้ตาย" ให้ทุกคนหัวเราะกัน

"พ่อยังไปไม่ได้หรอก ต้องรักษาตัวให้ดีกว่าเดิม เราจะได้อยู่ด้วยกันไปนานๆ"

ถ้อยคำนั้นแผ่วเบา แต่ชัดเจนดีเหลือเกิน หัวใจฉันโตขึ้นอีกเล็กน้อย แล้วก็รู้สึกว่า

นี่กระมัง คือคำบอกรักที่มีความหมายที่สุด ที่ได้ฟังสำหรับของวาเลนไทน์ปีนี้.

 

แถมท้ายด้วยภาพดอก "กว๋าว" กำลังบานสะพรั่งในโรงพยาบาล

 

 

 

 

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
1.อากาศยามเช้าหนาวไอเย็นแผ่วเบา พัดมาจากภูเขาสูงผ่านทางไกล ใกล้รุ่งฝ่าหมอกคลุ้งสีเทา-เทา
วาดวลี
ฉันกับเพื่อนหย่อนก้นบนเก้าอี้ไม้ริมถนนของเมืองเชียงของ เราสั่งชานม ชามะนาว และกาแฟมากินให้สดชื่นหลังจากนั่งรถมาเป็นชั่วโมง มองดูผู้คนมาเยือนสวนทางกับเจ้าของท้องถิ่นไปมาในวันหยุด"เรากำลังจะไปที่ไหนต่อ"เพื่อนร่วมทางถามฉัน ฉันเหลือบมองเขา ไม่ตอบ แล้วคว้าหนังสืออ่านเล่นในร้านกาแฟมาเปิดอ่าน เราเพิ่งมาถึง แล้วจะไปไหน เธอถามแปลกจัง ฉันอยากตอบเล่นๆ ว่า เดี๋ยวจะพาเธอไปลงว่ายน้ำโขงเล่นก็แล้วกัน"เราต้องไปกินปลาบึกไหม?"เพื่อนถาม ฉันเกือบสำลักชามะนาว “เธออยากกินเหรอ”ฉันถามกลับ เขาทำหน้าไม่ถูก แต่แววตาลังเล “ก็มีคนบอกว่ามาเชียงของต้องกินปลาบึก”ฉันอมยิ้ม ฉันก็ได้ยินแบบนั้นเหมือนกัน แต่เท่าที่รู้…
วาดวลี
กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า กำลังถูกประทับด้วยตราปั๊มสีแดงเพื่อบอก “อนุญาต” ให้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปยังพม่า ผู้คนจำนวนนับร้อยนับพัน ต่อแถวกันอยู่ที่ท่าขี้เหล็กในเขตแม่สายด้วยใบหน้ารอคอย ตั้งแต่ขั้นตอนการทำบัตร ชำระเงิน ตรวจเอกสาร จนกระทั่งพวกเขาจะได้ข้ามพ้นประตูด่านของเจ้าหน้าที่เมื่อนั้น ใบหน้าที่บึ้งตึงก็จะเปลี่ยนเป็น “โล่งอก”ฉันและเพื่อนยืนรออยู่ที่ทำบัตรเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ขณะที่เพื่อนกำลังวาดฝันว่าเขาจะซื้ออะไรบ้างจากฝั่งพม่า ไม่ทันที่จะอ้าปากพูดว่า “เกาะกันไว้นะเดี๋ยวหลง” เพราะคนเยอะขนาดจนมีประกาศหาคนตลอดเวลา ไม่ทันไรฉันก็ถูกดันจากคนข้างหลังให้ขยับเข้าไปข้างหน้า ทั้งที่แถวมันเต็มแล้ว…
วาดวลี
1ฤดูหนาวไม่ได้มาเยือนอย่างเงียบเชียบอีกแล้ว มันแสดงตัวตน ชัดเจน ผ่านอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า รอยน้ำค้าง ประทับตรงนั้นตรงนี้  แม้กระทั่งบนขนตาของเธอ  หญิงวัยกลางคนที่ตื่นแต่เช้า ปั่นจักรยานไปตลาด กลับมาพร้อมกับข้าวของในมือที่มากจนจักรยานแทบเสียหลัก เธอจอดรถไว้ข้างๆ รั้ว หิ้วของ วางลง และยกมือเช็ดน้ำค้างบนขนตา2“หนาวมากไหม”เธอเอ่ยถามอย่างอาทร ฉันพยักหน้า อดคิดถึงแม่จริงๆ ของตัวเองไม่ได้ ฉันคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ หากจะคิดถึงฤดูหนาวและการอยู่ร่วมกัน  แค่คิดถึงการซุกตัวใน “ผ้าห่มขี้งา” ร่วมกับแม่ แค่นั้นก็เป็นสุขแล้ว หน้าหนาวพ่อจะให้ฉันนอนตรงกลาง เพื่อให้อุ่นมากพอ …
วาดวลี
