Skip to main content


 

1.

"ผมชอบรถคันนั้นจริงๆ"

เพื่อนชายวัย 33 ปีของฉันบอก หลังจากนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่นานหลายชั่วโมง ภาพเวบไซต์แห่งหนึ่งปรากฏภาพรถคันเล็กๆ สีขาวทั้งคัน เป็นรถเฟี๊ยสที่ฉันจำปี พ.ศ.และรุ่นไม่ได้ รู้แต่ว่ามันน่าจะมีอายุเกือบเท่าๆ เขาด้วยซ้ำ


เขาทำหน้าพึงพอใจเห็นได้ชัด สารภาพกับฉันว่าไม่ใช่แค่หลายชั่วโมงหรอกที่เขาเฝ้ามองรถคันนี้ แต่เป็นหลายสัปดาห์มาแล้ว

"มันเป็นรถโบราณ หายาก เป็นรถเก่าแบบที่ผมชอบ และที่สำคัญมันราคาถูกมาก แค่สองหมื่นบาทเท่านั้น"

ฉันนั่งฟังเป็นความรู้ใหม่ นอกจากไม่ถนัดเรื่องเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าในตลาดรถเก่านั้น สีไหน ยี่ห้อไหนจะหายากกว่ากัน ฉันถามเขาไปว่า

"แบบนี้มันต้องซ่อมอีกไหม ไหนบอกว่าอยากได้รถเอาไว้เดินทางไกลๆ ข้ามจังหวัด มันจะไหวเหรอ"


ดวงตาเขาเป็นประกาย คำถามนั้นช่วยให้เขาวางแผนระยะไกลได้ชัดมากขึ้น เขาบอกว่าดูสภาพแล้วก็รู้ว่าจะต้องซ่อมอะไรบ้าง ตกแต่งให้ดีหรือลงทุนเสียหน่อย ขายต่ออีกทอดก็ยังได้กำไร แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือมันเป็นรถในฝัน อย่างไรเสียเขาก็คงไม่ขายมันไปง่ายๆ

"อีกอย่าง รถถูกๆ แบบนี้ผมซ่อมเองได้บ้าง ประหยัดเงินกว่าซื้อรถใหม่หลายเท่าตัว เศรษฐกิจแบบนี้ต้องพอเพียง เราก็ต้องไม่ใช้งานมันหนัก มันจะได้อยู่กันไปนานๆ"


นั่นเป็นหตุผลให้ไม่กี่วันต่อมา เพื่อนของฉันวิงวอนให้เราสามสี่คนเดินทางไปกับเขา เพื่อซื้อขายรับรถคันนี้กันที่ภาคกลาง เราตื่นกันแต่เช้า นั่งยัดกันไปในกระบะคันหนึ่งของเพื่อน เตรียมอุปกรณ์ลากรถเผื่อไว้ ทั้งเชือก เหล็ก ไฟฉาย แบตเตอรี่สำรอง และน้ำมัน พากันออกจากเชียงใหม่ตั้งแต่ตีห้า


เด็กสาวเพิ่งจบการศึกษาซึ่งเป็นแฟนเขา ยังมีสีหน้างัวเงียเหมือนเด็กน้อยนอนไม่อิ่ม นั่งหอบตุ๊กตามากอดแล้วหลับอยู่ในรถ ตลอดทางเราคุยถึงรถคันนั้น เพื่อนก็ตอบคำถามได้หมด เรื่องระบบการขับเคลื่อน ขนาดตัวถัง สัญญาเช่าขาย อู่ที่จะนำไปซ่อมปรับปรุง ทุกอย่างอยู่ในหัวเขาหมดแล้วพร้อมเงินจำนวนหนึ่งที่เตรียมไว้