1. ผืนดินปกคลุมไปด้วยต้นหญ้า และเป็นต้นหญ้าชนิดที่มีดอกสีขาว ฉันชะงักจอบเสียบที่เตรียมมา ด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อดอกหญ้าที่พากันบานสะพรั่งอวดสายลมหนาว ก็มันสวยขนาดนี้ ฉันจะขุด ตัดมันไปได้อย่างไรกันวางจอบลง แล้วนั่งยองๆ ฉันคว้ากล้องถ่ายรูปมาถ่ายเก็บเอาไว้ นอกจากดอกหญ้าที่บานเต็มที่แล้ว ยังมีต้นกล้าที่เพิ่งถือกำเนิด มันน่ารักดีจัง ฉันยิ้มให้กับต้นหญ้า แม้จะเคาะเขินคนข้างๆ อยู่บ้างที่ทำตัวอ่อนหัดแบบนี้ แต่เขาคงเข้าใจ คนโหยหาผืนดินอย่างฉัน“หญ้าก็คือหญ้า ถ้าไม่ตัดมันทิ้ง เราจะปลูกผักได้ยังไง”เธอช่วยเตือนสติ ฉันกลับมาโลกความจริง นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องถางมันทิ้ง “รกจะตาย” เธอว่า…
วาดวลี
ฤดูหนาวยามสาย แสงตะวันทอดผ่านเรือนร่างของผู้คนและตกกระทบเป็นผืนเงา อยู่ตรงนั้นตรงนี้บนถนน ชักชวนให้นักท่องเที่ยวบางคนอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเงาตัวเองเอาไว้ดูเล่น ฉันเองก็เช่นกัน ย้ายระดับสายตาไปอยู่บนผืนดิน แสงเงาจากผู้คนมากมาย มุ่งหน้าไปยังพระธาตุดอยสุเทพ นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ยิ้มสรวลหยอกล้อ ขอถ่ายรูปคู่กับบันได ประตู ป้าย และร้านค้า ดูเหมือนจะมีแต่เสียงหัวเราะ ตื่นเต้นและความสุข ปนเปื้อนเศษเสี้ยวของความหงุดหงิดรำคาญเล็กน้อย รอยยิ้มกว้างๆ ปรากฏบนใบหน้าของแม่ค้าหลายคน เงินสดถูกเก็บเข้ากระเป๋า ถุงพลาสติกถูกดึงขึ้น ใส่ของ ดึงขึ้นและใส่ของ…
วาดวลี
“หนาวไหมครับ”ชายแปลกหน้าเอ่ยถาม ขณะหย่อนตัวลงนั่งบนแคร่ไม้ เราสองคนอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าของใครสักคนหนึ่ง ฉันอยากเรียกแบบนั้น ทั้งๆ ที่มันคือสถานีรถโดยสารที่จะเดินทางจากตัวเมืองลำปางไปยังแจ้ซ้อนขณะรถเข็นคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาเรา ฉันตอบผู้ชายคนนั้นสั้นๆว่า “หนาวนะ” เขาอมยิ้ม กระชับเสื้อให้แน่นขึ้นแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม ฉันไม่สนใจเขานัก เอาแต่ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า เพื่อจะหยิบมาดูนาฬิกาว่าตอนนี้คือกี่โมงแล้ว แต่ยังหาโทรศัพท์ไม่เจอ ก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาขนาดใหญ่เกาะติดอยู่บนต้นไม้ ดูเหมือนจะเป็นต้นมะขาม มันสูงใหญ่ให้ร่มเงาเป็นอย่างดีแก่ท่ารถแห่งนี้…
วาดวลี
ท่ามกลางความมืดของผืนฟ้า  พระจันทร์ดวงกลมโตอวดแสงนวลอยู่บนนั้น แม้คืนนี้มองไม่เห็นดาว  แต่พระจันทร์คงไม่เหงา  ก็บนท้องฟ้า เต็มไปด้วยดวงไฟสีส้มนับร้อย นับพันดวง วาววับ จนไม่อาจนับจำนวนได้ โคมไฟ หรือ ว่าวไฟ ในเทศกาลลอยกระทง ต่างลอยขึ้นไปตามแรงลม และความร้อนจากเปลวไฟเล็กๆ ที่ห้อยอยู่ข้างท้าย แม้คนจุดจะมีทั้งชาวเมืองเชียงใหม่ หรือนักท่องเที่ยวจากเมืองอื่น แต่สิ่งที่ฉันได้รู้ในวันนี้ก็คือ สำหรับคนบางคนแล้ว ดาวสีส้มบางดวงนั้นขึ้นไปตามแรงศรัทธาและความเชื่อที่สั่งสมมาตลอดชีวิต“ได้เวลาจุดไฟกันแล้วนะ” ชายชราคนหนึ่งคนตะโกนบอกหลานชาย หลังจากเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้…