การเดินทางนั้นยาวไกลหลายชั่วโมง เราลากรถคันนั้นกลับมาถึงเชียงใหม่ในเวลาตีสี่ ตลอดทางไม่มีใครได้แวะกินอะไรเพราะกลัวฝนจะตก เพื่อนลากยาวฝ่าความมืดตอนกลางคืนมาด้วยท่าทีคึกคักไม่มีตก ยามดึกที่แล่นผ่านถนนอันเปล่าเปลี่ยว ฉันยังเผลอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าและดวงตาเขาไม่มีคลาย จนนึกได้ว่า ความรักและความฝันของคนนั้นมีแรงผลักมากกว่าที่เราคิด และบางครั้งมันก็ทำให้คนลืมความเหนื่อยอื่นใดไปได้หมด


ไม่มีใครคิดเลยว่า นับจากวันนั้นไป เรากลับไม่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นของเขาอีก

..................


 

 

2.

"อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ"

เพื่อนของฉันบอก หลังจากลากรถไปซ่อมยังอู่ไกลๆ แห่งหนึ่ง เราพากันไปส่งเจ้ารถสีขาวด้วยความหวังว่ามันจะแล่นได้เหมือนเดิม

แต่จากวันนั้นนับเดือน มันยังไม่มีทีท่าที่จะวิ่งได้ เพราะไม่มีอะไหล่ซ่อม เพื่อนของฉันเปลี่ยนแผนโดยการมอบรถคันนี้ให้นักศึกษาฝึกซ่อมนำมันไปฝึกหัดทำสี เขาระดมเด็กๆ ที่อยากหาอะไรเล่นมาทำสีรถจนใหม่เอี่ยม วาววับสวยงามดี แต่เพื่อนก็ทำหน้าหงุดหงิดนิดหน่อยที่ฝีมือการทำไม่เนี๊ยบเรียบร้อยอย่างที่คิด


เขาเริ่มต้นชีวิตอันหมกมุ่น ตื่นแต่เช้า ไปเยี่ยมรถที่อู่ นอนสอดตัวเข้าไปช่องท้องสำรวจอะไหล่ เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปทั่วด้วยน้ำมันรถสีดำๆ ไม่มีใครชวนเขาไปไหนได้ นอกจากอู่รถ ส่วนเวลาที่เหลือเขาจะเฝ้านั่งดูรายการสินค้าอะไหล่ทางอินเตอร์เน็ตว่าของที่สั่งจะปรากฏคนขายอยู่ที่ไหนบ้าง เขาวนเวียนขับรถเข้าออกร้านค้าทั่วเชียงใหม่ เริ่มโดดงานเพื่อจัดการธุระด้วยรถคันนั้น และเขาก็เริ่มทะเลาะกับเพื่อน


สายวันหนึ่ง แฟนสาวของเขาขี่มอเตอร์ไซค์มาหาฉันที่บ้าน แววตาเธอแดงๆ เหมือนคนเพิ่งผ่านการร้องไห้มา

"พี่ช่วยพูดกับแฟนหนูหน่อยได้ไหม...เขาไม่สนใจอะไรเลยนอกจากรถ แล้วก็ทะเลาะกับเพื่อนไปสามคน"

"พ่อของเขาโมโหมากที่ไม่ยอมซ่อมรถเก่า แต่เอาเงินมาลงกับรถคันนี้หมด"

"พี่เขาเครียดมาก ไม่ยอมกินข้าว โมโหว่าเมื่อไหร่มันจะแล่นได้สักที เปลี่ยนอู่มาแล้ว 3 รอบ"

ฯลฯ

 

อีกหลายประโยคและเรื่องราวที่สะท้อนปัญหาทั้งการเงิน ความสัมพันธ์ เวลา และหลายอย่างที่ทำให้เพื่อนบางคนจำใจยื่นมือเข้าไปช่วย หลายเดือนนับจากนั้น ฉันจำได้ว่า เขาลากรถไปซ่อมในอู่ต่างๆ อีกไม่ต่ำกว่า 5 แห่ง ไม่มีใครเห็นรอยยิ้มของเขาอีกแล้ว ทุกๆ วันมีแต่ความมึนตึง เพื่อนฝูงช่วยกันระดมคนมาปรับปรุงซ่อมแซมมันจากสภาพรถเก่าๆ เคลื่อนที่ไม่ได้ มาถึงวันแรกที่มันสามารถเดินทางมาเยี่ยมฉันที่บ้านได้


แต่ก็ยังไม่มีรอยยิ้มของเขาอยู่ดี คิ้วของเขาขมวดเป็นปม ตลอดเวลาที่อยู่ที่บ้าน เขาไม่ได้นั่งเลยสักนาที แต่ปูเสื่อสอดตัวไปใต้รถเหมือนเคย เมื่อซ่อมเครื่องยนต์เสร็จ เขาก็คิดจะปรับปรุงสี เมื่อทำเสร็จก็อยากแก้ไขแอร์ ปรับปรุงเครื่องเสียง เปลี่ยนกระจก เปลี่ยนคิ้วขอบหน้าต่าง ฉันได้แต่นิ่งพิจารณาความเป็นไปในการซ่อมแซมรถสักคนหนึ่ง และความเป็นไปในใจเขา ซึ่งให้เหตุผลไว้ว่า

"มันเป็นรถในฝันของผม คันแรก และคันเดียวเท่านั้น"


จริงหรือ ที่มนุษย์มีความฝันแล้วต้องทำให้มันสำเร็จ
?

ฉันตั้งคำถามขึ้นเงียบๆ มองดูแมวที่กระโดดไปฝนเล็บในรถเขาด้วยแววตากังวล อุ้มแมวกลับมาแล้วจำเป็นต้องดุ เพราะเห็นหน้าเพื่อนมึนตึง แฟนสาวของเขาฟุบหลับอยู่ที่เก้าอี้ มือของเธอเปื้อนน้ำมันรถเล็กน้อย และสภาพบอกว่าหมดพลังแล้วที่จะต่อสู้กับการทะเลาะกันอีก


วันนั้นทั้งวันเรานั่งคุยกันโดยเขาอยู่ในรถ กระทั่งแดดบ่ายสาดเข้ามาเต็มแรง เขาจึงท้อถอยด้วยการเดินออกมาแล้วขอลากลับ เพื่อจะไปคุยกับอู่รถต่อ


ฉันได้แต่พยักหน้า แฟนสาวของเขามองฉันอย่างวิงวอน เหมือนจะขอร้องอะไรสักอย่าง ฉันกลับปิดปากเงียบ มันเป็นความฝันของเขามิใช่หรือ ความฝันที่เราต่างมีแตกต่างกัน และแทรกตัวไปอยู่ในนั้นได้ยาก แม้จะมีอยู่เสี้ยววินาทีหนึ่ง ที่ฉันนึกอยากกลายเป็นคนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น พูดอะไรสักคำให้เขาถอยห่างจากรถคันนั้นเสียบ้าง ฉันว่ายังมีรถอีกมากกระมังที่เหมาะสมกับเขา หรือน่าจะมีเรื่องอื่นอีกบ้างกระมัง ที่จะเป็นความฝันของเขา


สุดท้ายฉันก็ไม่ได้พูดอะไร กระทั่งผ่านไปอีกราว 4 เดือน เพื่อนของฉันหายไปจากชีวิต เราแทบไม่ได้ติดต่อหรือพูดคุยกัน ไม่มีใครเห็นเขาหรือพูดถึงเขา เมื่อนั้นฉันจึงหาเวลาวันหยุดแวะไปหาเขาที่บ้าน


3.