วาดวลี
“พ่อเคยคิดจะย้ายไปอยู่ที่อื่นไหม?”ฉันเคยเอ่ยถามชายชราไว้นานแล้ว ไม่จริงจังในคำพูด และไม่มีประเด็นอะไรมากนัก ฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร ในวันรื้อถอนบ้านเก่าที่ผุพังเพราะน้ำท่วม จำเป็นต้องสร้างหลังใหม่มาแทนที่ ............ที่ดินของเราเป็นผืนยาวติดแม่น้ำเล็กๆ ซื้อมาด้วยเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของแม่ ราคาไม่กี่พันบาท ฉันย้ายมาอยู่ในตอนที่อายุ 7 ขวบ  เวลาต่อมา คืนหนึ่งแม่ก็เสียชีวิตในบ้านหลังนี้ ตายจากไปเหลือเพียงเถ้าถ่าน ร่างกายถูกเผากลางแดดด้วยฟืนกองโต จำได้ว่าหลังจากคืนเผาศพแม่ไม่นานนัก บ้านทั้งหลังเงียบสงบ…
วาดวลี
ผู้หญิงคนนั้นกำลังฉุน ส่วนหญิงสาวอีกคนในชุดกระโปรงสีชมพู มีท่าทางไม่สบายใจอารมณ์ขุ่นเคืองปะทุในแดดระอุของยามบ่าย  ขณะนั้น  ฉันฝ่าไอร้อนมาจอดรถหน้าร้านค้าของนวลเมื่อวานนี้ฉันขอให้เธอช่วยรื้อลังเก่าๆ ใบใหญ่ๆ ไว้ให้  เพื่อซื้อไปใส่ของขนย้ายบ้านนวลกำลังยุ่ง ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก แต่ก็ยังมีแก่ใจกระซิบบอกด้วยเสียงอ่อนโยนเช่นเคย“รอหน่อยนะ แม่กำลังหาลังใบใหญ่ให้ ไม่ได้ลืม เดี๋ยวคงเอาลงมา”“แม่เหรอ?”ฉันทวนคำ นวลกำลังพูดถึงใครกันนะ ก็เธอจากบ้านมาไกลจากพม่า มาทำงานในร้านขายของชำ ทุกทีนวลเรียกเจ้าของร้านผู้ชายว่า เฮีย และเรียกพี่ผู้หญิงว่า เจ๊ ฉันยังไม่ได้ถาม แต่เธอคงจะดูแววตาออก…
วาดวลี
เพิงผักสดหน้าวัดในตอนเช้า กำลังแปรสภาพเป็นร้านเหล้าในยามค่ำ ตะวันยังไม่แตะดินดี เคาน์เตอร์ไม้เล็กๆ ก็มีลูกค้ามารอแล้วเกือบเต็มร้านชายวัยกลางคนกระดกเหล้าขาวจากแก้วทรงเหลี่ยมอยู่หน้าเพิงป้าแดง  ไม่ยี่หระต่อสายตาเมียที่ยืนค้อนอยู่ด้านหลังเธอยืนเท้าสะเอวเหมือนแม่บ้านในการ์ตูน มองสามีเงียบๆ แล้วก็เอ่ยด้วยเสียงห้วนสั้น“กระดกเข้าไป บอกว่าให้กินข้าวรองท้องก่อน ป้าแดงเอาแกงอ่อมมาถ้วยหนึ่ง”เธอไม่ได้สั่งกลับบ้าน แต่สั่งให้สามี ป้าแดงตักแกงจากหม้อใส่ชาม วางไว้บนเคาน์เตอร์ไม้ แล้วรับเงินจากผู้เป็นภรรยา เธอจากไปพร้อมผักกาดกำใหญ่ในมือ“เดี๋ยวข้ากลับไปกินข้าว” “อือ”สามีภรรยาตอบกันห้วนสั้น…
วาดวลี
๑.ฤดูมาเร็ว ราวกระพริบตารู้สึกดังว่า เพิ่งผ่านเมื่อวานฝนหมาดถนน เพิ่งโดนแดดทักลมหนาวก็พัดมาจุมพิตผ่านแม่น้ำสีเหลืองลำเลียงเศษไม้เผลอมองวูบไหวหัวใจสะท้านฝนพอหรือยัง? หรือคั่งค้างอยู่รอการพรั่งพรู ไหลมาท่วมบ้าน  ๒.ต้นข้าวสีเขียว เคยซีดเซียวยับนิ่งงันสดับ กับทางน้ำผ่านเจ้าชูช่อใหม่ ในตุลาฤดูไม่อาจหยั่งรู้ หรือไม่คิดสะท้าน?ผีเสื้อกลัวไหม ไอหนาวจะมาหอบหมอกห่มฟ้า พัดป่าแห้งกร้านควันคลุ้งคลุมเมือง กลายเป็นเรื่องเล่าไฟฟอนแผดเผา เราไม่อาจต้าน  ๓.ไปหมดแล้วหรือ ที่คือฝันร้ายปัดกวาดบ้านใหม่ ไว้รอเพื่อนบ้านกลางคืนสงบ รอพบวันพรุ่งหวังเห็นสายรุ้ง ลา-วสันต์กาลรอยฝนกันยา ตุลารำลึกลบความคิดนึก…