มองซ้ายมองขวา หารถคันนั้นไม่เจอแล้ว

มันถูกฝากเอาไว้ที่อู่แห่งหนึ่ง พร้อมถ่ายรูปเพื่อนำกลับไปลงในอินเตอร์เน็ตอีกครั้ง เพื่อนของฉันผมยาวคลอบ่า หนวดเครารกครึ้ม เขายิ้มจางๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน แล้วบอกกับฉันด้วยท่าทางของคนยอมแพ้

"ผมตัดสินใจขายมันแล้วล่ะ"

"ฮื่อ...ไม่เสียดายแล้วใช่ไหม"


เขายิ้มแหยๆ ให้ตัวเอง แต่มีประกายตาสำนึกผิดเกิดขึ้นแทน

"ไม่แล้วล่ะ...ผมว่าที่น่าเสียดายไม่ใช่รถคันนั้นหรอก แต่เป็นอย่างอื่น"

"อะไรบ้างล่ะ"

"ก็เนี่ย ทะเลาะกับเพื่อนหลายคนจะกลับไปขอโทษเขา เงินก็ใกล้หมด สงสัยขายแล้วจะขาดทุน ส่วนเด็กๆ ที่มาช่วยซ่อมมันท้อแท้กลับไปหมดแล้ว สงสัยต้องไปเลี้ยงเหล้าพวกเขาสักมื้อ"

"อ้อ..."

ฉันแอบยิ้ม เพื่อนของฉันวาง "ความล้มเหลว" ไว้ที่โรงจอดรถด้วยการโยนกล่องอุปกรณ์ลงแรงๆ แล้วเช็ดหน้าด้วยผ้าขนหนูเก่าๆ ก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำ

"ไปไหนเหรอวันนี้"

"ผมจะไปขอคืนดีกับแฟนน่ะ"


ฉันเผลอหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างไม่เกรงใจเขา แล้วถามเขาว่า

"เลิกกันเพราะความฝันกับรถคันนี้น่ะเหรอ"

เขาหัวเราะตาม น้ำเสียงร่าเริงกลับมาแล้ว แววตาเป็นมิตรกว่าที่เห็นก่อนนี้

"ไม่ใช่เลิกกันเพราะเรื่องรถอย่างเดียวหรอก แต่เป็นเพราะผมเองบ้ามากไปหน่อย ไม่รู้เหมือนกันทำไปได้ไง เอาแต่ใจตัวเองจนคนอื่นเค้าเบื่อกันไปหมด เฮ้อ"

ฉันหัวเราะอีกที นึกขำขึ้นมาเหมือนกัน

"ก็ดีนะที่ยังทันนึกได้"

"ใช่ ผมก็ว่ายังดีนะยังทันนึกได้ ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ฝันจนเสียแฟนเสียเพื่อนเนี่ย ทำไปได้ยังไง"


ฉันมองดูเขา เขาก็มองดูฉัน เราหัวเราะกันอีกครั้ง ก่อนที่ปรากฏร่างของเพื่อนคนเดิมกลับคืนมาอีกครั้ง

 

 

 

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
"ปีใหม่ไปเที่ยวไหนบ้างหรือเปล่าคะ"พี่สาวข้างบ้านไม่ตอบคำถามฉันเลย  แต่คลี่ยิ้มแล้วเดินพาฉันไปหยุดอยู่ตรงเสื่อผืนนั้น  เสื่อที่ปูบนลานซีเมนต์โล่งๆ หน้าบ้าน  ข้างกายมีกองผักกาดขนาดใหญ่  จำนวนนับร้อยต้น ข้างๆ  มีถังน้ำ  มีกะละมัง  มีเครื่องปั่นเสียบไฟฟ้า และมีถุงพลาสติกกองอยู่"พี่กำลังทำโปรเจ็คใหม่"แกบอกด้วยสายตาโอ้อวด  โปรเจ็คที่ว่าคือหนึ่งในอาชีพใหม่ที่แกเพิ่งริเริ่มทำ นั่นก็คือการทำ "น้ำผัก" ขาย
วาดวลี
   บุ้งตัวนี้คงมีพิษร้ายมาก ฉันรู้สึกอย่างนั้น จากหนามแหลมๆ ที่พวงพุ่งออกมารอบตัวมัน และจากประสบการณ์ในวัยเด็กที่เคยเอามือไปโดนตัวบุ้ง แล้วคันคะเยอไปทั้งสัปดาห์ แถมมือยังบวม แสบๆ อีกด้วยตอนเด็กๆ แม่จึงพร่ำสอนเสมอ บุ้งหน้าตาแบบนี้มีพิษร้าย มันกินไม่ได้ จับมาเล่นไม่ได้ และสำคัญที่สุดให้หลีกเลี่ยงระวังอย่าได้สัมผัส เมื่อจำมาตลอด ดังนั้นฉันจึงระวังที่สุดที่จะเดินย่องเข้าไปขอถ่ายรูปในระยะใกล้ เจ้าบุ้งจากที่นิ่งๆ อยู่ คงรู้สึกได้ถึงคนแปลกหน้า มันยิ่งพองตัวอวดหนามให้ตั้งชูชันขึ้นมาอีก ความซุ่มซ่ามของฉันที่เอาตัวไปโดนกิ่งไม้ให้ไหวๆ เผลอทำให้มันตกใจมากกว่าเดิม พอมันขยับหันหัวมา…
วาดวลี
การเดินทางตามใครสักคนไป คงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการเดินทางตามฝูงมด ที่มันเคลื่อนที่ช้ากว่าเราหลายเท่าตัว ฉันเองก็นึกไม่ถึงว่าจะมีเวลามากพอที่จะเฝ้าสังเกตมดสักตัว หรือสักฝูง แล้วยังมีมดหลายชนิดให้ต้องแยกแยะอุปนิสัยอีกด้วยแต่ลองคิดกลับกันดู หากมดจะเดินทางตามเราบ้าง นั่นคงเป็นเรื่องลำบากยิ่งกว่า ก็แค่เดินสัก 2 ก้าว มดก็ตามเราไม่ทันแล้ว
วาดวลี
  หากนี่เป็นสนามรบสักแห่งหนึ่ง รังเล็กๆ ที่สร้างจากไยแมงมุมมองดูคล้ายกับดักขนาดใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งนี้ ที่สามารถสร้างความตื่นเต้น วิตก ให้กับศัตรูและเหยื่อได้มาก แถมยังประจานผู้พ่ายแพ้ต่อหน้าประชาชนอย่างเห็นกันโจ้งๆในกับดักนั้นประกอบด้วยสรรพสิ่งที่เป็นซากชีวิต ไม่ว่าจะเป็นตัวหนอน ผีเสื้อ มดแดง มดดำ แมลงวัน พวกมันตายหมดแล้ว เป็นสุสานขนาดใหญ่ที่ห้อยโหนโตงเตงด้วยแรงยึดไยแมงมุม แขวนไว้กับต้นไม้ในเช้าวันหนึ่งของฤดูหนาวฉันบอกกับตัวเองว่า นี่มันช่างน่าอัศจรรย์ดีจัง ตอนเด็กๆ ฉันทั้งเกลียดและกลัวแมงมุม ขณะเดียวกันแม่ซึ่งพยายามเอาชนะแมงมุมด้วยการกินมัน ก็สร้างเมนูรสเลิศด้วยการเอาแมงมุมไปย่างไฟ…
วาดวลี
ฉันไม่รู้ว่าทำไมหอยทากหลายตัวชอบมาซ่อนอยู่ในรองเท้า แม้จะเคาะรองเท้าก่อนแล้ว หากไม่ดูดีๆ ก็อาจจะเผลอเหยียบเข้าไปเต็มๆ เพราะความเหนียวของลำตัวที่เกาะติดอยู่กับผนังรองเท้าผ้าเวลานี้เข้าฤดูหนาวเต็มที่แล้ว หรือเปลือกหอยจะไม่สามารถกันความหนาวให้มันได้เพียงพอ ทั้งที่พอรู้มาบ้างว่า หอยทากเป็นสัตว์ที่อดทนมาก มีชีวิตได้ทั้งที่แห้ง ที่ป่าชื้น หรือบนภูเขาสูง นอกจากในรองเท้าแล้ว ซอกมุมเล็กๆ ในบ้าน หลังชั้นหนังสือ หรือแม้แต่ใต้เบาะจักรยาน ฉันก็ยังพบหอยทากมาเล่นซ่อนแอบเป็นประจำ จากที่เคยรู้สึกกึ่งรังเกียจ กึ่งขยะแขยง…
วาดวลี
๑. ผีเสื้อติฉินดอกไม้ ว่ามีน้ำหวานน้อยเกินไป ทั้งที่ไม่ได้เป็นคนปลูก ชาวสวนลุกมาพรวนดิน เผลอเคืองขุ่นแมลงหิวโหย แม่บ้านบ่นกับเม็ดฝน ที่ทำให้น้ำยาปรับผ้านุ่มไร้ความหมาย นิมิตกลายเป็นความโศก เมื่อล็อตเตอรี่ไม่ตรงกับที่ตีความมา
วาดวลี
เพลงคุ้นเคยหลายเพลงดังแว่วมาจากวิทยุข้างบ้าน สลับกับการเล่าเรื่องของดีเจ เธอบอกว่าเทศกาลลอยกระทงปีนี้ไม่คึกคักอย่างปีก่อนๆ คงเพราะบรรยากาศทางการเมือง บวกกับงานราชพิธีและผลจากพิษเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวจึงบางตา ประเพณีจึงไม่สวยงามอย่างเคยเป็นแต่นั่นเป็นเรื่องที่สวนทางกับภาพที่ฉันกำลังได้เห็นคุณลุงบรรจงทำซุ้มอย่างช้าๆ สบายๆ กับแดดยามสายคุณลุงข้างบ้านตื่นแต่เช้า เช่นเดียวกับทุกวัน แต่วันนี้ลุงไม่ไปทำงานในไร่ เช่นเดียวกับพี่สาวบ้านตรงข้ามที่ปกติออกไปขายเสื้อผ้าแต่เช้ามืด พวกเขามายืนผิงแดดอุ่นอยู่หน้าบ้าน แล้วทำความตกลงเจรจาแลกเปลี่ยนทรัพยากรจากสวนหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็นก้านมะพร้าว ดอกดาวเรือง…
วาดวลี
ว่ากันว่า บนหน้าผาสูงใหญ่แห่งนี้ในอดีตกาลชายหญิงคู่หนึ่ง เดินทางมาหยุดมองหุบเหวกว้างใหญ่ในเวลาดึกสงัด  เบื้องลึกเป็นผืนน้ำ ด้านข้างเป็นโขดหินกัดเซาะขรุขระน่ากลัว พวกเขาคงรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบและเวิ้งว้างไปจนสุดขั้วหัวใจ ถ้าเผลอตกลงไป อย่าหวังว่าชีวิตจะเหลือรอดให้กลับบ้านหากแต่บางที การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความรักนั้น  บางทีอาจเวิ้งว้างยิ่งกว่าหรือมีรักแต่ไม่สมหวัง อาจเจ็บปวดกว่าการจากโลกนี้ไป
วาดวลี
  ฉันเพิ่งยอมรับความล้มเหลวอย่างหนึ่งของตัวเองในการปลูกต้นไม้นั่นคือ ปลูกต้นกุหลาบแล้วไม่มีดอกตอนเด็กๆ พ่อของฉันคือคนสอนปลูกต้นไม้คนแรก พ่อขุดดินให้เป็นหลุม หย่อนต้นกล้าลงไป กลบดินแล้วรดน้ำ พ่อบอกด้วยสายตาโอ้อวดว่านี่ไง มันง่ายจะตายไป ที่เหลือเป็นหน้าที่ของดิน น้ำ และแดด จากนั้นให้ฉันทำเหมือนกัน สิบกว่าวันผ่านไป พ่อและฉันยืนมองต้นกุหลาบของเราที่กึ่งรอดกึ่งตาย กิ่งใบเหี่ยวแห้ง ฉันจึงถามพ่อว่า "คนมือร้อน มือเย็นนี่อยู่มีจริงไหม"พ่อเดินไปนั่งบนแคร่ มวนยาเส้น จุดสูบด้วยแววตานักคิด แล้วตอบว่า "ก็จริงอยู่นะ แต่มือเป็นอาวุธของใจ คนใจเย็นปลูกอะไรก็เป็น ใจร้อนก็ปลูกแล้วตาย"พ่อพูดแล้วหัวเราะเบาๆ…
วาดวลี
หลายต่อหลายครั้ง ที่ฉันจดจำภาพของสถานที่ เรื่องราว ผู้คน แม้ไม่เคยรู้จักกัน และไม่เคยไปพบเจอ แต่กลับฝังลึกลงความทรงจำถึงขนาดเก็บไปฝัน แน่นอนฝันนั้นเป็นฝันดี และพอตื่นจากฝัน ก็พบกับความจริงที่ว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ไกลเกินไปนักหรอก สิ่งที่พูดถึงความงาม ความพอดี เหมือนหยดน้ำใสบนคลองเล็กๆ ที่เลียบไปกับแม่น้ำใหญ่ หรือบางทีอาจเป็นดอกหญ้าต้นเล็กๆ ที่แทรกตัวอยู่ในสวนกุหลาบ แต่แท้จริงเป็นสมุนไพรเยียวยาโลกได้ด้วยซ้ำ สิ่งที่ฉันพูดถึงอยู่นี้ คือชีวิตของเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนชำฆ้อพิทยาคม จังหวัดระยองเด็กน้อยเหล่านี้…
วาดวลี
๑. ประชาธิปไตย สูงใหญ่ ใต้เพดาน เราไต่ เราคลาน เหยียบข้าม ขึ้นคว้าไป เราเรียน เราศึกษา เราค้นหา เราพินิจ เปรียบเทียบ ถูกผิด เท่าที่ เราคิดได้ ในสมุดมีสอน ในกลอนมีให้อ่าน ในหนังสือมีวิจารณ์ เปลี่ยนผ่านไปอย่างไร ในเคเบิ้ลมีรหัส แปลงเห็นเป็นภาพชัด นิ่ง-เลือน-และเคลื่อนไหว เราเก็บเราสะสม เพาะบ่มความคิด เธอว่าถูก-ผิด คิดเห็นเป็นอย่างไร เรารู้-ไม่รู้ เท็จจริง และลวง แต่เราก็ห่วง ห่วงประชาธิปไตย
วาดวลี
ทั้งที่แค่เป็นเวลาบ่าย แต่บ้านของเราไม่มีแสงแดด ก้อนเมฆหนาทึบขนาดมหึมาเคลื่อนเร็วเหมือนคลื่นน้ำ แผ่ความเย็นให้วันธรรมดาในฤดูฝนเย็น ให้จับใจขึ้นไปอีก   แน่นอนว่าคนใต้ฟ้าแถวบ้านฉันไม่ได้กลัวเปียก แต่พวกเขากลัวน้ำท่วม แม้ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คนข้างบ้านฉันยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า “ที่นี่น้ำไม่ท่วม” เขาบอกว่าเราเป็นตำบลที่อยู่ตรงกลางระหว่างน้ำปิงของเชียงใหม่และลำพูน โดยมีจุดชลประทานอยู่เหนือหมู่บ้าน มีประตูน้ำ ดังนั้นหากน้ำมามากเกินไป ก็จะมีการปิดประตูน้ำ ที่บอกว่ากักเก็บน้ำได้มากโข ความจริงฉันเชื่อในระบบชลประทานหมู่บ้าน…